วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2564

 

EP.30 ธรรมชาติที่วังเวียง

ผมเอ่ยชื่อหัวข้อมาแบบนี้เชื่อเลยว่า ท่านที่เป็นคนที่ชอบท่องเที่ยวในประเทศลาวน่าจะร้องอ๋อและรู้จักเป็นอย่างดีหรือแม้กระทั่งคนที่ไม่ใช่เซียนท่องเที่ยวในเมืองลาวแต่เป็นนักท่องเที่ยวทั่วไปก็คงจะต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของเมืองวังเวียงกันมาบ้าง โดยวังเวียงจัดว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศลาวเลยทีเดียว ในแต่ละปีนั้นนักท่องเที่ยวจากหลากหลายชาติจะแห่มาเที่ยวเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มของนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ถึงขนาดที่มีบล็อกเกอร์และยูทูปเบอร์ชาวเกาหลีใต้ลงอัพคลิปหรือเขียนบทความเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในวังเวียงนั่นจึงทำให้บรรดาอาตี๋อาหมวยจากแดนกิมจิแห่มากันท่องเที่ยวที่ วังเวียง กันอย่างล้นหลาม เรียกได้ว่ามองไปทางไหนก็จะต้องเจอคนเกาหลีอย่างแน่นอน

ผมไปเที่ยววังเวียงมาแค่ครั้งเดียวเมื่อตอนเดือนพฤศจิกายนของปี 2017 ปกติแล้วผมไม่ค่อยได้เที่ยวที่ประเทศลาวเท่าไหร่แต่จะใช้เป็นทางผ่านเพื่อจะไปเวียดนามเสียมากกว่า แต่สำหรับการมาเที่ยววังเวียงนั้นเป็นสิ่งที่ผมจดอยู่ในลิสต์มานาน เพราะได้ยินทั้งคนไทยและต่างชาติพูดกันว่าอากาศที่วังเวียงดีและธรรมชาติสวย ยิ่งเมืองไทยกับลาวก็อยู่ใกล้กันแค่นี้จึงคิดว่าอย่างน้อยควรมาสักครั้งในชีวิต โดยผมได้นั่งรถตู้จากเวียงจันทน์มาถึงที่วังเวียงใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆก็จะเป็นแนวธรรมชาติไม่ว่าจะเป็น น้ำตก ถ้ำ สระน้ำ ภูเขา แต่ไม่มีทะเลนะเพราะลาวเป็นประเทศที่ไม่มีพรมแดนติดกับทะเลนั่นเอง โดยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญและเป็นที่เที่ยวยอดนิยมเลยก็คือ บลูลากูน ซึ่งเป็นสระน้ำที่ฟ้าใสแต่ที่ผมไปเห็นจริงๆมันก็คือ สระน้ำสีเขียวมรกตซะมากกว่า จุดนี้นักท่องเที่ยวจะเยอะเป็นพิเศษแต่หากไม่ชอบคนเยอะๆก็ยังจะมีบลูลากูนแห่งที่ 2 และที่ 3 ให้ได้เลือกไปเที่ยวกันแต่ความนิยมและความสวยงามจะสู้กับแห่งที่ 1 ไม่ได้

นอกจากบลูลากูนแล้วก็ยังมีในส่วนของถ้ำจังซึ่งเป็นถ้ำที่อยู่ในจุดใกล้ๆกับบลูลากูนโดยเป็นถ้ำขนาดใหญ่ด้านในมีการติดไฟส่องสว่างชัดเจนและมีหินงอกหินย้อยให้ได้ชมกัน ผมใช้เวลาไม่นานักในการเดินชมถ้ำเพราะก็ไม่ได้ต่างอะไรกับถ้ำในเมืองไทยมากนัก จากนั้นก็ขี่มอเตอร์ไซค์ที่เช่ามาไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆในวังเวียง โดยผมจะเน้นเที่ยวในที่ที่ไม่ดังมากนักและมีนักท่องเที่ยวไม่เยอะ เพราะยิ่งคนเยอะก็จะสัมผัสความเป็นธรรมชาติและความเงียบสงบไม่ได้ จุดที่ผมได้ไปก็คือในส่วนของจุดชมวิวซึ่งในส่วนชื่อเรียกผมก็จำไม่ได้แล้วเช่นกัน แต่เอาเป็นว่าต้องเสียค่าเข้าชมให้กับคนดูแลในราคาไม่เกิน 20 บาท แต่ลำบากหน่อยตรงทางขึ้นและทางลงที่ค่อนข้างชันต้องใช้ความระมัดระวังพอสมควร แต่เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนสุดก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเพราะวิวด้านบนค่อนข้างสวยงามมองเห็นวิวภูเขา ด้านล่างก็เป็นท้องนาและยังได้เห็นภาพของทะเลหมอกที่ยังปกคลุมทั่วฟ้าแม่ในตอนที่ผมไปจะเป็นเวลาในช่วงเกือบ 10 โมงแล้วก็ตาม 

ส่วนในช่วงเย็นผมได้ไปยังจุดที่เป็นถ้ำแต่ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำที่ไม่ใหญ่มากและคนก็ไม่นิยมมาเที่ยวแต่มีคนดูแลและรับฝากรถโดยจะมีที่ส่องไฟที่เอาไว้คาดหัวให้มา เนื่องจากภายในถ้ำค่อนข้างมืด ผมเดินเข้าไปคนเดียวในตอนเวลา 5 โมงเย็นเหลียวซ้ายแลขวามองหลังก็ไม่เห็นจะมีนักท่องเที่ยวคนไหนนอกจากตัวผมเอง สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเข้าไปแบบไม่สนอะไรทั้งนั้น ส่วนบรรยากาศในถ้ำก็ไม่ไ้ดสวยอะไรมากถ้าไม่มีไฟที่คาดไว้ตรงหัวก็คงมองแทบไม่เห็นอะไร สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเดินออกมาด้วยความผิดหวังเพราะถ้ำไม่ได้สวยงดงามตามที่คาดแถมถ้าหากถ้ำเกิดถล่มลงมาผมก็คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากเดินเข้าไปคนเดียวกลางบรรยากาศทุ่งหญ้าและท้องนาโล่งๆตะโกนอะไรออกไปคนก็คงไม่ได้ยินแต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ของนักเดินทางซึ่งหากไม่ได้ออกจากคอมฟอร์ทโซนก็คงจะไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้แน่ๆ


ธรรมชาติของเมืองวังเวียง ประเทศลาว

จุดชมวิวด้านบนที่ผมได้ขึ้นไป
สามารถมองเห็นวิวภูเขาได้อย่างชัดเจน

เมื่อมองลงไปด้านล่างจะเห็นวิวของท้องนา
แต่ถ้าหากมองขึ้นบนฟ้าจะเห็นวิวของทะเลหมอก

สะพานข้ามแม่น้ำหรือที่รู้จักกันดีในชื่อ สะพานส้ม

สะพานส้ม เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของวังเวียง
โดยเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมักมาถ่ายรูปกัน

บลูลากูนของแท้ที่วังเวียง

ถึงแม้จะชื่อ บลูลากูน แต่สีของน้ำไม่ใช่สีฟ้าใส
แต่กลับเป็น สีเขียวมรกต ซะอย่างนั้น

บลูลากูนที่วังเวียงจะมีทั้งสิ้น 3 แห่ง
ภาพนี้คือ บลูลากูนแห่งที่ 2

บันไดทางขึ้นเพื่อเดินมาชมถ้ำ

ธรรมชาติของเมืองวังเวียง
สภาพอากาศบริสุทธิ์และสดชื่น

บรรยากาศภายในถ้ำจัง

ภายในถ้ำมีหินงอกและหินย้อยให้ชมอย่างมากมาย

มีไฟส่องสว่างชัด

ผมใช้เวลาสำรวจภายในถ้ำไม่นานนัก
ซึ่งจากที่ดูก็ไม่ต่างจากถ้ำที่เมืองไทยเท่าไหร่

บ่อน้ำร้อนธรรมชาติ

จุดนี้นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมีเท่าไหร่
บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ

บรรยากาศระหว่างทางที่ผมขี่มอเตอร์ไซค์ผ่าน

ตอนเย็นได้แวะเข้าอีก 1 ถ้ำ
แต่ผมจำชื่อถ้ำไม่ได้แล้ว

ลักษณะของถ้ำไม่ใหญ่มากนัก

ลักษณะภายในถ้ำค่อนข้างมืดทึบเลยทีเดียว
ยังดีที่มีไฟฉายคาดหัวทำให้พอเห็นบรรยากาศด้านใน

ผมเดินเข้าไปเพียงคนเดียว
ถ้าหากถ้ำเกิดถล่มลงมาผมคงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2564

 


EP.29 โฮสเทลยอดนิยมแห่งเมืองดานัง

การเดินทางท่องเที่ยวในต่างแดนของผมนั้น ผมจะมีปณิธานตั้งไว้เสมอว่า พยายามกินง่ายอยู่ให้ง่ายทำตัวกลมกลืนกับคนท้องถิ่นและซึมซับวัฒนธรรมของแต่ละชาติให้ได้มากที่สุดซึ่งการตั้งเป้าหมายแบบนี้ก็ทำให้ผมสามารถประหยัดงบประมาณและเซฟเงินค่าใช้จ่ายในแต่ละทริปได้พอสมควร โดยเฉพาะในเรื่องของการหาที่พักซึ่งปกติเวลาผมไปเที่ยวต่างประเทศผมก็มักไปคนเดียว ดังนั้นการจะเลือกที่หลับที่นอนในแต่ละคืนผมจึงไม่เน้นความหรูหราอลังการในราคาหลักพันอัพขึ้น แต่จะเน้นในราคาที่ไม่เกิน 500 บาทต่อคืนซึ่งช่วงแรกๆผมก็คิดว่าคงน่าจะเป็นโรงแรมหรือเกสต์เฮาส์ราคาถูกๆนี่แหละ แต่การได้ออกได้เดินทางไปยังต่างประเทศทำให้ผมได้มารู้จักกับที่พักในสไตล์แบบประหยัดที่เขานิยมเรียกกันว่า โฮสเทล

โฮสเทล ก็คือที่พักยอดนิยมของบรรดาชาวแบ็คแพ็คเกอร์ โดยที่พักประเภทนี้มีจุดเริ่มต้นจากประเทศเยอรมันที่มีไอเดียทำที่พักเพื่อรองรับพวกบรรดานักเดินทางที่รอนแรมมาไกล ส่วนปัจจุบันโฮสเทลกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายซึ่งคนที่จะมาพักก็มักจะเป็นนักท่องเที่ยวจากฝั่งตะวันตกอย่างพวกฝรั่งหัวทอง แต่ปัจจุบันก็มีนักท่องเที่ยวจากโซนอื่นๆมาพักมากยิ่งขึ้นอย่างเช่นคนเอเชียหัวดำอย่างเราๆและนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มาพักก็มักจะเป็นคนที่แบกเป้เที่ยวเป็นส่วนใหญ่และที่พักประเภทนี้มักมีราคาถูกแต่จะต้องแชร์หรือนอนรวมกับผู้อื่นที่เราไม่รู้จัก โดยตอนที่ผมไปเที่ยวที่เมืองดานังซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของประเทศเวียดนาม ผมก็มองหาที่พักประเภทโฮสเทลไว้ก่อนเนื่องจากต้องการประหยัดงบไว้ใช้จ่ายในส่วนอื่น แต่ด้วยความเป็นเมืองท่องเที่ยวทำให้ราคาที่พักของเมืองนี้จะสูงอยู่พอสมควร ผมเองก็ไม่ได้จองที่พักเอาไว้เรียกได้ว่าเจอที่ไหนก็กะจะวอล์คอินเข้าไปถามเลย สุดท้ายก็มาเจอกับโฮสเทลที่มีชื่อว่า The Vietnam Hostel (เดอะเวียดนามโฮสเทล) ซึ่งทำเลที่ตั้งถือว่าดีมากๆเพราะอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำหานซึ่งจะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูปและเช็คอินกัน เรียกได้ว่าเดินออกมาไม่กี่ก้าวก็จะเจอแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองดานังพอดิบพอดี

ผมวอล์คอินเข้าไปถามพนักงานก็ได้คำตอบว่าสามารถเข้าพักได้เลย เพราะปกติโฮสเทลมักจะว่างอยู่ตลอดเนื่องจากมีการเช็คอินเช็คเอาท์กันตลอดเวลา เนื่องจากคนที่มาพักส่วนมากจะอยู่กันไม่นานนัก สำหรับ The Vietnam Hostel จัดได้ว่าเป็นโฮสเทลที่ถูกสร้างขึ้นไม่นานโดยผมไปพักเมื่อเดือนพฤศจิกายนของปี 2018 ก็ได้ทราบจากพนักงานว่าที่นี่เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่กี่ปีทำให้บรรยากาศของโฮสเทลค่อนข้างดูใหม่และมีความทันสมัย ส่วนเจ้าของนั้นคือชาวอิตาลีที่มาทำธุรกิจในเวียดนามโดยเขามีไอเดียในการออกแบบที่ดูค่อนข้างสร้างสรรค์ ตัวของโฮสเทลมี 3 ชั้นโดยชั้นล่างสุดจะทำเป็นเคาน์เตอร์บาร์ซึ่งเป็นจุดไว้สำหรับจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มมีเก้าอี้ให้นั่งแบบสบายๆซึ่งตั้งอยู่ทั้งด้านในและด้านนอก มีเมนูอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายชนิดนอกจากนั้นยังมีลิฟท์ไว้บริการสำหรับผู้ที่ชอบในความสะดวกสบาย ส่วนชั้น 2 และ 3 จะถูกจัดทำเป็นห้องพักหลักๆก็จะเป็นห้องนอนรวมโดยจะถูกสรรเป็นล็อคมีชั้นบนและชั้นล่างและมีผ้าม่านปิดเพื่อความเป็นส่วนตัวของคนที่มาพัก ส่วนห้องน้ำจะอยู่ตรงกลางโดยแบ่งส่วนของห้องอาบน้ำและห้องสุขาแบบชัดเจน ขณะเดียวกันก็มีตู้เย็นและจุดบริการน้ำดื่มฟรีให้แขกที่เข้ามาพัก ส่วนใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัวก็จะมีในส่วนของห้องพักแบบส่วนตัวด้วยเช่นกันแต่ในส่วนนี้ผมไม่ทราบว่าลักษณะเป็นเช่นไร ส่วนเรื่องราคาก็อาจจะดูแพงกว่าโฮสเทลในที่อื่นๆเนื่องจาก The Vietnam Hostel นั้นได้เปรียบในเรื่องของทำเลที่ตั้งและความใหม่ทันสมัยของตัวที่พักซึ่งสนนราคาอยู่ที่ประมาณ 350 บาทต่อคืนสำหรับห้องนอนรวม


The Vietnam Hostel โฮสเทลยอดนิมยมแห่งเมืองดานัง

ถ่ายรูปจากบริเวณด้านหน้าของที่พัก
สังเกตุได้ว่าจะมีสายไฟระโยงระยางเต็มไปหมด

เคาเตอร์บาร์ จุดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม
โดยมีเมนูให้เลือกหลากหลาย

สามารถเลือกนั่งมุมนั่งทานได้ตามใจชอบ

ใครที่ชอบบรรยากาศด้านนอก
ทางโฮสเทลก็มีที่นั่งให้บริการเช่นเดียวกัน

บันไดทางขึ้นลง ออกแบบได้ดูเก๋และสร้างสรรค์ดี

ใครที่ชอบความสะดวกสบาย
ก็มีลิฟท์ไว้คอยบริการเช่นกัน

จุดของห้องนอนรวมถูกแบ่งเป็นล็อคมี 2 ชั้น
และมีผ้าม่านปิดเพื่อความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น

พื้นที่ตรงส่วนกลางมีโต๊ะและเก้าอี้
ไว้สำหรับนั่งเล่นหรือนั่งทำงานได้

มีตู้เย็นและตู้กดน้ำดื่มไว้บริการฟรีให้แก่ผู้ที่มาพัก

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2564

 

EP.28 ถนนคนเดินมะละกา

ทุกวันนี้คำว่า ถนนคนเดิน ต่างก็เป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นกันได้ทั่วไปซึ่งในเมืองไทยก็มีถนนคนเดินในหลากหลายที่และหลากหลายจังหวัดซึ่งก็ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆทั่วโลก โดยหนึ่งในถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงโด่งดังไกลไประดับโลกก็คงหนีไม่พ้น ถนนคนเดินในประเทศมาเลเซีย โดยถนนคนเดินแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองมะละกาซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของมาเลเซียเลยทีเดียว โดยในอดีตนั้นมะละกาจัดว่าเป็นเมืองท่าที่สำคัญในการขนส่งสินค้าซึ่งแต่เดิมนั้นก็จะมีบรรดาชาติมหาอำนาจในยุโรปที่เป็นชาติล่าอาณานิคมเป็นเจ้าของพื้นที่อย่างเช่นพวกดัตช์ จนเมื่อมาเลเซียได้รับเอกราชก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเมืองมะละกาไปด้วยและลดความสำคัญในการคมนาคมทางเรือลงไปและให้ความสำคัญในการพัฒนาเมืองจนกลายเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมพอๆกับ กัวลาลัมเปอร์หรือปีนัง

ผมมาเที่ยวและได้พักที่มะละกาอยู่ประมาณ 3 วัน 2 คืนโดยช่วงที่ไปพักก็ตรงกับช่วงสุดสัปดาห์พอดีซึ่งในทุกสุดสัปดาห์เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ที่มะละกาจะมีการปิดถนนตรงช่วง Jalan Hang Jebat และทำให้กลายเป็นถนนคนเดิน สำหรับวันศุกร์นั้นจะเริ่มกันประมาณช่วงเย็นๆ แต่ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ก็จะเริ่มมีของมาวางขายตั้งแต่ตอนช่วงบ่ายกันเลยทีเดียว สำหรับของที่นำมาขายส่วนใหญ่เลยก็คือของกินซึ่งก็มีมากมายหลากหลายให้เลือกสรรเรียกได้ว่าถูกใจสายกินอย่างแน่นอน ส่วนที่ผมเห็นรองลงมาก็จะเป็นพวกของกิ๊ฟช็อปงานฝีมือต่างๆและที่ผมสังเกตุเห็นได้อีกอย่างหนึ่งคือ ถนนคนเดินในมะละกากลุ่มพวกพ่อค้าแม่ค้าจะเป็นคนมาเลย์เชื้อสายจีนล้วนๆแทบไม่มีกลุ่มชาวมาเลย์เชื้อสายมลายูเลย ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในมาเลเซียถึงแม้จะมีการรวมกันของ 3 เชื้อชาติคือ ชาวมลายูที่เป็นมุสลิม คนเชื้อสายจีนและกลุ่มคนเชื้อสายทมิฬซึ่งมาจากทางอินเดีย แต่พวกเขาก็จะแยกกันอยู่แบบชัดเจนไม่ค่อยมารวมกลุ่มกันเท่าไหร่นักเรียกได้ว่ากลุ่มใครกลุ่มมันและในมาเลย์เองก็ยังคงมีนโยบายภูมิบุตรที่ให้อภิสิทธิ์แก่ชาวมลายูมากกว่าคนเชื้อชาติอื่นๆอยู่พอสมควร

ขณะที่ถนนคนเดินที่มะละกาเขาจะมีชื่อเรียกว่า ถนนยองเกอร์ สำหรับที่มาที่ไปของชื่อถนนผมก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรมากนัก แต่ในช่วงสุดสัปดาห์ถนนสายนี้จะมีความคึกคักเป็นอย่างมากและจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนมากก็จะเป็นชาวต่างชาติ ของกินก็ละลานตาเต็มไปหมดมีร้านอาหารให้คนได้มานั่งทาน ของคาวของหวานต่างๆแต่ที่เป็นทีเด็ดคงหนีไม่พ้น น้ำมะม่วงปั่น ซึ่งเขาจะใช้มะม่วงแบบสดๆไม่มีการผสมน้ำตาล ส่วนน้ำมะพร้าวก็เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมรองลงมา ส่วนบริเวณด้านหน้าถ้าหากเดินมาจากทางโบสถ์ดัตช์ก็จะเห็นร้าน Hardrock Cafe ซึ่งเป็นคาเฟ่สุดแนวที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศและจะมีพวกบรรดารถสามล้อรับจ้างจอดคอยให้บริการแก่นักท่องเที่ยวซึ่งสามล้อที่มะละกาเขาจะมีเอกลักษณ์ที่ดึงดูดให้คนต้องเหลียวมองนั่นก็คือการประดับตกแต่งให้เป็นลวดลายที่มีสีสันไม่ว่าจะเป็นลายการ์ตูน แต่หลายๆคันที่ผมเห็นเขาจะตกแต่งให้เป็นสีชมพูรวมทั้งการเปิดเพลงแดนซ์มันส์ๆที่คอยสร้างบรรยากาศความคึกคักให้แก่ถนนคนเดินแห่งเมืองมะละกาได้เป็นอย่างดี


ถนนยองเกอร์ ถนนคนเดินแห่งมะละกา

รถสามล้อรับจ้างจอดบริเวณด้านหน้า
ถูกตกแต่งเป็นลายการ์ตูนและโทนสีชมพูสดใส

บรรยากาศจะเริ่มคึกคักตั้งแต่ช่วงเย็นไปจนถึงค่ำ

มีของขายมากมายทั้งของกิน ร้านขายเสื้อผ้า
และบริการเพนท์เล็บ

บรรยากาศในช่วงตอนหัวค่ำ

ร้านขายเกาลัด

ขนมจีบร้อนๆแถมสีสันก็น่าทานอย่างมาก

ใครที่อยากนั่งทานอาหารก็ไม่ต้องกังวล
เพราะมีร้านอาหารให้ได้นั่งทานอยู่หลายร้านเลยทีเดียว

ศิลปินเปิดหมวกเล่นดนตรีให้ได้ชมกัน
ผมไปยืนดูสักพักเห็นว่าคุณคนนี้ฝีมือดีอยู่พอตัวเลย

น้ำมะม่วงปั่นสดๆ เมนูยอดนิยมแห่งถนนยองเกอร์

น้ำมะพร้าว เมนูที่ได้รับความนิยมรองจากน้ำมะม่วง

ผมเดินมาหาที่นั่งพักแถวโบสถ์ดัตช์
ช่วงกลางคืนจะได้เห็นลานน้ำพุที่ประดับไฟสวยงาม

รูปปั้น กานบุนเหลียง บิดาแห่งวงการเพาะกายมาเลเซีย

ทางเข้าสู่ถนนยองเกอร์
ซึ่งถนนคนเดินแห่งนี้เริ่มเปิดครั้งแรกเมื่อปี 2010

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2564

EP.27 แชมพูไอส์แลนด์ สระผมที่นี่แล้วดวงดี

ถ้าหากเอ่ยถึง เกาะ ผมเชื่อว่าหลายๆท่านก็คงนึกถึงเกาะกลางทะเลกับบรรยากาศสบายๆทั้งการดำน้ำ เล่นน้ำทะเลหรือการนั่งรับลมมองท้องฟ้าแบบชิวๆ แต่เกาะที่ผมจะเอ่ยถึงในครั้งนี้ไม่ใช่เกาะที่ตั้งอยู่กลางทะเล แต่เป็นเกาะที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำสาละวินในประเทศพม่า โดยเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างฝั่งเมืองเมาะลำเลิงหรือที่เราจะรู้จักกันในชื่อมะละแหม่งกับอีกเมืองก็คือ เมาะตะมะ เกาะแห่งนี้ผมไม่ทราบว่าชื่อตามภาษาท้องถิ่นเขาเรียกว่าอะไร แต่ตามภาษาอังกฤษเขาจะเรียกกันว่า แชมพูไอส์แลนด์ ซึ่งผมแปลเป็นไทยด้วยตนเองก็คือ เกาะสระผม โดยหากนึกถึงเรื่องของแชมพูก็คงต้องเป็นเรื่องการอาบน้ำหรือสระผมชำระล้างร่างกายนั่นเอง

เกาะสระผมแห่งนี้จะอยู่กลางแม่น้ำสาละวิน สามารถมองเห็นสะพานข้ามแม่น้ำได้อย่างชัดเจน โดยตัวของสะพานก็จะเป็นจุดสัญจรทางบกซึ่งเชื่อระหว่างเมืองละแหม่งและเมืองเมาะตะมะ ในอดีตนั้นมะละแหม่งเคยเป็นเมืองเอกของบรรดาชาวมอญแต่ปัจจุบันนั้นไม่มีชนชาติมอญอีกต่อไป แต่ยังคงเหลือเหล่าบรรดาลูกหลานชาวมอญที่ยังคงอาศัยอยู่โดยหลักๆพวกเขาจะอยู่ที่ฝั่งเมาะตะมะซึ่งเปรียบเสมือนชุมชนของชาวมอญและจากที่ผมพอได้ศึกษาประวัติแบบคร่าวๆก็ทราบว่าเกาะสระผมก็เป็นเสมือนสถานที่แห่งศรัทธาของบรรดาชาวมอญถูกสร้างขึ้นก็จากชนชาติมอญ บรรยากาศส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนเชื้อสายมอญมักจะแวะมากันซึ่งหลักๆก็คือการมาทำบุญหรือนั่งสมาธิและบนเกาะแห่งนี้ก็จะมีทั้งพระสงฆ์และบรรดาแม่ชีอาศัยอยู่ ส่วนจุดไฮไลท์ในการมาเที่ยวชมเกาะสระผม นั่นก็คือ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อกันว่าหากใครได้มาอาบน้ำหรือสระผมจากน้ำในบ่อแห่งนี้ก็จะได้รับความโชคดีและสุขสมหวังไปตลอดชีวิตเนื่องจากตามตำนานเล่าขานกันว่าไว้บ่อน้ำแห่งนี้เป็นบ่อน้ำที่พญานาคดูแลอยู่ ซึ่งจะว่าไปแล้วความเชื่อและศรัทธาที่มีต่อพญานาคของคนไทย พม่า ลาว กัมพูชา นั้นก็มีความคล้ายคลึงกัน แต่นับว่าน่าเสียดายมากเนื่องจากวันที่ผมไปนั้นเขาล็อคประตูเอาไว้ ทำให้ได้แค่ยืนมองบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านั้น

ขณะที่ในส่วนอื่นๆของเกาะก็จะมีรูปปั้นเกี่ยวกับศาสนาพุทธให้ได้ชมกัน มีจุดทำบุญต่างๆและเจดีย์สีทอง แต่เท่าที่ผมได้สังเกตุนั้นพบหน้าตาของพระพุทธรูปที่พม่ากับไทยนั้นจะแตกต่างค่อนข้างชัดเจนและพระพุทธรูปของพม่าส่วนใหญ่จะมีใบหน้าที่ขาวซึ่งผมเองก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเพราะเหตุใด ขณะเดียวกันก็มีต้นไม้ปลูกเรียงรายคอยให้ความร่มรื่นและสดชื่นแก่ผู้ที่มายังเกาะ แต่ก่อนที่จะเดินเข้ามาชมบรรยากาศมีคนท้องถิ่นบอกว่าต้องถอดรองเท้าก่อน เพราะที่พม่านั้นจะถือมากเกี่ยวกับการถอดรองเท้า หากสวมรองเท้าเข้าไปก็เหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ยิ่งเป็นสถานที่เกี่ยวกับความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาแบบนี้การสวมรองเท้าเข้ามาจึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ส่วนการมาเที่ยวชมแชมพูไอส์แลนด์หรือเกาะสระผมนั้นวิธีเดียวที่จะมาได้ก็คือการนั่งเรือซึ่งจะจอดอยู่ตรงฝั่งมะละแหม่ง ราคาค่าโดยสารจะอยู่ที่คนละ 2000 จ๊าดหรือประมาณ 40 บาทแต่จะคิดแบบ 2 เที่ยวคือไปและกลับไม่ใช่ว่าจ่ายรอบเดียวแล้วจบเลย โดยวันที่ผมไปนั้น ผมคือชาวต่างชาติคนเดียวที่ไปยังเกาะสระผมนอกนั้นจะเป็นคนมอญและคนพม่าซึ่งคงไม่น่าแปลกใจอะไรนัก เพราะเกาะสระผมนั้นไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักและข้อมูลก็มีให้ศึกษาน้อยมากที่ผมรู้มาแบบคร่าวๆก็อาศัยจากคนท้องถิ่นที่นั่งเรือไปในลำเดียวกันนั่นเอง


เกาะสระผมหรือแชมพูไอส์แลนด์
ว่ากันว่าใครมาสระผมที่นี่ก็ได้รับความโชคดีกลับไป

สะพานข้ามแม่น้ำสาละวิน
โดยเป็นสะพานเชื่อมระหว่างฝั่งมะละแหม่งกับฝั่งเมาะตะมะ

เรือโดยสารที่ให้บริการสำหรับคนที่จะไปยังเกาะสระผม
ราคาต่อเที่ยวคือ 2000 จ๊าดหรือ 40 บาท

บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ จุดไฮไลท์สำคัญของเกาะสระผม
โดยใครได้อาบน้ำหรือสระผมก็จะได้รับความโชคดี

วันที่ผมไปได้แต่ยืนดูอยู่ข้างนอก
เพราะเขาล็อคประตูเอาไว้

ข้อมูลของบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นภาษามอญล้วนๆ
ตามความเชื่อ คือ เป็นบ่อน้ำที่พญานาคดูแลอยู่

เจดีย์สีทองมีให้เห็นอย่างมากมายบนเกาะสระผม

รูปปั้นภายในเกาะสระผม

รูปปั้นเรื่องราวของพุทธประวัติ
สังเกตุดีๆว่าใบหน้าของรูปปั้นจะแตกต่างจากที่เมืองไทย

รอยพระพุทธบาท

แผนผังบอกจุดต่างๆบนเกาะสระผม