EP.30 ธรรมชาติที่วังเวียง
ผมเอ่ยชื่อหัวข้อมาแบบนี้เชื่อเลยว่า ท่านที่เป็นคนที่ชอบท่องเที่ยวในประเทศลาวน่าจะร้องอ๋อและรู้จักเป็นอย่างดีหรือแม้กระทั่งคนที่ไม่ใช่เซียนท่องเที่ยวในเมืองลาวแต่เป็นนักท่องเที่ยวทั่วไปก็คงจะต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของเมืองวังเวียงกันมาบ้าง โดยวังเวียงจัดว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศลาวเลยทีเดียว ในแต่ละปีนั้นนักท่องเที่ยวจากหลากหลายชาติจะแห่มาเที่ยวเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มของนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ถึงขนาดที่มีบล็อกเกอร์และยูทูปเบอร์ชาวเกาหลีใต้ลงอัพคลิปหรือเขียนบทความเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในวังเวียงนั่นจึงทำให้บรรดาอาตี๋อาหมวยจากแดนกิมจิแห่มากันท่องเที่ยวที่ วังเวียง กันอย่างล้นหลาม เรียกได้ว่ามองไปทางไหนก็จะต้องเจอคนเกาหลีอย่างแน่นอน
ผมไปเที่ยววังเวียงมาแค่ครั้งเดียวเมื่อตอนเดือนพฤศจิกายนของปี 2017 ปกติแล้วผมไม่ค่อยได้เที่ยวที่ประเทศลาวเท่าไหร่แต่จะใช้เป็นทางผ่านเพื่อจะไปเวียดนามเสียมากกว่า แต่สำหรับการมาเที่ยววังเวียงนั้นเป็นสิ่งที่ผมจดอยู่ในลิสต์มานาน เพราะได้ยินทั้งคนไทยและต่างชาติพูดกันว่าอากาศที่วังเวียงดีและธรรมชาติสวย ยิ่งเมืองไทยกับลาวก็อยู่ใกล้กันแค่นี้จึงคิดว่าอย่างน้อยควรมาสักครั้งในชีวิต โดยผมได้นั่งรถตู้จากเวียงจันทน์มาถึงที่วังเวียงใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆก็จะเป็นแนวธรรมชาติไม่ว่าจะเป็น น้ำตก ถ้ำ สระน้ำ ภูเขา แต่ไม่มีทะเลนะเพราะลาวเป็นประเทศที่ไม่มีพรมแดนติดกับทะเลนั่นเอง โดยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญและเป็นที่เที่ยวยอดนิยมเลยก็คือ บลูลากูน ซึ่งเป็นสระน้ำที่ฟ้าใสแต่ที่ผมไปเห็นจริงๆมันก็คือ สระน้ำสีเขียวมรกตซะมากกว่า จุดนี้นักท่องเที่ยวจะเยอะเป็นพิเศษแต่หากไม่ชอบคนเยอะๆก็ยังจะมีบลูลากูนแห่งที่ 2 และที่ 3 ให้ได้เลือกไปเที่ยวกันแต่ความนิยมและความสวยงามจะสู้กับแห่งที่ 1 ไม่ได้
นอกจากบลูลากูนแล้วก็ยังมีในส่วนของถ้ำจังซึ่งเป็นถ้ำที่อยู่ในจุดใกล้ๆกับบลูลากูนโดยเป็นถ้ำขนาดใหญ่ด้านในมีการติดไฟส่องสว่างชัดเจนและมีหินงอกหินย้อยให้ได้ชมกัน ผมใช้เวลาไม่นานักในการเดินชมถ้ำเพราะก็ไม่ได้ต่างอะไรกับถ้ำในเมืองไทยมากนัก จากนั้นก็ขี่มอเตอร์ไซค์ที่เช่ามาไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆในวังเวียง โดยผมจะเน้นเที่ยวในที่ที่ไม่ดังมากนักและมีนักท่องเที่ยวไม่เยอะ เพราะยิ่งคนเยอะก็จะสัมผัสความเป็นธรรมชาติและความเงียบสงบไม่ได้ จุดที่ผมได้ไปก็คือในส่วนของจุดชมวิวซึ่งในส่วนชื่อเรียกผมก็จำไม่ได้แล้วเช่นกัน แต่เอาเป็นว่าต้องเสียค่าเข้าชมให้กับคนดูแลในราคาไม่เกิน 20 บาท แต่ลำบากหน่อยตรงทางขึ้นและทางลงที่ค่อนข้างชันต้องใช้ความระมัดระวังพอสมควร แต่เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนสุดก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเพราะวิวด้านบนค่อนข้างสวยงามมองเห็นวิวภูเขา ด้านล่างก็เป็นท้องนาและยังได้เห็นภาพของทะเลหมอกที่ยังปกคลุมทั่วฟ้าแม่ในตอนที่ผมไปจะเป็นเวลาในช่วงเกือบ 10 โมงแล้วก็ตาม
ส่วนในช่วงเย็นผมได้ไปยังจุดที่เป็นถ้ำแต่ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำที่ไม่ใหญ่มากและคนก็ไม่นิยมมาเที่ยวแต่มีคนดูแลและรับฝากรถโดยจะมีที่ส่องไฟที่เอาไว้คาดหัวให้มา เนื่องจากภายในถ้ำค่อนข้างมืด ผมเดินเข้าไปคนเดียวในตอนเวลา 5 โมงเย็นเหลียวซ้ายแลขวามองหลังก็ไม่เห็นจะมีนักท่องเที่ยวคนไหนนอกจากตัวผมเอง สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเข้าไปแบบไม่สนอะไรทั้งนั้น ส่วนบรรยากาศในถ้ำก็ไม่ไ้ดสวยอะไรมากถ้าไม่มีไฟที่คาดไว้ตรงหัวก็คงมองแทบไม่เห็นอะไร สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเดินออกมาด้วยความผิดหวังเพราะถ้ำไม่ได้สวยงดงามตามที่คาดแถมถ้าหากถ้ำเกิดถล่มลงมาผมก็คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากเดินเข้าไปคนเดียวกลางบรรยากาศทุ่งหญ้าและท้องนาโล่งๆตะโกนอะไรออกไปคนก็คงไม่ได้ยินแต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ของนักเดินทางซึ่งหากไม่ได้ออกจากคอมฟอร์ทโซนก็คงจะไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้แน่ๆ