กัมพูชา


EP.3 ออกเดินทางเที่ยวต่างแดนครั้งแรก


ผมเริ่มออกเดินทางเที่ยวต่างประเทศเป็นครั้งแรกเมื่อตอนปีพ.ศ. 2560 ถ้าเป็นปีแบบสากลก็คือปี 2017 โดยเป็นการเที่ยวต่างแดนคนเดียวโดดๆโดยเน้นสไตล์แบกเป้เที่ยวอย่างฝรั่ง จริงๆก่อนหน้านั้นก็ไปเที่ยวมาหลากหลายที่แต่จะไปเป็นกลุ่มหรือกับครอบครัวมากกว่าและจะเน้นเที่ยวในประเทศ โดยต่างประเทศชาติแรกที่ผมเลือกไปก็คือเพื่อนบ้านของเราอย่าง กัมพูชา ซึ่งสาเหตุก็คงเพราะมันไปได้ง่ายและมีพรมแดนติดกับเมืองไทยเลยคิดซะว่าทริปแรกของการโซโล่เดี่ยวในต่างแดนก็เอาใกล้ๆบ้านเรานี่ก่อนแหละ เพราะยังไม่ช่ำชองในการเดินทางมากนัก


ผมเริ่มต้นค้นหาข้อมูลต่างๆในเวปไซต์รวมถึงหนังสือท่องเที่ยวส่วนมากก็จะมีรีวิวเส้นทางยอดนิยมอย่าง เสียมเรียบและพนมเปญ สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะไป เสียมเรียบ เพราะมีไฮไลท์เด่นๆนั่นก็คือ ปราสาทนครวัดอันโด่งดัง ชนิดที่ฝรั่งตาน้ำข้าวเคยเปรยเอาไว้ว่า See Angkor Wat and Die แล้วทำไมคนไทยอย่างผมซึ่งอยู่ใกล้ๆกับเขมรทำไมถึงจะไม่ไป เพราะมีของดีระดับโลกอยู่ใกล้บ้านแท้ๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลหลักๆที่ผมเลือกมากัมพูชา


โดยการเดินทางเกิดขึ้นในเดือนกันยายนปี 2017 ผมตื่นแต่เช้าเพราะต้องไปขึ้นรถโดยสารระหว่างประเทศที่หมอชิต 2 ในเวลา 09.30 น. โดยรถที่โดยสารไปเป็นรถบัสขนาดไม่ใหญ่มากไม่มีห้องน้ำในรถโดยใช้เวลาเดินทางจากหมอชิตไปถึงที่เสียมเรียบราวๆเกือบ 8 ชั่วโมง จริงๆถ้าไม่ติดเรื่องตรงด่านชายแดนที่ปอยเปตคงเร็วกว่านี้ซึ่งการที่เสียเวลาก็เพราะว่าต้องรอพวกนักท่องเที่ยวฝรั่งซึ่งมักมีปัญหายุ่งยากในเรื่องของวีซ่าเข้ากัมพูชา ส่วนคนไทยนั้นเข้าได้ฟรีมีแค่พาสปอร์ตเล่มเดียวก็อยู่ในเขมรได้เป้นเวลา 14 วัน โดยรถจะมาถึงที่ตรงด่านประมาณเที่ยงพอดี พอมาถึงจะมีการแจกข้าวกลางวันซึ่งก็มาในรูปแบบง่ายๆนั่นก็คือ ข้าวกล่องของเซเว่นอีเลฟเว่น


สำหรับการข้ามด่านชายแดนไทย-เขมร ไม่มีอะไรยุ่งยากมีแค่เขียนกรอกใบว่าชื่ออะไร สัญชาติอะไร เดินทางจากไหนและจะไปที่ไหนลงไปแค่นั้นจากนั้นเจ้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็จะปั๊มพาสปอร์ตให้ แต่บางรายอาจจะมีการกวนประสาทใส่แต่ก็มีให้เห็นน้อย เมื่อเสร็จธุระก็ขึ้นไปบนรถบัสที่จอดรถอยู่ตรงหน้าคาสิโนเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี ส่วนจะรอเร็วหรือช้านั้นขึ้นอยู่กับว่าพวกต่างชาติที่มาด้วยนั้นจะมีปัญหาในเรื่องวีซ่าอะไรหรือเปล่า ซึ่งส่วนมากรถบัสจะไปถึงที่บริษัทที่เสียมเรียบประมาณ 5 โมงเย็นหรือไม่เกิน 6 โมงเย็น ส่วนใครที่จะซื้อตั๋วกลับไทยก็สามารถซื้อได้เลยที่บริษัทราคาเท่ากับขามานั่นก็คือ 750 บาท


รอรถบัสที่หมอชิต 2


รถบัสโดยสารระหว่างประเทศ กรุงเทพฯ - เสียมเรียบ


ตารางการเดินรถของบริษัท นัทกานต์


ด่านอรัญประเทศ ตรงจุดนี้เป็นจุดที่เดินเพื่อไปปั๊มพาสปอร์ตออกจากฝั่งไทย


ฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา สิ่งที่สังเกตุเห็นได้เยอะคือ
ขอทานโดยมีทั้งวัยเด็กและผู้ใหญ่

เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
5 มกราคม 2564





EP.4 ที่พักในเสียมเรียบ


เมื่อมาถึงเสียมเรียบ สิ่งแรกๆที่ควรทำนั่นก็คือ การที่พัก แต่ยุคสมัยปัจจุบันนี้สะดวกสบายอย่างมากครับโดยเฉพาะการจองที่พักล่วงหน้าผ่านแอพในโทรศัพท์มือถือ โดยแอพที่ผมใช้จองที่พักในต่างประเทศเป็นประจำนั่นก็คือ Booking.com ซึ่งผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับทางเวปนี้นะเพียงแต่เป็นเวปจองที่พักที่ผมใช้บ่อยและใช้เป็นประจำซึ่งผมมองว่ามันค่อนข้างสะดวก อีกอย่างมีการยกเลิกได้ฟรีโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม โรงแรมหลายแห่งก็ไม่ต้องใช้หมายเลขบัตรเครดิตในการจองสามารถไปจ่ายเงินโดยตรงที่โรงแรมได้เลยซึ่งมันค่อนข้างสะดวกสบายอย่างมาก


สำหรับที่พักแรกของผมในการท่องต่างแดนก็เป็นที่พักในรูปแบบห้องพักรวมหรือที่เรียกกันตามศัพท์นิยมนั่นก็คือ โฮสเทล ซึ่งมีอยู่แทบทั่วทั้งโลก แค่ในเมืองไทยเอาเฉพาะกรุงเทพฯก็นับแทบไม่หวาดไม่ไหวกันแล้ว ส่วนมากที่พักสไตล์โฮสเทลมักจะตั้งอยู่บริเวณเขตเมืองหรือตามเมืองท่องเที่ยวและที่สำคัญทำเลมักจะดีอยู่ใกล้แหล่งตลาดของกินต่างๆและเดินทางสะดวกสบาย ซึ่งเสียมเรียบจัดว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของกัมพูชา ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยี่ยมเยือนกันอย่างมากมายซึ่งสร้างรายได้เข้าประเทศกัมพูชาอย่างมหาศาล โดยจุดหมายหลักก็คงหนีไม่พ้นปราสาทหินนครวัดนครธมอันเลื่องชื่อนั่นเอง


ส่วนเรื่องที่พักที่ผมได้จองเอาไว้ก็คือ Onederz Hostel Siam Reap เป็นโฮสเทลที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ของแบ็คแพ็คเกอร์จากทั่วโลก โดยเขามีสาขาในกัมพูชาทั้งสิ้น 3 สาขานั่นก็คือที่เสียมเรียบ พนมเปญและสีหนุวิลล์ ซึ่งทั้ง 3 เมืองล้วนแต่เป็นเมืองท่องเที่ยวทั้งสิ้น จุดเด่นของโฮสเทลแห่งก็คือ สระว่ายน้ำ โดยที่เสียมเรียบจะตั้งอยู่บนชั้นดาดฟ้าผู้ที่มาใช้บริการส่วนมากก็จะเป็นบรรดาหนุ่มสาวชาวฝรั่ง แต่ที่พักแห่งนี้เป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวจากหลายชาติ ตอนที่ผมไปพักก็สังเกตุได้ว่ามีทั้งนักท่องเที่ยวทั้งเป็นฝรั่งและชาวเอเชียปะปนกันไป


สำหรับเรื่องราคาต่อคืนก็อยู่ที่ประมาณ 6 เหรียญสหรัฐคิดเป็นเงินไทยก็ตกประมาณ 180 บาทต่อคืน ผมเลือกนอนห้องพักรวมแบบหลายคนซึ่งมันเป็นครั้งแรกของผมที่มานอนโฮสเทลเพราะปกติเที่ยวเมืองไทยก็นอนโรงแรมตลอด ครั้งนี้ก็เลยลองเปลี่ยนประสบการณ์ที่สำคัญก็อยากเซฟเงินเก็บเอาไว้ทำอย่างอื่นซึ่งถ้าเลือกนอนโรงแรมแบบทั่วไปก้คงไม่ต่ำกว่า 500 บาทต่อคืน ดังนั้นมันจึงเป็นวิธีการที่ประหยัดสำหรับผู้ที่ไม่คิดอะไรมากแบบผม ในส่วนอื่นๆภายในห้องก็จะมีล็อกเกอร์ให้เก็บของ ห้องน้ำอยู่ด้านนอกเป็นห้องน้ำรวมแบบแยกชายหญิง ด้านล่างจะเป็นจุดต้อนรับมีห้องครัวมีมุมไว้สำหรับนั่งเล่น ตรงมุมนั่งเล่นจะมีพวกแขกที่มาพักจับกลุ่มนั่งคุยกัน หลายคนไม่ได้รู้จักกันหลายคนมาเที่ยวคนเดียวก็มักได้เพื่อนใหม่จากการพักในโฮสเทลนี่แหละ ส่วนพนักงานที่นี่บริการดีภาษาอังกฤษเยี่ยมและเป็นกันเองกับแขกที่มาพัก นี่จึงถือว่าเป็นเสน่ห์ของโฮสเทลที่ทำให้ที่พักสไตล์นี้ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่แบ็คแพ็คเกอร์



ที่พักของผมในเสียมเรียบ คือ
Onederz Hostel Siem Reap


บริเวณด้านหน้าของที่พัก


บรรยากาศด้านในที่พัก


จุดของห้องครัว แต่อาหารเช้าที่นี่ไม่ฟรีนะ
ต้องเสียเงินอยากกินอะไรก็สั่งแล้วก็จ่ายเงิน


ใบชำระเงิน ผมพัก 2 คืนตกเป็นเงินไทยก็ 360 บาท

เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
7 มกราคม 2564





EP.5 นครวัด นครธม ตาพรหม

สถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังและเป็นไฮไลท์ของเมืองเสียมเรียบก็คงหนีไม่พ้น ปราสาทนครวัด ปราสาทนครธมและปราสาทตาพรหม ซึ่งผมก็ไม่พลาดที่จะไปเที่ยวเก็บสถานที่เหล่านี้ แต่เอาเข้าจริงๆผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเที่ยวในสถานที่ดังๆหรือแลนด์มาร์คสำคัญอะไรเท่าไหร่ เพียงแต่ในเวลานั้นคิดว่ามันคือการเดินทางท่องเที่ยวต่างแดนครั้งแรกก็ควรไปเที่ยวในที่ที่นักท่องเที่ยวคนอื่นๆนิยมไปกันก่อน เพราะยังเป็นนักเดินทางหน้าใหม่ ไอ้ครั้นจะโชว์ห้าวเที่ยวในที่แปลกๆสถานที่ใหม่ๆที่คนไม่รู้จักมันก็คงยังไงอยู่ สุดท้ายก็เลือกเที่ยวตามรอยตามกระแสคนอื่นๆซึ่งก็คือ นครวัดนครธมและตาพรหม 3 ปราสาทอันโด่งดังของเขมรนั่นเอง


การไปเที่ยวชมปราสาทนครวัดนั้นมีให้เลือก 2 เวลานั่นก็คือรอบเช้าและรอบสาย ผมเลือกไปตั้งแต่เช้าซึ่งต้องไปก่อนช่วงตี 5 ช่วงเวลาเช้าๆแบบนี้เป็นช่วงนักท่องเที่ยวนิยมมากัน โดยการเดินทางไปที่ปราสาทนครวัดต้องอาศัยการเหมารถรับจ้างซึ่งที่กัมพูชาจะเป็นลักษณะคล้ายสามล้อเครื่องซึ่งคนขับรถรับจ้างพวกนี้จะอาศัยหากินกับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลักอยู่แล้ว ขนาดผมลงจากรถบัสตอนที่มาถึงเสียมเรียบใหม่ๆ พวกบรรดาพี่ๆท่านก็มายืนรอคอยต้อนรับตรงทางลงรถกันเต็มไปหมดและพยายามโน้มน้าวให้เหมาพวกเขาในการพาเที่ยวที่ต่างๆในเมืองเสียมเรียบ ส่วนราคาก็แล้วแต่ตกลงกันเองเลยครับแต่ส่วนมากแล้วเรทที่เหมาะสมก็คือไม่เกิน 25 ดอลล่าร์


ผมไปครั้งแรกก็เจอโก่งราคาแพงเลย ผมไปครั้งนั้นต้องยอมรับว่าไม่ได้ศึกษาข้อมูลมากพอจึงถูกต้มไปพอสมควรซึ่งก็ถือว่าเป็นทเรียนสำหรับนักท่องเที่ยวมือใหม่ซึ่งอย่างน้อยควรศึกษาข้อมูลก่อนการเดินทางให้ดี หากไม่อยากเจอฟันราคาจนหัวแบะแบบผม ทีนี้มาถึงเรื่องของการเข้าชมปราสาทนครวัด สำหรับค่าเข้าของชาวต่างชาติตอนผมไปซื้อเมื่อปี 2017 ผมจ่ายไป 37 ดอลล่าร์ซึ่งเป็นเงินไทยก็หลักพันกว่าบาท ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าขึ้นราคาอีกไหม โดยในเรทราคานี้สามารถเข้าชมได้ 3 ปราสาทและต้องเก็บไว้อย่าให้หายเพราะต้องเอาไปแสดงกับเจ้าหน้าที่ทุกครั้งก่อนเข้าไปชม สำหรับประวัติของปราสาทนครวัดผมคงไม่ลงรายละเอียดเพราะมีข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับนครวัดอยู่อย่างมากมาย แต่จะบอกเล่าเกี่ยวับบรรยากาศต่างๆซึ่งส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวจะบ่นคล้ายๆกันว่า โคตรร้อน ผมเองไปตั้งแต่เช้าพอสายหน่อยก็เริ่มร้อนเหงื่อซึมแล้ว เพระาฉะนั้นถ้าใครไปควรพกร่มหรือครีมกันแดดไปด้วย เพราะอากาศค่อนข้างอบอ้าวเลยทีเดียว


หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าที่ปราสาทนครวัดเสร็จก็ไปต่อที่ปราสาทนครธมอีกหนึ่งปราสาทชื่อดังที่บอกเล่าความยิ่งใหญ่และเรืองรองของอาณาจักรขอมในอดีตได้เป็นอย่างดี ขณะที่เดินในปราสาทนครธมสังเกตุเห็นมีนักเรียนชาวเขมรมาทัศนศึกษากันด้วย  หลังจากเดินชมจนหนำใจก็ไปต่อที่ปราสาทสุดท้ายคือ ปราสาทตาพรหม ปราสาทแห่งนี้กลายเป็นที่นิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกหลังจากที่กองถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ทูมไรเดอร์ จากฮอลลีวู้ดลงทุนมาบินมาถ่ายทำกันถึงที่นี่นำมาโดยนางเอกคนดังของเรื่องอย่าง แองเจลิน่า โจลี่ ทำให้ปราสาทตาพรหมกลายเป็นสถานที่โด่งดังมีชื่อเสียงระดับโลกขึ้นมา สัญลักษณ์อันโดดเด่นที่หลายคนต้องมาถ่ายรูปก็คือต้นไม้ใหญ่ที่ครั้งนึงเคยเป็นฉากในหนังเรื่อง ทูมไรเดอร์ ส่วนบรรยากาศตอนที่ไปก็วุ่นวายพอดู เนื่องจากทัวร์จีนมาลงกันให้เพียบซึ่งไม่น่าแปลกใจ นอกจากจะมีทัวร์จีนแล้วก็มีคณะทัวร์จากหลากหลายประเทศซึ่งผมก็ได้ยินคณะทัวร์จากไทยแลนด์บ้านเกิดเช่นเดียวกัน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าทั้งปราสาทนครวัด นครธมและตาพรหมคือของดีและสถานที่ท่องเที่ยวที่สร้างรายได้เข้าประเทศกัมพูชาในแต่ละปีอย่างมหาศาลเลยทีเดียว


พระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าที่ปราสาทนครวัด


ถ่ายบรรยากาศจากอีกมุม


ปราสาทนครวัดในแต่ละวันจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว
จากทั่วโลก


รูปปั้นภายในปราสาทนครวัด


บริเวณทางเข้าด้านหน้า


อีกส่วนหนึ่งของปราสาทวัด


อีกส่วนหนึ่งของปราสาทวัด


อีกส่วนหนึ่งของปราสาทวัด


ทางเข้าปราสาทนครธม


ด้านหน้าของปราสาทนครธม


ภายในปราสาทนครธม


ปราสาทนครธม โบราณสถานอันล้ำค่าของเขมร


ปราสาทนครธม โบราณสถานอันล้ำค่าของเขมร


ปราสาทนครธม โบราณสถานอันล้ำค่าของเขมร


วันที่ผมไปเจอนักเรียนมาทัศนศึกษาพอดี


คณะนางรำโชว์ประจำปราสาทนครธม


ปราสาทตาพรหม เอกลักษณ์เด่นคืนต้นไม้
ที่ขึ้นอยู่บริเวณตัวปราสาท


ปราสาทตาพรหม ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำ
ภาพยนตร์เรื่อง ทูมไรเดอร์


บรรยากาศอีกมุมของปราสาทตาพรหม


ปราสาทตาพรหม


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
9 มกราคม 2564





EP.6 ทะเลสาบเขมร

โตนเลสาบ คือ ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชาและใหญ่ที่สุดของทวีปเอเชียเลยด้วยซ้ำไป โดยครอบคลุมพื้นที่จังหวัดต่างๆของกัมพูชาหลายจังหวัดทั้ง เสียมเรียบ พระตะบอง โพธิสัตว์ กัมปงชนังและกัมปงธม ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตของบรรดาชาวกัมพูชา โดยโตนเลสาบมีปลาสายพันธุ์ต่างๆมากกว่า 300 ชนิด วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่จึหนีไม่พ้นการออกล่าหาปลาและดำรงชีพด้วยการเป็นชาวประมง


ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวชมบรรยากาศของโตนเลสาบ ทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ของเขมรก็ได้เห็นชีวิตริมแม่น้ำซึ่งชาวบ้านก็อยู่กันแบบง่ายๆเน้นการหาปลาเป็นหลักและอีกสิ่งหนึ่งที่เข้ามาสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านก็คือ การท่องเที่ยว ซึ่งจะมีทั้งการเปิดสถานที่ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม การรับจ้างเป็นคนขับเรือรับจ้าง ใครพูดภาษาอังกฤษได้ก็ไปเป็นไกด์รวมถึงการขายสินค้าที่ระลึกต่างๆให้แก่นักท่องเที่ยว โดยเป้าหมายหลักของพวกเขาก็คือ นักท่องเที่ยวต่างชาตินั่นเอง สำหรับค่าเข้าชมโตนเลสาบผมจำราคาค่าตั๋วไม่ได้แล้ว แต่ค่อนข้างแพงเอาการอยู่ซึ่งผมเหมาเรือ 1 ลำเที่ยวคนเดียว โดยมีพนักงาน 2 คนไปพร้อมกับผม คนนึงเป็นคนขับเรืออีกคนนึงเป็นไกด์ที่คอยให้ข้อมูลต่างๆ


สิ่งที่ผมได้ไปเห็นนอกจากวิถีชีวิตริมแม่น้ำของบรรดาชาวบ้านก็ยังมี จุดขายของที่ระลึก โรงเรียน สถานที่ราชการก็มีตั้งอยู่บริเวณโตนเลสาบ สำหรับโรงเรียนจะมีเด็กเชื้อสายเวียดนามอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เด็กส่วนมากมีฐานะยากจนและดูน่าสงสารบางคนเป็นเด็กกำพร้า โรงเรียนจึงเปรียบเสมือนสถานที่เลี้ยงดูเด็กที่กำพร้าและขาดแคลนไปในตัวซึ่งก่อนที่จะเข้าไปชมบรรยากาศภายในโรงเรียน เรือจะจอดให้ฟังข้อมูลจากคนดูแลโรงเรียนพร้อมกับพยายามตื๊อให้นักท่องเที่ยวซื้อของให้แก่เด็กๆซึ่งก็ถือว่าเป็นไปตามสเตปในการเรียกเงินจากนักท่องเที่ยว ผมได้จ่ายเงินไปจำนวนหนึ่งซื้อพวกข้าวสารและขนมในการแจกเด็กๆ หลังจากนั้นก็ไปยังจุดที่เป็นบ่อเลี้ยงจระเข้ดูๆไปแล้ว ผมว่าไม่ต่างจากที่ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการหรือบึงสีไฟที่พิจิตรแถมมีจระเข้น้อยกว่า บ่อเลี้ยงจระเข้ในโตนเลสาบผมจึงรู้สึกเฉยๆไม่ได้ตื่นเต้นอะไร


สำหรับ โตนเลสาบ จริงๆมีจุดน่าสนใจอีกมากมายโดยเฉพาะในตอนเย็นๆจะสามารถเห็นวิวพระอาทิตย์ตกดินอย่างสวยงาม แต่ตอนที่ผมไปดันเป็นตอนบ่ายแดดร้อนจ้าจึงไม่มีโอกาสได้เห็นวิวพระอาทิตย์ตกดิน รวมๆแล้วผมว่าโตนเลสาบมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้เห็นเยอะ แต่ความคิดส่วนตัวของผมดูไปก็เหมือนสถานที่เน้นขายแพ็คเกจเน้นขายของยัดเยียดให้แก่นักท่องเที่ยวมากเกินไป หากใครคิดจะไปเที่ยวสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนอย่างแท้จริงท่านอาจจะผิดหวัง แต่ถ้าอยากเที่ยวชมบรรยากาศของโตนเลสาบซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ผมว่าก็เป็นตัวเลือกที่ดีซึ่งแนะนำว่าควรมาตอนเย็นๆก็จะสามารถเก็บบรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ตกดินได้แบบสวยงาม


โตนเลสาบ ทะเลสาบน้ำจืดของเขมร


โตนเลสาบเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุด
ในทวีปเอเชีย


โตนเลสาบ


ล่องเรือชมบรรยากาศ ผมจำราคาค่าตั๋วไม่ได้แล้ว
แต่ค่อนข้างแพงเอาเรื่องอยู่


มองเห็นบ้านเรือนริมน้ำของชาวบ้าน


โรงเรียนประจำโตนเลสาบ


มีเด็กมากมายหลายชีวิต
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กกำพร้าและมีฐานะยากจน


เด็กส่วนใหญ่มีเชื้อสายเวียดนาม


บ่อเลี้ยงจระเข้ขนาดไม่ใหญ่นัก


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
12 มกราคม 2564





EP.7 รถไฟไม้ไผ่พระตะบอง

พระตะบอง เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของกัมพูชา ในอดีตนั้นพระตะบองเคยเป็นส่วนหนึ่งของสยามประเทศแต่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ที่ไทยต้องยอมเสียดินแดนส่วนน้อยเพื่อรักษาดินแดนส่วนใหญ่เอาไว้ ทำให้พระตะบองถูกแยกออกจากผืนแผ่นดินไทยและตกเป็นพื้นที่อาณาเขตของกัมพูชาจนถึงปัจจุบัน โดยในทุกวันนี้พระตะบองเป็นอีกหนึ่งจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญของกัมพูชา ถ้าเดินทางมาจากอรัญประเทศที่จังหวัดสระแก้วและข้ามด่านตรงปอยเปตจะใช้เวลามาที่พระตะบองไม่เกิน 4 ชั่วโมงซึ่งใกล้กว่าที่เสียมเรียบหรือพนมเปญ


ผมเดินทางมาเที่ยวพระตะบองเมื่อตอนเดือนเมษายนปี 2019 โดยนั่งรถไฟจากกรุงเทพมาที่อรัญประเทศและข้ามแดนเข้าเขมรจากนั้นต่อรถบัสไปที่พระตะบองมาถึงก็ราวๆ 5 ทุ่มไปแล้ว พอวันรุ่งขึ้นก็ค้นหาโปรแกรมว่ามีสถานที่ใดน่าสนใจบ้างในพระตะบอง สุดท้ายแล้วสิ่งที่ควรทำเมื่อมาเยือนพระตะบองนั่นก็คือ การนั่งไฟไม้ไผ่อันคลาสสิค เมื่อมาถึงที่แล้วไม่ลองก็คงเหมือนมาไม่ถึง ผมจึงตัดสินใจจ้างรถตุ๊กตุ๊กเหมาพาเที่ยวและมุ่งไปยังสถานที่ตั้งของรถไฟไม้ไผ่ซึ่งอยู่ในเขตชุมชนอุดัมบัง โดยชาวบ้านที่นี่ได้มีการดัดแปลงนำไม้ไผ่มาต่อกับชุดโลหะแล้วนำเครื่องยนต์เรือมาติดตั้ง ทำให้กลายเป็นพาหนะสุดคลาสสิคซึ่งรู้จักกันดีในภาษาเขมรว่า โนรี หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า รถไฟไม้ไผ่นั่นเอง


โดยในอดีตนั้นเส้นทางรถไฟตรงบริเวณนี้เคยเป็นจุดที่ใช้ลำเลียงสินค้าของบรรดาทหารเขมรแดงในยุคที่เขมรมีสงครามกลางเมือง แต่หลังจากสิ้นสุดลงทางรถไฟสายนี้ก็ถูกทิ้งร้างจนกระทั่งมีบรรดาชาวบ้านได้ทำการชุบชีวิตเส้นทางรถไฟบริเวณชุมชนอุดัมบังให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง ในที่สุดก็มาลงตัวกันที่ รถไฟไม้ไผ่ ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของจังหวัดพระตะบอง ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจากหลากหลายชาติมาทดลองนั่งสัมผัสบรรยากาศของรถไฟไม้ไผ่กันอย่างมากมาย ซึ่งราคาสำหรับการนั่งรถไฟไม้ไผ่จะอยู่ที่ 10 ดอลล่าร์หรือราวๆ 310 บาทคิดระยะเวลาทั้งขาไปและขากลับก็ไม่เกิน 1 ชั่วโมง โดยระหว่างที่นั่งไปนั้นจะผ่านเส้นทางบรรยากาศของชนบทและท้องทุ่งนา มองเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ยึดอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยคนขับรถไฟไม้ไผ่จะมีจังหวะในการขับที่ทั้งเร็วและช้าแล้วแต่บุคคล หากตรงไหนบรรยากาศสวยๆก็อาจจะมีชะลอให้ช้าลงเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปและถ้ามีรถสวนกันก็จะต้องมี 1 คันที่ต้องยอมเสียสละยกรถออกจากรางเพื่อให้อีกคันสวนผ่านไปได้ โดยขั้นตอนการยกรถและถอดเครื่องต่างๆใช้เวลาไม่นานนัก จากนั้นก็จะวิ่งไปยังจุดพักซึ่งก็คือจุดขายสินค้าของที่ระลึก ซึ่งส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นบรรดาเสื้อผ้า ผมเองก็ไปซื้อเสื้อยืดมา 1 ตัวซึ่งก็เป็นรูปภาพรถไฟไม้ไผ่และสกรีนคำว่า Battambang ลงไป


หลังจากนั้นคนขับก็จะพากลับไปยังจุดเดิมพอไปถึงก็จะมีการเรียกขอทิปกันเล็กน้อยซึ่งก็ถือว่าเป็นปกติ ผมเองก็ให้ทิปไปประมาณ 2 ดอลล่าร์ ซึ่งผมมองว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีในการมานั่งรถไฟไม้ไผ่สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะในตอนนี้เริ่มมีข่าวว่าเส้นทางรถไฟสายนี้จะมีการปรับปรุงและเตรียมเปิดให้บริการให้เป็นเส้นทางวิ่งของรถไฟในกัมพูชาอีกครั้งซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าหากรถไฟกลับมาวิ่งให้บริการ รถไฟไม้ไผ่ของพระตะบองก็คงต้องหยุดวิ่งและเหลือแต่ตำนานให้คนได้จดจำถึงภูมิปัญญาของชาวบ้านที่ได้สร้างรถไฟไม้ไผ่ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวจนกลายเป็นสัญลักษณ์และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดพระตะบอง


รถไฟไม้ไผ่ สัญลักษณ์สำคัญประจำจังหวัดพระตะบอง


รถไฟไม้ไผ่ ภูมิปัญญาชาวบ้าน
ในเขตอุดัมบัง


รางรถไฟ ในอดีตเคยเป็นจุดลำเลียงสินค้าของ
ทหารเขมรแดงในยุคสงครามกลางเมือง


บรรยากาศระหว่างทางที่รถไฟไม้ไผ่แล่นผ่าน


นั่งได้มันส์ดี คนขับมีทั้งช่วงเร่งและผ่อน
บางจังหวะมีโยกเยกบ้าง


จุดแวะพัก บริเวณนี้จะเป็นจุดขายสินค้า
มีทั้งของกินและของที่ระลึก


ผมเหมารถตุ๊กตุ๊กพาเที่ยวตลอดวัน
เที่ยวเขมรการเหมารถตุ๊กตุ๊กได้รับความนิยมมากที่สุด
แต่ต้องตกลงราคากับคนขับให้ดีๆ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
14 มกราคม 2564





EP. 8 ร้านอาหารไทยในกรุงพนมเปญ


กรุงพนมเปญ คือ เมืองหลวงของประเทศกัมพูชาและด้วยความที่เป็นเมืองหลวงนี่เอง ทำให้พนมเปญเป็นเมืองที่ทันสมัยและเจริญมากที่สุดของประเทศ โดยนอกจากจะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ทางราชการ บริษัทเอกชนและสถานที่อื่นๆอีกมากมาย นอกจากนั้นกรุงพนมเปญยังถือว่าเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกและการที่มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเที่ยวกันมากมายในแต่ละปี ทำให้เกิดธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและสถานบันเทิงยามค่ำคืนและที่มีมากอีกเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ พวกบรรดาร้านอาหาร


ผมไปเที่ยวพนมเปญครั้งแรกก็ตอนปี 2017 หลังจากเที่ยวเสียมเรียบในทริปแรกก็กลับไปเที่ยวเขมรเป็นครั้งที่ 2 คราวนั้นอยู่เที่ยวพนมเปญแบบเน้นๆ ส่วนใหญ่บรรยากาศก็ไม่ต่างจากเมืองหลวงของประเทศอื่นๆที่จะเต็มไปด้วยแสงสีอันศิวิไลช์ความทันสมัยและการจราจรที่คับคั่ง สิ่งหนึ่งที่ผมได้ไปลองสัมผัสก็คือ ร้านอาหาร และก็มาเจอร้านอาหารแห่งหนึ่งที่สะดุดตามากนั่นก็คือ ร้านอาหารไทย โดยร้านอาหารไทยที่พนมเปญมีชื่อร้านว่า เชียงใหม่ เจ้าของร้านเป็นชาวกัมพูชาเชื้อสายจีน โดยมีเมนูอาหารไทยให้เลือกมากมายขายตั้งแต่ช่วงกลางวันไปจนถึงมืดค่ำ แต่ถ้าให้ได้บรรยากาศมากที่สุดก็ควรไปทานในตอนกลางคืน โดยร้านอาหารแห่งนี้อยู่แถวใกล้ๆริมแม่น้ำ โดยจุดนี้จะเป็นแหล่งรวมพวกบรรดาร้านอาหารและสถานบริการต่างๆซึ่งส่วนมากจะเป็นร้านที่เน้นขายนักท่องเที่ยวต่างชาติ ราคาส่วนมากก็จะเป็นราคานักท่องเที่ยวจึงไม่แปลกที่จะแพงไปอีกเท่าตัว ส่วนถ้าอยากได้ราคาถูกๆราคาแบบคนท้องถิ่นก็จะอยู่อีกโซนนึงซึ่งก็ไม่ได้ไกลกันมากนัก


สำหรับเมนูที่ผมสั่งไปก็มีผัดผักรวมมิตร ส้มตำไทย ข้าวเปล่า 1 จานและน้ำเปล่า 1 ขวด ราคาโดยรวมก็ 300 กว่าบาท ส่วนรสชาติผมว่าค่อนข้างจืดอาจไม่จัดจ้านถูกปากคนไทยนัก แต่เข้าใจได้ว่าเน้นขายคนต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มฝรั่ง จึงแทบไม่มีกลิ่นอายแบบอาหารไทยต้นตำรับแท้ๆแต่รสชาติโดยรวมก็ถือว่าพอทานได้ไม่ได้ถึงขั้นแย่อะไร ส่วนมากจะเน้นขายบรรยากาศและทำเลที่ตั้งเสียมากกว่า เพราะแค่เดินข้ามถนนไปก็จะเป็นบริเวณริมแม่น้ำที่เป็นจุดชมวิวของกรุงพนมเปญซึ่งตั้งแต่ช่วงเย็นไปจนถึงดึกดื่นจะมีผู้คนมานั่งเล่นทำกิจกรรมต่างๆกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้าหากหิวก็เดินข้ามถนนมาก็จะเจอร้านอาหารมากมายหลากหลายร้านให้เลือกทาน แต่ถ้าอยากลิ้มรสชาติอาหารไทยก็อย่าลืมแวะมาที่ร้านเชียงใหม่ ซึ่งมีเมนูอาหารไทยให้เลือกสรรอยู่เป็นจำนวนมาก


เชียงใหม่ ร้านอาหารไทยในกรุงพนมเปญ


ส้มตำไทย รสชาติจืดไปหน่อย


ผมสั่งมา 2 อย่างรวมราคาทั้งสิ้น 300 กว่าบาท


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
17 มกราคม 2564





EP.9 ทุ่งสังหารแห่งกัมพูชา


กัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศที่เคยมีเหตุการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สังหารคนในประเทศอย่างโหดร้ายมาแล้ว โดยเหตุการณ์ที่หลายๆคนไม่มีวันลืมก็คือ เรื่องราวของกลุ่มเขมรแดงซึ่งเคยมีอำนาจเมื่อสักประมาณ 40-50 กว่าปีก่อน โดยกลุ่มเขมรแดงก็เปรียบได้ดั่งกับกองกำลังคอมมิวนิสต์ของกัมพูชา โดยมี พอล พตเป็นผู้นำและมีอุดมการณ์คือ เผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพเป็นตัวขับเคลื่อน ทำให้ศัตรูทางการเมืองของเขมรแดงไม่ว่าจะเป็น กลุ่มทหาร ข้าราชการ ปัญญาชนผู้มีการศึกษา ที่มีแนวคิดตรงกันข้ามต่างถูกกำจัดเสียหมดสิ้น รวมๆแล้วในช่วงที่เขมรแดงครองประเทศได้ทำการสังหารประชาชนชาวเขมรไปมากกว่า 3 ล้านคนถือว่าเป็นเหตุการณ์สังหารที่โหดร้ายและรุนแรงแบบถึงขีดสุดในประวัติศาสตร์ของกัมพูชา


โดยเหตุการณ์สังหารโหดในอดีตก็นำมาซึ่งสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ที่ไม่น่าจดจำของผู้คนชาวเขมรซึ่งสถานที่นั้นก็คือ ทุ่งสังหารหรือตามคำศัพท์ภาษาเขมรจะเรียกว่า เจืองเอ็ก ปัจุบันทุ่งสังหารกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของกัมพูชาและของกรุงพนมเปญเลยทีเดียว นักท่องเที่ยวมาเยือนต่างก็มีจุดมุ่งหมายมาชมสถานที่แห่งนี้ให้เห็นกับตาตัวเอง สำหรับทุ่งสังหารอยู่เขตนอกเมือง วิธีสะดวกที่สุดก็คือเหมารถตุ๊กตุ๊ก เมื่อมาถึงจะพบประตูทางเข้าอยู่ด้านหน้า เอาเป็นว่าแค่มองจากข้างนอกก็ให้อารมณ์แบบหดหู่ดูวังเวงพอสมควร พอก้าวข้ามประตูไปจะเจอกับจุดขายตั๋วซึ่งราคาสำหรับชาวต่างชาติอยู่ที่ 6 ดอลล่าร์ นอกจากนี้ยังมีบริการออดิโอไกด์หรือหูฟังคำบรรยายในภาษาต่างๆซึ่งมีมากมายนักทั้ง เขมร อังกฤษ สเปน ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น จีน มาเลย์และรวมถึงภาษาไทยของเราก็มีด้วยเช่นกัน


พอซื้อตั๋วและรับหูฟังเสร็จเจ้าหน้าที่ก็จะแจกใบโบรชัวร์ซึ่งแสดงถึงแผนผังของสถานที่โดยจะต้องเดินไปตามจุดต่างๆตั้งแต่จุดแรกไปถึงจุดสุดท้ายซึ่งในออดิโอไกด์เขาจะบอกแบบเสร็จสรรพ เพราะฉะนั้นไม่มีทางหลงหรืองงแน่นอน ผมเดินจากที่ 1 ไปยันจุดสุดท้ายได้รับฟังเรื่องราวต่างๆจนเต็มอิ่มก็รู้สึกหดหู่และสงสารกับเหยื่อที่ถูกกลุ่มเขมรแดงสังหารอย่างโหดร้ายทารุณ ซึ่งการฆ่ามีในหลากหลายรูปแบบซึ่งล้วนแต่โหดๆทั้งนั้นและที่ดูหดหู่มากสุดก็คงหนีไม่พ้นการจับเอาเด็กเล็กๆที่ไม่ประสีประสาฟาดกับต้นไม้จนตายคาที่ ส่วนวิธีการเอาตัวเหยื่อมาฆ่าก็จะมีการหลอกล่อว่าจะพาไปยังที่แห่งใหม่ซึ่งจะเป็นสถานที่ที่สบายๆไม่ทุกข์ร้อนซึ่งคำพูดเหล่านั้น เหยื่อหลายคนก็เข้าใจแล้วว่ามันคือการนำมาฆ่าทิ้งนั่นเอง โดยในแต่ละวันจะมีการนำนักโทษหลากหลายวัยขึ้นรถบรรทุกและพามาสังหารที่ทุ่งสังหารแห่งนี้


สำหรับจุดสุดท้ายในการเดินชมทุ่งสังหารก็คือ จุดของสถูปรำลึกซึ่งได้มีการสร้างขึ้นมาใหม่หลังจากการล่มสลายของเขมรแดง โดยสถูปรำลึกแห่งนี้จะเก็บรวบรวมบรรดากะโหลกอวัยวะชิ้นต่างๆของเหยื่อที่ถูกสังหารลงไป ทั้งในส่วนศรีษะ แขน ขา สะโพก รวมถึงยังเก็บบรรดาเสื้อผ้าของเหยื่อและอาวุธที่ใช้ในการสังหารให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน นอกจากนั้นภายในทุ่งสังหารยังมีในส่วนของพิพิธภัณฑ์ซึ่งจะจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาตร์ของทุ่งสังหาร ข้อมูลของกลุ่มเขมรแดง รวมถึงห้องฉายภาพวีดีโอเกี่ยวกับผู้รอดชีวิตในเหตุการณ์สังหารโหดของเขมรแดง ซึ่งแม้ว่าทุ่งสังหารจะเป็นสถานที่แห่งความโหดร้ายและทารุณแต่ก็เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายของมนุษย์ที่กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองและเป็นเครื่องเตือนความจำว่าเหตุการณ์ในอดีตจะไม่เกิดขึ้นซ้ำสองอีกครั้งในปัจจุบันหรืออนาคต


ประตูทางเข้าด้านหน้าแค่เห็นก็ให้อารมณ์หดหู่แบบสุดๆ


แผนผังแสดงถึงจุดต่างๆภายในพื้นที่
ทุ่งสังหาร


ภาพและข้อมูลที่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ในอดีตของทุ่งสังหารแห่งนี้


หลุมศพที่ใช้ฝังศพเหยื่อของเขมรแดง


ต้นไม้แห่งความตาย พวกเขมรแดงจะจับเอา
เด็กเล็กๆมาฟาดกับต้นไม้จนตาย


กระดูกส่วนแขนไหล่ลำตัวและฟันของเหยื่อ


กะโหลกศรีษะของเหยื่อที่ถูกสังหาร
มีอยู่อย่างมากมายทั้งชายและหญิง


หนึ่งในอาวุธที่เขมรแดงใช้สังหารนักโทษ


สถูปรำลึก ถูกสร้างขึ้นหลังจากที่
เขมรแดงล่มสลาย


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
19 มกราคม 2564





EP.10 บรรยากาศทั่วไปของกรุงพนมเปญ


ผมเที่ยวในกรุงพนมเปญอยู่ประมาณ 3-4 วัน พยายามเก็บสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญให้ได้มากที่สุดพอถึงช่วงวันท้ายๆก่อนที่จะกลับกรุงเทพฯก็ตัดสินใจเดินสำรวจบรรยากาศของกรุงพนมเปญว่ามีอะไรบ้าง โดยผมเน้นการเดินเป็นหลักส่วนมากก็จะเดินเลาะริมแม่น้ำซึ่งก็จะเป็นเหมือนจุดศูนย์กลางและเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมักจะอยู่กัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเจอพวกของกินต่างๆร้านอาหารผับบาร์และที่พัก นอกจากนั้นยังมีส่วนของตลาดขายสินค้าซึ่งไม่ต่างจากเมืองไทย ส่วนการใช้บริการรถตุ๊กตุ๊กผมตัดสินใจนั่งเที่ยวเป็นครั้งสุดท้ายในการเที่ยวที่พนมเปญ นั่นก็คือการไปเที่ยวชมตลาดขายของที่ระลึกหรือที่รู้จักกันดีในนามของ ตลาดรัสเซีย


ตลาดรัสเซีย เปรียบไปก็เหมือน ตลาดนัดสวนจตุจักร ของบ้านเราที่จะขายพวกสินค้าของที่ระลึกให้แก่นักท่องเที่ยวซึ่งก็มีของมากมายให้เลือกสรรกัน หลังจากนั้นผมก็เดินทางกลับไปแถวๆที่พักเดินเล่นริมแม่น้ำทั้งในตอนกลางวันและกลางคืนซึ่งบรรยากาศจะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด กลางวันจะไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่พอหลังพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้นแหละความคึกคักจะเข้ามาทันทีทั้งแสงไฟแสงสีที่สาดส่องจนดูสวยงาม ร้านอาหารพวกรถเข็นต่างๆผู้คนชาวเขมรรวมถึงชาวต่างชาติออกมาทำกิจกรรมกันมากมาย มีตลาดกลางคืนให้ได้เดินเที่ยวกัน ร้านอาหารและผับบาร์เปิดให้บริการกันมากมาย บรรยากาศในตอนกลางคืนของที่พนมเปญจึงดูมีสีสันและเป็นสวรรค์ของคนรักการเที่ยวกลางคืนไม่น้อยเลยทีเดียว


วันสุดท้ายของที่พนมเปญผมเดินไปที่พระบรมมหาราชวังของที่พนมเปญแต่ไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าไปชมด้านในซึ่งว่ากันว่าพระบรมมหาราชวังแห่งนี้ได้รับอิทธิพลมาจากวัดพระแก้วของบ้านเรา แต่เรื่องความสวยงามวัดพระแก้วของเมืองไทยนั้นดูสวยงามกว่า โดยตรงบริเวณของพระบรมมหาราชวังก็จะเป็นอีกหนึ่งจุดที่ชาวกัมพูชาจะออกมาทำกิจกรรมทั้งนั่งคุยกัน ซื้อของกิน นั่งกันเป็นกลุ่มครอบครัวโดยมีพ่อค้าแม่ค้ามานั่นขายของกันเต็มไปหมด ภาพแบบนี้นึกไปแล้วก็ชวนให้นึกถึงบรรยากาศของท้องสนามหลวงในสมัยอดีตซึ่งผมลองเปรียบเทียบดูแล้ว บรรยากาศของที่พนมเปญในเวลากลางวันและกลางคืนจะให้อารมณ์แบบ 2 บรรยากาศ โดยในช่วงกลางวันจะดูเป็นภาพแบบคลาสสิค ส่วนตอนกลางคืนจะเป็นภาพแห่งความโมเดิร์นและทันสมัย


สำรวจบรรยากาศของกรุงพนมเปญ


อนุสรณ์สถานรำลึกเวียดนาม - กัมพูชา


ตลาดรัสเซีย สถานที่ขายของที่ระลึก


มีสินค้าให้เลือกสรรมากมาย


ร้านขายเครื่องประดับ สร้อย แหวน กำไลต่างๆ


ร้านขายภาพวาดที่เป็นงานฝีมือ


นั่งรถผ่าน วิมานเอกราช เลยถ่ายรูปสักหน่อย


พระบรมมหาราชวังแห่งกรุงพนมเปญ
บรรยากาศคล้ายๆวัดพระแก้วแต่มีพื้นที่เล็กกว่า


โรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญ


ภาพนี้ผมถ่ายจากตรงร้านอาหารฝั่งตรงข้ามริมน้ำ


ตกกลางคืนบรรยากาศเริ่มคึกคัก
มีร้านรถเข็นต่างๆมาตั้งขายกันเยอะแยะ


ตลาดกลางคืน ส่วนใหญ่คนที่มาเดินจะเป็นคนท้องถิ่น


ผมมานั่งพักชมบรรยากาศริมน้ำในตอนกลางคืน


เดินไปสำรวจตรงตลาดในช่วงเช้า


บรรยากาศริมน้ำในตอนเช้า


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
22 มกราคม 2564



EP.17 ชมพระอาทิตย์ตกดินที่เมืองกระแจะ

ประเทศกัมพูชา คือหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนของไทย ถ้าหากไปถามคนที่เป็นนักท่องเที่ยวทั่วไปก็อาจจะนึกถึงเมืองท่องเที่ยวดังๆอย่าง พนมเปญหรือแม้กระทั่งเสียมเรียบ แต่ถ้าหากไปถามเหล่าบรรดาแบ็คแพ็คเกอร์ที่ชอบเจาะลึกการเดินทางไปในหลากหลายพื้นที่ก็คงจะมีเมืองอื่นๆของกัมพูชาที่พวกเขาจะนึกถึงและหนึ่งในเมืองที่เหล่าแบ็คแพ็คเกอร์น่าจะพอคุ้นเคยหากไปเที่ยวที่กัมพูชาคงหนีไม่พ้น เมืองกระแจะ ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของประเทศ แม้อาจจะไม่ใช่เมืองที่คุ้นหูแก่นักท่องเที่ยวเหมือนเสียมเรียบหรือพนมเปญ แต่ที่กระแจะก็มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

ผมไปเที่ยวที่เมืองกระแจะตอนประมาณเดือนตุลาคมปี 2019 โดยเดินทางจากเสียมเรียบแต่ต้องนั่งรถบัส 2 ต่อกว่าจะไปถึง เมื่อพอไปถึงสังเกตุเลยว่าเมืองนี้จะมีพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขงคงคล้ายๆกับที่นครพนม หนองคายหรือที่มุกดาหาร ชาวบ้านที่นี่มีอาชีพหลักๆคือการประมง นอกจากนั้นยังมีการขายแหนมปลาซึ่งถือว่าเป็นของกินขึ้นชื่อของเมืองกระแจะ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆจะอยู่ที่การไปล่องเรือชมโลมาอิรวดีซึ่งยังพอมีให้เห็นอยู่บ้างและเป็นกิจกรรมที่หลายคนแนะนำหากได้ไปเที่ยวที่เมืองกระแจะ กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่พลาดไม่ได้ก็คือ การชมบรรยากาศของพระอาทิตย์ตกดินในช่วงตอนเย็นซึ่งมีการกล่าวกันว่า เมืองกระแจะเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามมากแห่งหนึ่งของประเทศกัมพูชา ส่วนอีกหนึ่งแห่งจะอยู่ที่เมืองสะตรึงแตรง

ผมอยู่เที่ยวเมืองกระแจะแค่ 2-3 วันก็พยายามใช้เวลาสำรวจเมืองนี้ให้ได้มากที่สุดและแน่นอนในเวลาเย็นก็ไม่พลาดที่จะไปนั่งชมบรรยากาศของพระอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า โดยผมเดินออกมาจากที่พักไม่ไกลนักเพราะที่พักนั้นอยู่ห่างจากบริเวณริมแม่น้ำโขงไม่เกิน 300 เมตรถือว่าสะดวกสบายมากๆ ส่วนจุดที่นั่งชมพระอาทิตย์ตกดินก็เพียงแค่เดินข้ามถนนมาก็ถึงแล้ว โดยเขาจะมีการทำเป็นจุดให้นั่งชมมีเก้าอี้แบบเสร็จสรรพ ส่วนบรรยากาศรอบๆก็จะเห็นผู้คนออกมาทำกิจกรรมต่างๆมากมายทั้งเรือประมงที่กำลังล่องเรือหาปลาในแม่น้ำโขง ชาวกัมพูชาออกมาขายของริมทางเท้า มีคนมาเดินและวิ่งออกกำลังกายจนเวลาล่วงเลยมาประมาณเกือบ 6 โมงเย็นพระอาทิตย์ก็ค่อยๆที่จะเริ่มลาลับขอบฟ้าไปเรื่อยๆถือว่าเป็นภาพที่สวยงามสมคำร่ำลืออย่างแท้จริง ภาพพระอาทิตย์ตกดินตัดกับฉากก้อนเมฆบนท้องฟ้าช่างเป็นภาพที่งดงามเหลือเกินจนผมตัดสินใจต้องหยิบกล้องมาถ่ายภาพเอาไว้เพื่อเป็นการบันทึกความทรงจำเอาไว้ว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตได้เคยมาชมภาพพระอาทิตย์ตกดินอันสวยงามที่เมืองกระแจะในประเทศกัมพูชา


ชมพระอาทิตย์ตกดินที่เมืองกระแจะ

ผมออกจากที่พักมาประมาณบ่าย 4 โมง
เลยฆ่าเวลาด้วยการเดินเล่นไปพลางๆ

จุดนั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน
มีเก้าอี้นั่งพักแบบสะดวกสบาย

มองเห็นเรือประมงของชาวบ้านอย่างมากมาย

ภาพก้อนเมฆ

โรงแรมที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม

ภาพพระอาทิตย์ตกดิน
ตัดสะท้อนกับก้อนเมฆช่างสวยงามยิ่งนัก


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
17 มีนาคม 2564



EP.19 เมืองแสนมโนรมย์


กัมพูชา ในสายตาของบรรดานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั่วไปอาจจะเป็นรู้จักกันแค่ เมืองเสียมเรียบ กรุงพนมเปญหรือเมืองตากอากาศอย่างสีหนุวิลล์ โดยบรรดาเมืองเหล่านี้คือเมืองท่องเที่ยวหลักที่บรรดาชาวต่างชาติมักจะไปเที่ยวกัน แต่ถ้าใครอยากจะลองเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวใหม่ๆในประเทศกัมพูชา ผมว่าการเที่ยวในเมืองรองหรือเมืองที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบท่องเที่ยวในเมืองแปลกๆเมืองใหม่ที่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยรู้จักกันมากนัก เพราะนอกจากจะเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆให้แก่ตนเองแล้ว บรรดาเมืองรองเหล่านี้ก็ยังไม่ได้ถูกปรุงแต่งหรือปรับเปลี่ยนจนไม่เหลือร่องรอยเก่าๆในอดีตแบบเมืองท่องเที่ยวหลักๆ แต่สิ่งที่ยังสามารถพบเห็นได้นั่นก็คือ สภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านท้องถิ่นและธรรมชาติที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์

ผมไปเที่ยวที่กัมพูชาก็ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งแล้วตอนแรกๆก็ไปตามกระแสทั่วไปที่จะเลือกเที่ยวเมืองเสียมเรียบหรือพนมเปญ แต่พอหลังๆเริ่มเบื่อกับเมืองท่องเที่ยวหลักที่หลายๆอย่างกลายเป็นธุรกิจไปเสียหมดจึงมองหาที่เที่ยวใหม่ๆในเมืองรองของที่กัมพูชา จนกระทั่งมาเจอจังหวัดหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศซึ่งมีชื่อว่า จังหวัดมณฑลคีรี โดยที่มณฑลคีรีจะมีเมืองเอกเทียบได้ก็คงประมาณอำเภอเมืองของแต่ละจังหวัด โดยเมืองเอกของจังหวัดมณฑลคีรีมีชื่อว่า แสนมโนรมย์ โดยตั้งแต่ที่ผมเดินทางไปถึงและลองเดินสำรวจดูก็พบว่าแสนมโนรมย์ไม่ได้เป็นเมืองที่ทำเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอะไรมาก บรรยากาศก็จะประมาณชนบทของเมืองไทยโดยจะคล้ายๆกับเมืองรองของประเทศไทย สินค้าต่างๆก็ขายไม่ต่างจากเมืองไทยมากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากๆเมื่อมาที่เมืองแสนมโนรมย์นั่นก็คือ สภาพอากาศเพราะค่อนข้างเย็นสบาย เรียกได้ว่าตอนกลางคืนไม่ต้องเปิดแอร์หรือพัดลมเลยด้วยซ้ำบรรยากาศเป็นธรรมชาติแบบสุดๆ

ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆของจังหวัดมณฑลคีรีจะอยู่นอกตัวเมืองแสนมโนรมย์ เช่น น้ำตกบุสราซึ่งถือว่าเป็นน้ำตกที่มีความสวยงามที่สุดของประเทศกัมพูชาหรือจุดชมวิวที่ถูกขนานว่าเป็นดั่งสวิตเซอร์แลนด์ของแดนเขมร ส่วนในตัวเมืองแสนมโนรมย์ไม่ได้มีท่องเที่ยวมากนัก แต่จะเป็นจุดรวมของสถานที่ต่างๆทั้งตลาดสด โรงแรม ร้านอาหาร สถานีขนส่ง จุดจอดรถสาธารณะ ธนาคารและอื่นๆอีกมากมาย โดยจะมีสัญลักษณ์ที่เด่นชัดบ่งบอกว่าที่นี่คือ เมืองแสนมโนรมย์ สิ่งนั้นก็คือ รูปปั้นกระทิงป่า 2 ตัวซึ่งมักจะมีคนมาถ่ายรูปกับรูปปั้นนี้กันพอสมควร ส่วนประวัตินั้นก็มีการบอกไว้คร่าวๆว่าพื้นที่ของเมืองแสนมโนรมย์นั้นในอดีตก็คือป่าและเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่านานาชนิดซึ่งกระทิงก็อยู่ในกลุ่มของสัตว์ป่าที่สามารถพบเห็นได้ในเมืองแสนมโนรมย์ แม้ปัจจุบันพื้นที่ป่าอาจจะลดเหลือน้อยลงไปแต่กระทืงก็ถือว่าเป็นสัตว์สำคัญ บรรดาชาวเมืองแสนมโนรมย์จึงต่างช่วยกันสร้างอนุสาวรีย์เป็นรูปปั้นกระทิงป่าขึ้นมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองและเป็นการบอกว่าเมื่อเห็นรูปปั้นกระทิงก็เท่ากับว่าได้มาถึงเมืองแสนมโนรมย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


รูปปั้นกระทิงป่า 2 ตัว
สัญลักษณ์เด่นประจำเมืองแสนมโนรมย์

บรรยากาศของเมืองแสนมโนรมย์

ผมถ่ายรูปบริเวณพื้นที่ของตลาด

มีผักและสินค้าไม่ต่างจากบ้านเรา

โซนขายโทรศัพท์มือถือ

ถนนหนทางอาจยังไม่ดีนัก
ได้ซึมซับบรรยากาศแบบชนทบทแบบเต็มๆ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
24 มีนาคม 2564


EP.26 ทะเลสาบปล่องภูเขาไฟกัมพูชา

รัตนคีรี คือ จังหวัดที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของกัมพูชา โดยมีเมืองเอกก็คือเมืองบ้านลุง สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆของจังหวัดรัตนคีรีจะเป็นแนวธรรมชาติซะส่วนใหญ่ เพราะพื้นที่ส่วนมากจะเป็นป่าไม้และภูเขาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่รัตนคีรีทำให้ยังสามารถพบเห็นพวกสัตว์ป่าได้แม้ว่าในยุคปัจจุบันนั้นจะลดลงไปมากกว่าเดิม เนื่องจากการถูกล่าจากน้ำมือของมนุษย์ แต่เมื่อมีหน่วยงานและองค์กรต่างๆที่ร่วมกันออกกฎคุ้มครองสัตว์ทำให้การล่าทำได้ยากยิ่งขึ้นและสัตว์ป่าก็ได้รับความคุ้มครองมากยิ่งขึ้นซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เมื่อมีป่าไม้มีธรรมชาติก็ย่อมมีสัตว์ป่า มันคือของที่อยู่คู่กันมาอย่างยาวนานและจะคงอยู่ตลอดไป

ผมได้ไปเยือนจังหวัดรัตนคีรีเมื่อตอนเดือนตุลาคมปี 2019 เท่าที่สังเกตุระหว่างที่นั่งรถผ่านก็รู้สึกว่าจังหวัดนี้น่าจะเหมือนประมาณแถบภาคอีสานบ้านเรา บรรยากาศยังดูมีความเป็นชนบทอยู่มาก ส่วนเรื่องที่พักก็จะไม่ค่อยมีโรงแรมมากนักส่วนใหญ่จะหนักไปทางพวกที่พักประเภทโฮมสเตย์ที่เจ้าของจะดูแลด้วยตนเองซึ่งจะถือว่ามีความเป็นกันเองที่ดีกว่าโรงแรม ส่วนมากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเป็นพวกฝรั่งตาน้ำข้าวประเภทแบ็คแพ็คเกอร์ที่รักการผจญภัย เพราะรัตนคีรีเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การผจญภัยและศึกษาธรรมชาติ โดยสถานที่เที่ยวอันดับ 1 ของจังหวัดก็คือ บึงยักษ์ลม ซึ่งจะมีลักษณะเป็นทะเลสาบจากปล่องภูเขาไฟที่มีการระเบิดโดยมีอายุไม่ต่ำกว่า 4000 ปี ซึ่งแน่นอนว่าคนจังหวัดรัตนคีรีส่วนใหญ่รู้จักกันแทบทุกคน ขณะเดียวกันคนในจังหวัดอื่นๆของกัมพูชาส่วนมากก็รู้จักกัน ถ้าเปรียบกับเมืองไทยก็คงประมาณเขาใหญ่ที่คนไทยส่วนมากจะรู้จักกันแม้จะไม่ใช่คนโคราชก็ตาม ส่วนวิธีการเดินทางไปนั่นก็ไม่ยากเท่านั้นเพราะห่างจากตัวเมืองบ้านลุงแค่ประมาณ 4 กิโลกว่า ผมไปทั้งสิ้น 2 ครั้งวันแรกจ้างมอเตอร์ไซค์ให้พาไปส่ง ส่วนวันรุ่งขึ้นเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เอง ส่วนตั๋วเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติจะอยู่ที่ 2 ดอลล่าร์หรือประมาณ 60 กว่าบาทแต่ถ้าเป็นคนท้องถิ่นจะซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่า 

ส่วนบรรยากาศภายในบึงยักษ์ลมค่อนข้างกว้างใหญ่มาก มีในส่วนที่ทะเลสาบสีฟ้าสดใสซึ่งจะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจะมาเล่นน้ำผ่อนคลายกัน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะเป็นพื้นที่ของป่าดิบชื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์และจะมีทางเดินให้ได้เดินเป็นเส้นทางสำรวจธรรมชาติรอบๆบึงยักษ์ลม เท่าที่ผมถามมอเตอร์ไซค์ที่ผมเหมามาพี่แกบอกว่าระยะทางเดินหากใช้เวลาจนครบ 1 รอบจะใช่เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่สิ่งที่ต้องระวังคือทางเดินไม่ได้สะดวกสบายมากนักเพราะมีทั้งก้อนหินและเนินซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินและควรหารองเท้าที่สวมใส่สบายเหมาะแก่การเดินลุยป่า โดยผมใช้เวลาเดินสำรวจบรรยากาศภายในบึงยักษ์ลมประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง เดินเล่นชิวๆเพลินๆบางทีก็นั่งมองนักท่องเที่ยวเล่นน้ำซึ่งวันที่ผมจะเจอคนกัมพูชาแทบทั้งนั้น นักท่องเที่ยวต่างชาติมีประปรายนอกจากนั้นเขายังมีจุดที่เป็นกระท่อมให้ได้นั่งสั่งอาหารหรือกับแกล้มรวมถึงจุดของบ้านของชนเผ่าที่อาศัยในจังหวัดรัตนคีรีแถมยังมีบริการให้เช่าชุดของชนเผ่าเพื่อถ่ายรูปแบบสวยๆเก๋ๆซึ่งได้รับความนิยมจากหนุ่มสาวชาวกัมพูชาอย่างมาก หากมีโอกาสผมก็คงจะกลับไปเที่ยวที่บึงยักษ์ลมอีกแน่นอนและไปคราวหน้าก็ตั้งใจจะไปเล่นน้ำให้สดชื่นและชุ่มฉ่ำทดแทนกับครั้งแรกที่ได้มองคนอื่นๆเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน


บึงยักษ์ลม สถานที่ท่องเที่ยวอันดับ 1 
ของจังหวัดรัตนคีรี

จุดนี้มีคนมากระโดดน้ำเล่นกันบ่อย

ทะเลสาบจากปล่องภูเขาไฟ
ปัจจุบันมองเป็นน้ำสีฟ้าสดใส

ถ่ายจากอีกมุมนึงตรงนี้ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก

รอบๆทะเลสาบจะเป็นป่าดิบชื้น
ซึ่งยังคงมีความอุดมสมบูรณ์อยู่ค่อนข้างมาก

มีนักท่องเที่ยวมาเดินสำรวจป่าไม่เยอะ
ระหว่างที่ผมเดินก็แทบไม่เจอคนเดินผ่านมาเลย

อีกมุมสวยๆของบึงยักษ์ลม

มีต้นไผ่ให้ได้เห็นกัน
แต่จะเดินผ่านต้องย่อตัวลงสักหน่อยเพื่อให้ผ่านไปได้

ระหว่างทางที่เดินจะเต็มไปด้วยก้อนหิน
และเนินทำให้ต้องระมัดระวังในการเดินพอสมควร

จุดพักผ่อนแต่ต้องมีเสียเงิน
มีทั้งเปลญวนและบริการสั่งอาหารโดยเสิร์ฟให้ถึงที่

มีบริการให้เช่าเสื้อชูชีพในการใส่ลงเล่นน้ำ

ผมไปวันอาทิตย์มีนักท่องเที่ยวเยอะ
โดยหลักๆจะเป็นคนกัมพูชา

สาวกัมพูชาสวมชุดสาวชาวเผ่า
ดูแล้วก็น่ารักดี

ราคาค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติจะอยู่ที่
2 ดอลล่าร์หรือราวๆ 60 กว่าบาท


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
17 เมษายน 2564



EP.33 น้ำตกที่สวยที่สุดในกัมพูชา

การไปเที่ยวน้ำตกถือว่าเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวหลายคน ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบเที่ยวแนวสัมผัสกับธรรมชาติทั้งน้ำตก ทะเล ภูเขา ในเมืองไทยผมเองก็ได้ไปเที่ยวน้ำตกมาหลายที่ในหลากหลายจังหวัดซึ่งแต่ละแห่งก็จะมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป แต่การไปเที่ยวน้ำตกในประเทศเพื่อนบ้านมันก็คือสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย โดยประเทศกัมพูชาคือประเทศแรกที่ผมได้ไปสำรวจน้ำตกของประเทศนี้ซึ่งจากข้อมูลที่หามาได้น้ำตกที่สวยงามที่สุดของกัมพูชาตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศโดยอยู่ในจังหวัดมณฑลคีรี ส่วนชื่อน้ำตกนั้นมีชื่อว่า น้ำตกบุสรา ซึ่งคนกัมพูชาต่างก็ยกย่องให้เป็นความอันซีนและยกให้เป็นน้ำตกที่สวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศเลยทีเดียว

น้ำตกบุสรา เป็นน้ำตกที่มีลักษณะเป็นสามชั้น แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้แค่สองชั้นเท่านั้น แต่ก็ถือว่าเป็นดั่งแลนด์มาร์คของจังหวัดมณฑลคีรีตามไกด์บุ๊คและเวปท่องเที่ยวมักจะลงเรื่องราวของน้ำตกบุสราเอาไว้ หากใครที่มาเที่ยวมณฑลคีรีเขาก็จะมีการแนะนำให้มาเที่ยวชมน้ำตกบุสรา โดยวันที่ผมไปนั้นผมตัดสินใจเช่ามอเตอร์ไซค์จากที่พักและขี่ไปอีกประมาณ 40 กว่าโล โดยระหว่างทางมีหลงและสับสนกับเส้นทางบ้างเพราะ GPS บอกตำแหน่งมั่วไปหมด สุดท้ายมาถึงที่หมายได้ก็เพราะปากที่ไปถามกับคนท้องถิ่นถึงแม้พูดคนละภาษาแต่ก็เข้าใจกันได้ด้วยภาษามือ สำหรับน้ำตกบุสรามีค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติประมาณ 2 ดอลล่าร์ ลักษณะภายในก็ไม่ได้แตกต่างจากน้ำตกในเมืองไทยมากนัก โดยจะมีจุดประชาสัมพันธ์ ร้านขายของต่างๆ เส้นทางเดินสำรวจธรรมชาติในระยะที่ไม่ไกลนักและที่พิเศษคือมีจุดให้บริการซิปไลน์สำหรับคนที่ชื่นชอบความผาดโผน แต่ผมเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องพวกนี้เลยไม่ได้มีโอกาสลองเล่น

เมื่อเดินเข้าไปด้านในก็จะเจอกับร้านขายอาหารรวมถึงจุดของที่นั่งทานอาหารซึ่งจะถูกจัดเป็นซุ้มๆและแม่ค้าจะเดินมาเสิร์ฟให้ถึงที่ วันที่ผมไปเที่ยวเป็นวันพุธซึ่งเป็นวันธรรมดาแต่กลับพบว่ามีนักท่องเที่ยวอยู่เป็นจำนวนมาก แถมมีรถทัวร์มาจอดกันอยู่ไม่น้อยเห็นภาพดั่งนี้ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมน้ำตกบุสราจึงเป็นน้ำตกยอดนิยมของบรรดาชาวเขมร เพราะเมื่อได้เดินไปชมใกล้ๆก็ได้เห็นถึงความสวยงามและความแรงของน้ำตกที่ไหลแรงสะใจดีแท้ มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน แต่สิ่งที่ผมสังเกตุเห็นได้อย่างหนึ่งคือ นักท่องเที่ยวส่วนมากเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์คือคนเขมรส่วนคนต่างชาติมีให้เห็นน้อยมากอาจจะดูแตกต่างจากปราสาทนครวัดหรือทุ่งสังหารไปสักหน่อยที่คนต่างชาติจะเที่ยวเยอะกว่าคนท้องถิ่น ผมใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงที่น้ำตกบุสราโดยเน้นการเดินสำรวจบรรยากาศและได้มีโอกาสขึ้นไปยังด้านชั้นบนซึ่งก็มองเห็นบรรยากาศด้านล่างได้ชัดเจน แต่จุดด้านบนผมว่าไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ มิน่าตอนที่ผมเดินขึ้นมาแทบไม่มีคนเลยเพราะส่วนใหญ่จะเต็มอิ่มและเพลิดเพลินกับการชมน้ำตกจากบริเวณชั้นล่างกันอยู่แล้ว


น้ำตกบุสรา น้ำตกที่สวยที่สุดในกัมพูชา

ป้ายบอกจุดต่างๆภายในพื้นที่น้ำตกบุสรา

ร้านขายอาหารมีอยู่หลายร้าน
แต่รสชาติอย่าไปคาดหวังเรื่องความอร่อย

จุดนั่งทานอาหารพร้อมกับชมบรรยากาศของน้ำตก

มีคนนำเสื่อมาปูนั่งทานอาหารบริเวณริมน้ำตก

ถ่ายบรรยากาศของน้ำตกบุสราแบบใกล้ๆ

จุดนั่งทานอาหารแบ่งเป็นซุ้มๆ
แถมมีเปลญวนผูกเอาไว้เพื่อบริการสำหรับคนขี้เมื่อย

ภาพนี้ได้มาเพราะหลงทางล้วนๆ
เนื่องจาก GPS พาไปผิดทาง

บรรยากาศชั้นบนของน้ำตกบุสรา

ระหว่างทางที่เดินออกจะเป็นร้านขายเสื้อผ้า
รวมถึงของที่ระลึกต่างๆ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
8 พฤษภาคม 2564



EP.35 ที่พักถูกและดีในรัตนคีรี

จังหวัดรัตนคีรีตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของกัมพูชา แต่มีการเปรียบเปรยประมาณว่าเป็นภาคอีสานของเขมร บรรยากาศภายในจังหวัดนี้อาจยังดูไม่เจริญเทียบเท่าเมืองท่องเที่ยวอย่างพนมเปญ เสียมเรียบหรือสีหนุวิลล์ บรรยากาศก็ออกแนวชนบทแต่เหมาะมากๆสำหรับคนที่อยากสัมผัสธรรมชาติและอากาศที่บริสุทธิ์ ตอนปี 2019 ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวและพักที่จังหวัดรัตนคีรีประมาณ 2-3 วัน โดยเมืองเอกของจังหวัดก็คือ เมืองบ้านลุง นักท่องเที่ยวที่แวะมาที่รัตนคีรีถ้าอยากหาที่พักก็ต้องพักที่เมืองบ้านลุงเพราะเป็นดั่งจุดศูนย์กลางของจังหวัดมีสถานที่ต่างๆคอยให้บริการอย่างครบวงจร

เมืองบ้านลุงในจังหวัดรัตนคีรีจะมีที่พักคอยให้บริการแก่นักท่องเที่ยวอยู่หลายแห่ง แต่จากที่ผมสังเกตุดูทั้งการเช็คในเวปไซด์และลองตะลอนสำรวจพื้นที่ด้วยตนเองก็พบว่าที่พักส่วนใหญ่จะเป็นแนวโฮมสเตย์หรือไสตล์เกสต์เฮาส์ที่เจ้าของที่พักเป็นคนดูแลจัดการเองทั้งหมด ส่วนพวกโรงแรมจริงๆก็มีให้พักแต่อาจจะไม่เยอะเท่ากับบรรดาโฮมสเตย์ทั้งหลายแหล่ ถ้าหากจะหาเหตุผลว่าทำไมโฮมสเตย์ถึงมีมากก็คงเพราะว่ากิจกรรมและสถานที่เที่ยวต่างๆของรัตนคีรีจะเป็นในแนวผจญภัยสัมผัสธรรมชาติ เพราะฉะนั้นที่พักจึงออกแนวสบายๆง่ายๆเป็นกันเองในสไตล์แบบบ้านๆถ้าเปรียบเทียบกับเมืองไทยคงประมาณจังหวัดกาญจนบุรี ส่วนผมเมื่อมาถึงเมืองบ้านลุงก็รีบเข้าที่พักทันทีซึ่งผมจองไว้แล้วจากเวปไซด์ซึ่งที่พักก็เป็นสไตล์เกสต์เฮาส์ที่เจ้าของเป็นดูแลทั้งหมด สำหรับบรรยากาศก็เป็นแบบบ้านๆเจ้าของจะแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งของบ้านเป็นที่พักให้นักท่องเที่ยวซึ่งการพักในรูปแบบนี้เป็นสิ่งที่ถูกจริตผมมากที่สุด เพราะเคยพักมาหลายรูปแบบในส่วนของโรงแรมก็ดูเป็นทางการเกินไปและราคาก็ค่อนข้างสูง ส่วนโฮสเทลแบบนอนรวมก็สร้างความอึดอัดไม่น้อยและนอนพักผ่อนได้ไม่เต็มอิ่ม โฮมสเตย์จึงเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ผมได้มากที่สุด เพราะราคาไม่สูงมากนักและมีความเป็นส่วนตัว

สำหรับที่พักของผมในเมืองบ้านลุงของจังหวัดรัตนคีรีมีชื่อว่า แฟมิลี่เฮาส์ (Family House) ซึ่งก็แปลได้ตรงตัวเลยคือบ้านของครอบครัว เจ้าของที่พักประกอบไปด้วยพ่อแม่และลูกอีก 2 คนโดยคนพ่อจะเป็นผู้ที่รับหน้าที่ในการต้อนรับแขกที่มาพักด้วยความเป็นกันเองและเอาใจใส่ค่อนข้างดีแถมพูดภาษาอังกฤษได้เยี่ยมอีกต่างหาก ส่วนภรรยาและลูกแม้อาจไม่ได้มาต้อนรับนักท่องเที่ยวมากนักแต่ก็ช่วยงานส่วนเบื้องหลังอย่างเต็มที่ ส่วนบรรยากาศของที่พักก็จะทำเป็นลักษณะของบ้านไม้ขนาดไม่ใหญ่มากแต่เมื่อเข้าไปด้านในแล้วก็มีการจัดแต่งพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมทั้งในส่วนของเตียงนอนที่มีทั้งเตียงคู่และเตียงเดี่ยว ห้องน้ำที่ได้มาตรฐาน แถมยังมีมุ้งอยู่ด้านบนแต่ภายในห้องพักจะมีแค่พัดลมและไม่มีแอร์ให้บริการเนื่องจากว่าอากาศในเมืองบ้านลุงค่อนข้างจะเย็นสบายยิ่งในตอนกลางคืนแทบไม่ต้องนอนเปิดพัดลมกันเลยทีเดียว

 ส่วนด้านหน้าห้องพักจะมีโต๊ะไม้ไว้สำหรับนั่งเล่นพักตามอัธยาศัยและมีเปลญวนเอาไว้นอนเล่นแบบเพลินๆ ส่วนรอบๆที่พักจะเป็นแปลงสวนครัวที่เจ้าของปลูกเอาไว้มองไปก็เพลินตาและสดชื่นไม่น้อย ส่วนจุดใกล้ๆกับห้องพักของผมก็จะเป็นโซนของร้านอาหาร สนนราคาที่ผมกล่าวมาทั้งหมดจะอยู่ที่คืนละ 150 บาทเท่านั้นซึ่งตลอดชวงที่ผมอยู่ที่รัตนคีรีผมตื่นเช้ามาก เพราะได้เห็นบรรยากาศที่สดชื่นและอากาศที่บริสุทธิ์ สรุปโดยรวมแล้วผมถูกใจและชอบกับแฟมิลี่เฮาส์ที่พักในรัตนคีรีแห่งนี้อย่างมาก ถ้าจะมีติก็คงแค่เรื่องเดียวคือไวฟายค่อนข้างช้าทำให้อาศัยอินเทอร์เน็ทในการทำงานไม่ค่อยได้ แต่หากให้กลับไปพักอีกรอบแน่นอนเลยว่า ผมไม่มีทางปฏิเสธและถ้าวันใดกลับไปที่รัตนคีรีผมก็จะกลับไปพักที่ แฟมิลี่เฮาส์ อีกครั้งอย่างแน่นอน


แฟมิลี่เฮาส์ ที่พักถูกและดีในจังหวัดรัตนคีรี

ป้ายชื่อที่พักตั้งอยู่บริเวณทางเข้า

บริเวณด้านหน้าของห้องพัก
จะมีโต๊ะเก้าอี้และเปลญวนบริการให้กับแขกที่มาพัก

ส่วนของห้องพักตรงจุดที่ผมพักจะมีทั้งหมด 3 ห้อง
แต่ช่วงที่ผมไปมีผมพักแค่ห้องเดียวเท่านั้น

บรรยากาศด้านในห้องพักมีเตียงคู่และเตียงเดี่ยว
มีมุ้งอยู่ด้านบนแต่ไม่มีแอร์ให้บริการ

บรรยากาศในช่วงยามเช้าช่างดูสดชื่นและสบายตา

ห้องนี้อยู่ห่างจากจุดที่ผมพักไม่ไกลมาก
คนที่มาพักเป็นฝรั่งชาวอังกฤษซึ่งมาเที่ยวคนเดียวเหมือนผม

โซนของร้านอาหาร

ถนนหน้าที่พักลักษณะเป็นเนิน
ช่วงเช้าๆผมมักจะมาเดินเล่นสำรวจบรรยากาศ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
14 พฤษภาคม 2564



EP.41 คุกตวลสเลง

คุก คือ สถานที่ที่คนส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากจะย่างกรายเข้าไปมันคือสถานที่ที่ไม่น่าพิสมัยหรือน่าอภิรมย์ใดๆ เพราะมันคือสถานที่จองจำบุคคลที่กระทำความผิดทั้งในกรณีผิดเล็กน้อยไปจนถึงคดีร้ายแรงจนถึงโทษต้องประหารชีวิต ปัจจุบันในโลกของเรามีคุกที่ไว้จองจำผู้กระทำความผิดในหลากหลายประเทศทั่วโลก โดยได้มีการจัดลำดับคุกตามความโหดเอาไว้ แต่มีคุกอยู่แห่งหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำ แม้ปัจจุบันจะไม่ได้มีสภาพเป็นคุกที่เอาไว้ขังนักโทษอีกต่อไปแล้ว แต่ในอดีตคุกแห่งนี้ คือ ฝันร้ายของผู้ที่ถูกจองจำเพราะพวกเขาไม่มีโอกาสจะได้รับอิสรภาพเหมือนกับที่อื่นๆ โดยสิ่งที่พวกเขาได้รับจากหลังจากการถูกจองจำนั่นก็คือ ความตาย โดยคุกแห่งนี้มีชื่อว่า คุกตวลสเลง หรือ S21 ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านของไทยคือ ประเทศกัมพูชา

คุกตวลสเลง ก่อนที่จะถูกดัดแปลงมาเป็นคุกเคยเป็นโรงเรียนมาก่อน โดยมีชื่อว่า Tuol Svay Pray จากที่ผมได้ไปเห็นกับตาตัวเองบรรยากาศของคุกตวลสเลงก็ยังคงมีสภาพที่พอได้เห็นก็รู้ว่าที่แห่งนี้เคยเป็นโรงเรียนที่ใช้ในการสอนนักเรียนมาก่อน ไม่ว่าจะส่วนของอาคารเรียนที่แบ่งเป็นห้องมีกระดานดำมีโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งเรียน แต่ภาพที่ดูสดใสของเด็กนักเรียนมันถูกลบลืมหายไปและถูกแทนที่ด้วยการดัดแปลงให้กลายเป็นคุกอันสุดโหดซึ่งในยุคอดีตกัมพูชาเคยมี กลุ่มเขมรแดง ซึ่งเคยเรืองอำนาจอยู่ในช่วงยุค 70 โดยมีแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์และมีอุดมการณ์คือ สร้างสังคมใหม่ในรูปแบบอุดมการณ์ปฏิวัติแบบเบ็ดเสร็จ การที่เขมรแดงเรืองอำนาจและมีบทบาทอย่างสูงในกัมพูชา ทำให้ยุคสมัยนั้นกลายเป็นยุคแห่งการนองเลือดและฝันร้ายของประชาชนชาวเขมรอย่างแท้จริง ผู้บริสุทธิ์รวมถึงบรรดาปัญญาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเขมรแดงต่างก็ถูกจับตัวและถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหดและหนึ่งในสถานที่ของการสังหารก็คือ คุกตวลเสลง แห่งนี้นี่เอง

ขณะที่ในปัจจุบัน คุกตวลสเลง กลายเป็นพิพิธภัณฑ์และสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของกัมพูชาโดยตั้งอยู่ในกรุงพนมเปญ โดยเปิดให้เข้าชมทุกวันใน 2 ช่วงเวลาคือรอบเช้าและรอบบ่าย ค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติอยู่ที่ 2 ดอลล่าร์หรือประมาณ 60 กว่าบาท สำหรับบรรยากาศจากที่ผมได้เข้าไปชมต้องยอมรับเลยว่าหดหู่ใช่ย่อย ใบหน้าของนักท่องเที่ยวแต่ละคนที่ได้เห็นและฟังเรื่องราวของคุกตวลสเลงก็แทบจะเหมือนกันคือหดหู่และเศร้าใจ โดยจุดจัดแสดงก็แบ่งออกเป็นโซนต่างๆทั้งในส่วนโซนประหารนักโทษซึ่งจะมีการสังหารในหลากหลายรูปแบบทั้งการเฆี่ยนตี แขวนคอ จับหน้ากดลงน้ำเพื่อให้หมดสติ หรือการช็อตด้วยไฟฟ้า ซึ่งจะมีอุปกรณ์นการสังหารจัดแสดงอยู่ในห้องให้นักท่องเที่ยวได้มาชม นอกจากนั้นยังมีส่วนของคุกที่เอาไว้คุมขังเหยื่อซึ่งมีลักษณะค่อนข้างแคบและดูมืดมิด ตอนผมเดินชมก็แทบไม่มีคนอื่นเดินเลยด้วยซ้ำ รวมถึงภาพวิธีการสังหารเหยื่อของเหล่าเขมรแดงที่ดูแล้วเต็มไปด้วยความโหดร้ายและทารุณแบบถึงขีดสุดไม่เว้นแม้แต่เด็กทารกก็ตกเป็นเหยื่อถูกสังหารไปด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีภาพของเหยื่อที่ถูกสังหารซึ่งมีมากมายแทบนับไม่ถ้วนซึ่งมีภาพในอาการที่พวกเขากำลังทนทุกข์ทรมานจากการถูกสังหารซึ่งดูแล้วชวนหดหูอย่างมากเลยทีเดียว

ส่วนในโซนด้านนอกจะเป็นสุสานที่เอาไว้ฝังศพเหยื่อผู้โชคร้ายรวมถึงยังมีป้ายที่เป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวนั่นก็คือ ป้ายที่บอกกฎเหล็ก 10 ข้อของเขมรแดงที่เหยื่อต้องปฏิบัติตามซึ่งทั้ง 10 ข้อล้วนแต่เป็นการกดขี่และทารุณแก่เหยื่อผู้ถูกจองจำอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ยังมีจุดขายของที่ระลึกและหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวของบรรดาผู้รอดชีวิตจาการถูกจองจำในคุกตวลเสลงแห่งนี้ซึ่งพวกเขาก็มักจะมานั่งปรากฎตัวให้นักท่องเที่ยวได้ยลโฉมพร้อมกับพูดเชิญชวนให้ซื้อหนังสือที่เล่าเรื่องราวในช่วงเวลาที่ตนเองถูกจองจำในคุกตวลเสลง ผมใช้เวลาในการเดินชมบรรยากาศภายในคุกตวลเสลงประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า สิ่งที่สัมผัสได้แน่นอนก็คือความหดหู่และเศร้าใจที่มนุษย์กระทำอย่างโหดร้ายต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองซึ่งคุกตวลเสลงแม้ในอดีตจะเป็นสถานที่อันโหดร้ายและสร้างบาดแผลในใจให้แก่ชาวเขมร แต่ปัจจุบันนั้นคือสถานที่ที่ให้เรียนรู้เรื่องราวของอดีตพร้อมกับร่วมมือเดินหน้าสร้างชาติให้ก้าวต่อไปในอนาคตและจะไม่มีวันที่จะทำเลียนแบบดั่งเช่นในอดีตอีกต่อไป


คุกตวลสเลง สถานที่อันโหดร้ายในอดีตของกัมพูชา

บรรยากาศของ คุก ที่เอาไว้คุมขังเหยื่อผู้บริสุทธิ์

สภาพภายในคุกซึ่งลักษณะค่อนข้างจะคับแคบ
ดูค่อนข้างน่าอึดอัด

บรรยากาศด้านหน้าของอาคาร
สมัยอดีตเคยเป็นโรงเรียนมาก่อน

เตียงนอนสุดโหดที่เอาไว้ทรมานนักโทษ

ภาพที่แสดงวิธีการสังหารเหยื่อที่นอนอยู่บนเตียง

ห้องที่ใช้ในการสังหารเหยื่อ
บรรยากาศค่อนข้างเงียบและดูวังเวง

แต่เดิมนั้นเคยเป็นโรงเรียนมาก่อน
ซึ่งยังมีกระดานดำ โต๊ะและเก้าอี้ให้ได้เห็นกันอยู่

ธงสัญลักษณ์ของกลุ่มเขมรแดง

เด็กที่ถูกจับมาขังถูกฝึกให้ทำงานอย่างหนัก

หุ่นฟางจำลองสาธิตวิธีการเรียนการสอนในสมัยนั้น

ภาพวิธีการสังหารเหยื่อในหลากหลายรูปแบบ
ภาพนี้คือ การจับกดลงไปในตุ่มน้ำจนหมดสติ

ภาพที่ทหารเขมรแดงจับเด็กทารก
ฟาดกับต้นไม้จนเสียชีวิต

ภาพทหารเขมรแดงกำลังเชือดคอเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย

ภาพใบหน้าของเหยื่อที่ถูกจองจำและสังหาร
ภาพนี้เป็นกลุ่มของผู้ชาย

ภาพเหยื่อที่ถูกจองจำและสังหารฝ่ายหญิง

ภาพเหยื่อที่ถูกทรมานจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
บางรายก็ถึงขั้นเสียชีวิต

หัวกะโหลกของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
ถูกนำมากองรวมกัน

ส่วนบริเวณด้านนอกจะเป็นสุสานที่ฝังศพ
เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
3 มิถุนายน 2564



EP.44 รถบัสนอนกัมพูชา

หลังจากไม่ได้เขียนเรื่องราวลงบล็อกมาร่วม 1 ปี วันนี้ผมได้กลับมาทำหน้าที่ตรงนี้อีกครั้งนึงแล้วครับซึ่งการที่หายไป ส่วนหนึ่งก็เพราะหมดไอเดียในการเขียนเรื่องราวลงบล็อกอีกส่วนคือไม่มีเวลาเนื่องจากไปเน้นหนักในการอัพคลิปลงยูทูปและเขียนบทความลงเพจเฟซบุ๊ค แต่หลังจากนี้เป็นต้นไปผมจะกลับมาอัพเดทเรื่องราวลงบล็อกเรื่อยๆและการเดินทางของผมก็คงจะเริ่มถี่มากขึ้น หลังจากที่หลายๆประเทศได้กลับมาเปิดพรมแดนกันอีกครั้งนึง

ผมออกเดินทางเที่ยวต่างประเทศอีกครั้งนึงในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาหลังจากไม่ได้ออกนอกแผ่นดินไทยมากว่า 2 ปีเนื่องจากสถานการณ์โควิดซึ่งประเทศแรกที่ผมได้ออกเดินทางไปก็คือ กัมพูชา ซึ่งก็คือประเทศแรกในการออกท่องเที่ยวต่างแดนของผม โดยครั้งล่าสุดผมไปกัมพูชาโดยออกทางด่านปอยเปต เมื่อผ่านด่าน ตม.เป็นที่เรียบร้อยก็ถึงคราวต้องหาบริษัทรถโดยสาร เพราะผมต้องการเดินทางจากปอยเปตไปยังกรุงพนมเปญในคืนนั้นเลย สุดท้ายก็มาได้จองรถกับบริษัท Virak Buntham (วิรักษ์ บุญธรรม) ซึ่งเป็นบริษัทรถโดยสารที่มีเส้นทางเดินรถไปทั่วประเทศกัมพูชา

สำหรับการเดินทางในช่วงกลางคืนแน่นอนครับว่า รถโดยสารจะเป็นรถนอน โดยรถนอนของบริษัท Virak Buntham เป็นรถบัส 2 ชั้น โดยชั้นล่างจะเป็นที่นั่งของคนขับและจุดเก็บสัมภาระและมีห้องน้ำขนาดเล็ก ส่วนชั้นบนจะเป็นที่นอนของผู้โดยสาร จากที่ผมสำรวจดูก็พบว่าชั้นนอนจะคล้ายๆกับพวกโฮสเทลเหมือนกัน เพราะจะแบ่งเป็นล็อคโดยแต่ละล็อคจะนอนคู่กัน 2 คนซึ่งแน่นอนครับว่าหากไปคนเดียวแบบผมคงหนีไม่พ้นที่จะได้นอนกับคนแปลกหน้า ดังนั้นหากใครไม่คุ้นชินหรือรู้สึกอึดอัดใจ ผมไม่แนะนำให้ใช้บริการรถนอนของกัมพูชา

ขณะที่บริเวณด้านบนจะมีปลั๊กไฟเอาไว้เสียบชาร์จมือถือและมีจุดของไฟด้านบน แต่ผมลองเปิดแล้วแต่เปิดไม่ติดและในแต่ละล็อคจะมีผ้าม่านเอาไว้ปิดกั้น ขณะที่อัตราค่าโดยสารจะอยู่ที่ 16.5 ดอลล่าร์หรือตีเป็นเงินไทยก็อยู่ที่ราวๆ 578 บาทโดยรถบัสจะใช้เวลาเดินทางจากปอยเปตไปยังพนมเปญประมาณ 9 ชั่วโมงซึ่งผมเดินทางตอน 4 ทุ่มไปถึงพนมเปญก็ประมาณ 7 โมงเช้า ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่ารถบัสกลางคืนของกัมพูชามีจอดแวะจุดพักเหมือนที่ไทยหรือเปล่า สรุปคือไม่มีครับจุดที่จอดจะเป็นการจอดเพื่อส่งผู้โดยสารลงตามเมืองต่างๆ เมืองสำคัญที่รถจะวิ่งผ่านก็คือ เสียมเรียบ ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากปอยเปตเพียงแค่ 2 ชั่วโมงกว่าเท่านั้น


รถบัสนอนของกัมพูชา โดยคันนี้เป็นของบริษัท
Virak Buntham

Virak Buntham เป็นบริษัทที่มีเดินรถไปทั่วประเทศกัมพูชา 
ส่วนผมเดินทางจากปอยเปตไปกรุงพนมเปญ
อัตราค่าโดยสารอยู่ที่ประมาณ 578 บาท

ลักษณะของรถบัสจะเป็นรถ 2 ชั้น
โดยชั้นล่างเป็นที่นั่งคนขับและจุดเก็บสัมภาระ
ส่วนชั้นบนเป็นที่นอนของบรรดาผู้โดยสาร

จุดของที่นอนจะเป็นที่นอนแบบคู่กัน 2 คน
ผมไปเที่ยวคนเดียวสุดท้ายได้นอนกับคนแปลกหน้า

ด้านบนจะมีปลั๊กไฟให้เสียบชาร์จมือถือ
ส่วนไฟด้านบนก็มี แต่ผมลองเปิดแล้วแต่ไฟไม่ติด

บริษัทรถโดยสาร Virak Buntham เปรียบกับเมืองไทย
ก็คงประมาณ สมบัติทัวร์หรือนครชัยแอร์


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
3 กรกฎาคม 2565



EP.45 วัดพนม


สถานที่ท่องเที่ยวในกรุงพนมเปญมีอยู่หลายแห่งครับ เพราะพนมเปญคือเมืองหลวงของกัมพูชา โดยเมืองหลวงของแต่ละประเทศก็ย่อมมีจุดขายและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆมากมาย ทั้งนี้ก็เพราะบรรดาพวกเมืองหลวงมักจะเป็นจุดหมายปลายทางแห่งแรกที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะมาพักหรือเที่ยวชมอย่างในเมืองไทยเมื่อนักท่องเที่ยวมาถึงสนามบินส่วนมากก็มักจะแวะเข้ากรุงเทพฯก่อน หลังจากนั้นค่อยตระเวนเที่ยวไปตามเมืองอื่นๆซึ่งก็ไม่ต่างจากที่กัมพูชาครับ นักท่องเที่ยวหลายคนเริ่มปักหลักท่องเที่ยวในกรุงพนมเปญก่อน โดยสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงพนมเปญที่ดังๆและชาวต่างชาติจะรู้จักกันดีก็คือ ทุ่งสังหาร ที่บรรดาฝ่ายเขมรแดงเคยใช้เป็นสถานที่ทรมานและสังหารผู้บริสุทธิ์ รวมถึงคุกตวลสเลงที่พวกเขมรแดงจับผู้บริสุทธิ์มาขังคุกก่อนจะทำการทรมานและสังหารอย่างเหี้ยมโหดและอีกสถานที่นึงที่นักท่องเที่ยวต่างชาติพอจะรู้จักกันดีก็คือ วัดพนม ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่และมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างยาวนาน

สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศกัมพูชาของผมในครั้งล่าสุด ผมเน้นการเดินเที่ยวเป็นหลักโดยจะเน้นเที่ยวในสถานที่ที่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก โดยวัดพนมตั้งอยู่บริเวณใจกลางกรุงพนมเปญและห่างจากที่พักของผมราวๆ 1 กิโลกว่าซึ่งสามารถเดินได้สบายๆซึ่งการมาเที่ยววัดพนมครั้งล่าสุดไม่ใช่การมาเที่ยวครั้งแรก ผมเคยมาแล้วครั้งนึงแต่คราวก่อนไม่ได้ถ่ายคลิปบรรยากาศ ทำให้การเที่ยวครั้งล่าสุดผมได้เก็บภาพและถ่ายคลิปบรรยากาศต่างๆซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากเมื่อ 5 ปีที่แล้วที่ผมเคยมา บรรยากาศของวัดพนมยังคงร่มรื่นด้วยต้นไม้หลากหลายพันธุ์และยังคงมีการเก็บเงินค่าเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติอยู่ที่ 1 ดอลลาร์ (35 บาท) อยู่เช่นเดิม แต่ที่อาจจะแปลกตาเพิ่มเข้ามาคงหนีไม่พ้นเหล่าบรรดานกเงือกที่อาศัยอยู่กันอย่างมากมายหลายตัว แถมแต่ละตัวก็ดูเชื่องพอสมควร ทำให้บรรดานักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันได้แบบเต็มๆโดยเจ้านกเงือกพวกนี้ก็ไม่มีท่าทีเขินอายเสียด้วย

ส่วนบรรยากาศส่วนอื่นๆที่น่าสนใจก็จะมีทั้งบันไดพญานาคซึ่งเป็นจุดทางเดินขึ้นที่จะไปชมในส่วนของเจดีย์และพระวิหาร รวมถึงศาลจีน ศาลยายเปญและพระวิหารซึ่งด้านในประดิษฐานพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวพนมเปญเป็นอย่างมาก รวมถึงภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระวิหารที่บอกเล่าเรื่องราวของพุทธประวัติและเรื่องราวของรามเกียรติ์ ขณะที่ประวัติของวัดพนมตามตำนานที่ผมได้อ่านมาก็ทราบว่า วัดพนมถูกสร้างขึ้นจากแรงศรัทธาของยายเปญซึ่งได้พบกับขอนไม้ลอยมาตามน้ำและเห็นพระพุทธรูป 5 องค์ประดิษฐานอยู่ในขอนไม้ จากนั้นยายเปญจึงอันเชิญขึ้นมาบนฝั่งก่อนที่จะเนินดินสูง 27 เมตรเพื่อสร้างวัดไว้สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปทั้ง 5 องค์ ซึ่งที่มาของวัดพนมและกรุงพนมเปญในปัจจุบันก็มาจากชื่อของยายเปญนั่นเอง โดยในวันที่ผมไปเที่ยววัดพนมก็พบว่ามีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันพอสมควรทั้งชาวกัมพูชาและชาวต่างชาติ โดยวัดพนมจะเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 8 โมงเช้าไปถึงประมาณ 5 โมงเย็น การเข้าชมก็จะคล้ายๆกับการเข้าชมสถานที่สำคัญทางศาสนานั่นก็คือ การรักษามารยาทเข้าชมด้วยความสุภาพและแต่งกายให้เหมาะสมและถูกกาละเทศะ



วัดพนม วัดเก่าแก่ของกรุงพนมเปญ
โดยเป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน

วัดพนมเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00 น. - 17.00 น.
คนกัมพูชาเข้าฟรี แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติแบบพวกเรา
เสียกันคนละ 1 ดอลลาร์ (35 บาท)

บรรยากาศภายในวัดพนมค่อนข้างร่มรื่นมาก
นั่นก็เพราะว่ามีการปลูกต้นไม้ไปตลอดทาง
ซึ่งผมเห็นชาวกัมพูชามักจะมานั่งเล่นพักผ่อนจับกลุ่มพูดคุยกัน

พอเดินขึ้นไปบนบันไดพญานาคก็จะพบกับพระวิหาร
ซึ่งมักจะเป็นจุดที่หลายคนมักมาถ่ายรูป
ผมลองถ่ายคลิปวีดีโอภายในพระวิหาร
แต่ถูกเจ้าหน้าที่เตือนไม่ให้ถ่ายวีดีโอ แต่สามารถถ่ายรูปได้

พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ที่ตั้งประดิษฐานอยู่ภายในพระวิหาร
ของวัดพนม

ภายในพระวิหารยังมีภาพจิตรกรรมฝานังให้ได้ชมกัน
ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของพุทธประวัติและรามเกียรติ์

ศาลยายเปญ ซึ่งตามตำนานเชื่อกันว่าเป็นผู้สร้างวัดพนมขึ้นมา
ปัจจุบันมีผู้คนมากราบสักการะกันอย่างไม่ขาดสาย

ร้านจำหน่ายของที่ระลึก สินค้าส่วนใหญ่ก็เป็นพวกโปสการ์ด

ผมไปวัดพนมครั้งล่าสุด สิ่งที่ดูสะดุดตามากก็คือ นกเงือก
ซึ่งมีอยู่หลายตัวและแต่ละตัวก็ดูเชื่องมาก
ไปถ่ายรูปใกล้ๆก็ไม่มีหลบหรือบินหนี


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
5 กรกฏาคม 2565



EP.46 ตลาดกลางคืนกรุงพนมเปญ


ทริปการเดินทางครั้งล่าสุดของผม คือ ประเทศกัมพูชา โดยผมปักหลักท่องเที่ยวอยู่ในกรุงพนมเปญเป็นหลัก สาเหตุคงเพราะว่าห่างหายจากการเที่ยวต่างแดนไป 2 ปีกว่า การกลับไปเที่ยวอีกครั้งก็เลยเน้นเมืองที่เที่ยวง่ายๆเอาไว้ก่อนและค่อยๆขยับขยายเที่ยวเมืองตามต่างจังหวัดหรือตามชนบทต่อไป สำหรับกรุงพนมเปญเมืองหลวงของกัมพูชานั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะครับ ผมเองไปเที่ยวไม่กี่วันก็เน้นเดินดูวิถีชีวิตผู้คนตรงบริเวณริมแม่น้ำซึ่งตรงจุดนี้มีสถานที่น่าสนใจอย่างเช่น พวกร้านอาหารผับบาร์ ลานออกกำลังกายและอีกสถานที่หนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ตลาดกลางคืนกรุงพนมเปญ ซึ่งในภาษาเขมรเขาจะเรียกกันว่า ประสาเรียเตรยพนมเปญ

สำหรับตลาดกลางคืนของกรุงพนมเปญ ถือว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่หากมาเที่ยวที่พนมเปญไม่ควรจะพลาด สถานที่ก็หาไม่ยากเพราะตั้งอยู่บริเวณแถวริมแม่น้ำโตนเลสาบซึ่งติดกับทั้งร้านอาหาร โรงแรมและผับบาร์มากมาย โดยความคึกคักและสีสันต่างๆจะเริ่มเห็นตั้งแต่ช่วงเย็นเป็นต้นไปซึ่งตลาดกลางคืนแห่งนี้เปิดขายลากกันยาวไปจนถึงดึกดื่น ผมไปพนมเปญครั้งแรกก็เดินไปที่ตลาดกลางคืนจนมาพนมเปญครั้งล่าสุดก็มาเดินที่ตลาดแห่งนี้อีกครั้ง บรรยากาศก็ไม่ได้แตกต่างอะไรมากครับอาจจะมีที่แตกต่างออกไปก็คือ ผู้คนสวมหน้ากากอนามัย แต่ก็มีแบบประปราย เพราะปัจจุบันทางกัมพูชาไม่ได้มีมาตรการบังคับให้ผู้คนสวมหน้ากากอีกต่อไปแล้ว

ส่วนบรรยากาศของตลาดกลางคืนกรุงพนมเปญ ผมเดินสำรวจดูแล้วก็ไม่แตกต่างจากตลาดของบ้านเรา สินค้าที่เห็นเยอะที่สุดก็คือเสื้อผ้า นอกจากนั้นก็จะมีทั้งกระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ ใครที่เป็นขาช้อปน่าจะถูกใจ แต่คงต้องมีการต่อรองราคากันสักหน่อยและนอกจากจุดของโซนขายสินค้าก็ยังมีของโซนขายอาหารซึ่งมีทั้งพวกอาหารจานเดียวและอาหารประเภทปิ้งย่าง รวมไปถึงของหวานทั้งไอศครีมและน้ำปั่น ซึ่งจะมีการปูเสื่ออยู่บริเวณตรงกลางเอาไว้สำหรับคนที่สั่งเมนูประเภทปิ้งย่าง นอกจากนั้นก็ยังมีการตั้งเวทีคอนเสิร์ตซึ่งในแต่ละคืนจะมีศิลปินชาวกัมพูชาผลัดเปลี่ยนมาร้องเพลงให้ความบันเทิงแก่ผู้ที่เดินไปมาภายในตลาด แต่ผมขอบอกไว้ก่อนว่าหลายเพลงที่ได้ฟังนั้นทำนองต่างๆนี่มันเหมือนเพลงไทยชัดๆ แต่เรื่องดนตรีก็ฟังเอาเพลินๆครับหากมาคิดว่าใครก็อปปี้ใครคงจะหมดสนุกเสียเปล่าๆ พวกคุณเห็นด้วยกับผมไหมเล่า



ตลาดกลางคืนกรุงพนมเปญ
ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำโตนเลสาบ

จากที่ผมเดินสำรวจมาก็พบว่าสินค้าที่มีขายเยอะสุดก็คือ
เสื้อผ้า ซึ่งส่วนมากจะเป็นแนวแฟชั่น

รองเท้า เป็นสินค้าอีกชนิดหนึ่งที่ขายดี
โดยมีหลากรุ่นและหลายสไตล์

ในแต่ละคืนจะมีผู้คนชาวกัมพูชา
มาเดินเลือกซื้อสินค้ากันเป็นจำนวนมาก

เครื่องประดับมีให้เลือกกันอย่างหลากหลาย
ทั้งพวกแหวน นาฬิกา สร้อย กำไลข้อมือ

บริเวณด้านหลังจะเป็นโซนของกิน
ผมเห็นมีหลายร้านที่ขายเมนูประเภทปิ้งย่าง
หน้าตาของเมนูก็จะประมาณนี้

ของหวานก็มีมากมายหลักๆก็คือพวก ไอศครีม
นอกจากนั้นก็จะเป็นพวก น้ำผลไม้ปั่น

มีการปูเสื่อไว้สำหรับนั่งรับประทานอาหาร
ส่วนมากก็จะเป็นเมนูพวกปิ้งย่าง
ซึ่งจะมีเตาตั้งเอาไว้พร้อมด้วยน้ำจิ้ม

นอกจากนั้นก็มีเวทีคอนเสิร์ตขนาดเล็ก
แต่ละคืนก็จะมีศิลปินกัมพูชาผลัดกันมาร้องเพลง
ซึ่งเพลงส่วนใหญ่ ผมว่าทำนองคล้ายเพลงของไทยมาก
แต่ดนตรีไม่มีพรมแดน ฉะนั้นอย่าไปคิดอะไรมากครับ
ฟังกันเพื่อความบันเทิงกันจะดีกว่า


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
7 กรกฎาคม 2565



EP.47 เซเว่นอีเลฟเว่นกรุงพนมเปญ


ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะมีประสบการณ์ในการเดินเข้าไปใช้บริการซื้อสินค้าในร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงอย่าง เซเว่นอีเลฟเว่น (7-Eleven) อย่างแน่นอนหรือถึงแม้จะไม่ได้เข้าไปซื้อสินค้าแต่ได้เข้าไปตากแอร์พอคลายร้อนก็ยังดี ซึ่งแน่นอนครับในทุกวันนี้ เซเว่นอีเลฟเว่น ได้เปรียบเสมือนเพื่อนรู้ใจหลายคนเข้าไปซื้อของกินต่างๆที่มีอยู่อย่างมากมาย หลายคนก็ไปซื้อของใช้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ซึ่งไอ้การที่เซเว่นอีเลฟเว่นเปิดตลอด 24 ชั่วโมงนี่แหละทำให้มักจะมีผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาเยี่ยมเยือนมาอย่างไม่ขาดสายทั้งลูกค้าขาประจำ ลูกค้าขาจร คนที่เข้ามาตากแอร์เฉยๆหรือแม้กระทั่งพวกโจรที่ต้องการเข้ามาปล้น

ปัจจุบันเซเว่นอีเลฟเว่นมีสาขาในเมืองไทยอยู่มากมายเหลือเกินครับ ผมเองก็นับไม่ไหวเหมือนกันว่ามีกี่สาขาแต่ที่แน่ๆเอาเฉพาะในละแวกบ้านผมก็มีไม่ต่ำกว่า 3-4 แห่งเข้าไปแล้ว ซึ่งเซเว่นอีเลฟเว่นก็ไม่ได้เป็นธุรกิจที่กลุ่มทุนของไทยเป็นผู้ริเริ่ม แต่มีกลุ่มทุนของไทยไปซื้อแฟรนไชส์เพื่อมาเปิดสาขาในเมืองไทย โดยกลุ่มทุนของไทยที่ว่าก็คือ กลุ่มเครือซีพีออลล์ นั่นเอง สำหรับในเมืองไทยนั้นเซเว่นอีเลฟเว่นมีกระจายไปแทบทุกหัวมุมถนนและทุกจังหวัดของประเทศไทย แต่ปัจจุบันนั้นกลุ่มซีพีออลล์ได้มีการขยายสาขาของเซเว่นอีเลฟเว่นไปยังต่างประเทศเพิ่มอีกครับ ตอนนี้หลักๆก็คือในโซนประเทศเพื่อนบ้านของเราทั้งลาว พม่า รวมไปถึงกัมพูชา

สำหรับกัมพูชานั้นมีเซเว่นอีเลฟเว่นเปิดหลายแห่งแล้ว ผมไปเที่ยวที่พนมเปญครั้งล่าสุดก็ได้มีโอกาสเข้าไปใช้บริการเซเว่นอีเลฟเว่นของที่นั่นเช่นกัน โดยจากการที่ได้พูดคุยกับพนักงานเซเว่นอีเลฟเว่นซึ่งเธอสามารถพูดไทยได้ เธอบอกกับผมว่าปัจจุบันที่กัมพูชามีเซเว่นอีเลฟเว่นมาเปิดสาขาหลายแห่งแล้วทั้งในพนมเปญ รวมไปถึงตรงชายแดนไทยกัมพูชาที่เมืองปอยเปตและยังมีเปิดตามจังหวัดต่างๆอย่างเช่น เสียมเรียบ กำปงจามรวมไปถึงกำปอต ส่วนบรรยากาศในร้านจากที่ผมได้เดินสำรวจดูก็พบว่าสินค้าต่างๆไม่แตกต่างจากเมืองไทย ซึ่งก็แน่นอนล่ะครับว่าการที่ซีพีออลล์มาขยายสาขาก็ทำให้สินค้าต่างๆก็ถูกนำเข้ามาจากไทยทั้งหมดซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 2000 รายการ ส่วนบรรยากาศในร้านก็ถูกตกแต่งเหมือนกันหมดมีจุดของ ALL CAFE มีตู้แช่ไว้ใส่เครื่องดื่ม พนักงานก็สวมชุดเหมือนบ้านเราและเปิดตลอด 24 ชั่วโมงเหมือนกัน แต่ที่แตกต่างจากเมืองไทยคงจะเป็นเก้าอี้ที่มีบริการให้ลูกค้าได้นั่งรับประทานอาหารรวมไปถึงจุดจอดมอเตอร์ไซค์ด้านหน้าร้านก็จะมีคนคอยดูและเรื่องการจอดรถให้แต่ก็ต้องมีการจ่ายเงินเล็กน้อยให้แก่คนดูแล


เซเว่นอีเฟเว่นสาขาพนมเปญในประเทศกัมพูชา
โดยจุดตรงนี้เป็นบริเวณโซนริมแม่น้ำ

บริเวณด้านหน้าร้านเป็นจุดจอดมอเตอร์ไซค์
แต่ที่นี่จะมีคนดูแลเรื่องการจอด แต่ลูกค้าก็ต้อง
มีการเสียเงินเล็กน้อยให้แก่คนดูแลเช่นกัน

สินค้าที่นี่เป็นสินค้าไทยที่ถูกนำเข้ามา
โดยมีไม่ต่ำกว่า 2000 รายการ

ตู้ของไอศครีมวอลล์ ส่วนด้านบนเป็นขนมโก๋แก่

สินค้าต่างๆถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ
ลูกค้าสามารถเดินดูของได้แบบสบายๆ

ตู้กดน้ำและตู้กดน้ำแข็งรวมทั้งจุดของสเลอปี้ 

อาหารประเภทข้าวกล่องและเมนูขนมปังต่างๆ
รวมไปถึงไส้กรอกก็มีให้บริการ
สำหรับเซเว่นอีเลฟเว่นที่พนมเปญก็เปิดตลอด
24 ชั่วโมงเหมือนกับในเมืองไทย

ALL CAFE ก็มีให้บริการแล้ว
ผมลองสั่งไปแต่ปรากฎว่าบางเมนูยังไม่มี


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
9 กรกฎาคม 2565



EP.48 ตลาดกลางกรุงพนมเปญ


ผมไปเที่ยวกัมพูชาในครั้งล่าสุดก็เป็นการกลับไปเที่ยวต่างแดนอีกครั้งในรอบกว่า 2 ปีซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ซึ่งการไปเที่ยวกัมพูชาในครั้งล่าสุดผมเน้นเที่ยวแต่ในกรุงพนมเปญซึ่งเป็นเมืองหลวง สาเหตุก็คงเป็นเพราะยังไม่ได้อยากเดินทางไปไหนไกลและต้องการไปในเส้นทางที่ง่ายๆหลังจากหยุดการเดินทางไปต่างประเทศ 2 ปีกว่า โดยการไปเที่ยวพนมเปญครั้งผมเน้นเดินเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆซึ่งหนึ่งในสถานที่ที่ผมได้เดินทางไปก็คือ ตลาดกลางกรุงพนมเปญหรือมีชื่อเรียกตามภาษาเขมรก็คือ ផ្សារធំថ្មី (พสา ทม ทเมย)

สำหรับตลาดกลางกรุงพนมเปญ เป็นตลาดขายสินค้าขนาดใหญ่ซึ่งมีทั้งขายส่งและขายปลีกเปรียบไปแล้วก็ประมาณตลาดนัดจตุจักรหรือตลาดสำเพ็งในเมืองไทย โดยมีจุดเด่นก็คือตัวอาคารซึ่งมีรูปแบบสถาปัตยกรรมออกไปทางสไตล์ตะวันตกซึ่งก็แน่นอนล่ะครับผู้ที่ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างอาคารก็คือสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ซึ่งหากเดินเข้าไปด้านในจะพบกับแท่นที่มีคำสลักทั้งภาษาเขมรและภาษาฝรั่งเศสซึ่งบ่งบอกถึงความร่วมมือกันในการสร้างตลาดกลางแห่งนี้ขึ้นมา นอกจากนั้นยังมีอีกจุดที่โดดเด่นก็คือ โดมซึ่งมีขนาดความสูงประมาณ 26 เมตรซึ่งสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ล้วนเป็นเอกลักษณ์ประจำตลาดกลางกรุงพนมเปญทั้งสิ้น

ส่วนบรรยากาศของตลาดกลางกรุงพนมเปญจากที่ผมเดินสำรวจดูแล้วก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากตลาดสำเพ็งบ้านเรานัก โซนบริเวณตรงโดมจะเป็นแหล่งขายพวกเครื่องประดับต่างๆทั้งนาฬิกา สร้อยคอ แหวน กำไลข้อมือ นอกจากนั้นก็จะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ขณะที่อีกโซนนึงก็จะเป็นโซนขายพวกอาหารทั้งของสดและของแห้งรวมไปถึงพวกผลไม้ต่างๆ ส่วนบริเวณรอบนอกตลาดจะเป็นโซนของดอกไม้ซึ่งพอเห็นแล้วผมนึกถึงบรรยากาศแถวปากคลองตลาดขึ้นมาทันที โดยในปัจจุบันตลาดกลางกรุงพนมเปญกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของกรุงพนมเปญซึ่งนักท่องเที่ยวอาจไม่ได้มาซื้อของแต่เพียงแค่มาเดินดูบรรยากาศและวิถีชีวิตของผู้คน ผมว่าก็สร้างความเพลิดเพลินได้ไม่น้อยแล้ว


ตลาดกลางกรุงพนมเปญ เป็นแหล่งขายสินค้าขนาดใหญ่
ซึ่งมีทั้งขายส่งและขายปลีก
โดยตั้งอยู่บริเวณใจกลางกรุงพนมเปญ

ทางเดินเข้าสู่ตลาดให้สังเกตุตัวอาคารให้ดี
เพราะได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส
ซึ่งทำให้ตัวอาคารดูมีโครงสร้างเป็นแบบตะวันตก

จุดจอดรถยนต์และมอเตอร์ไซค์อยู่ด้านหน้าทางเข้าตลาด

โซนขายดอกไม้จะอยู่บริเวณรอบนอก
เห็นแล้วชวนนึกถึงบรรยากาศแถวปากคลองตลาดเสียจริงๆ

สินค้าต่างๆมีอยู่อย่างมากมาย
ตรงนี้จะโซนของเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย

ตรงอาคารโดมจะมีหอนาฬิกาตั้งอยู่อย่างโดดเด่น
โดยโซนนี้คือโซนของพวกเครื่องประดับต่างๆ

ผลไม้นานาชนิด

บริเวณนี้จะเป็นโซนของตลาดสด
ซึ่งมีทั้งเนื้อสัตว์รวมถึงผักชนิดต่างๆ

อาหารทะเลต่างๆมีเยอะสุดก็คือพวกปลา

สินค้าจากเมืองไทยซึ่งที่กัมพูชาก็เป็นอีกประเทศ
ที่นิยมใช้สินค้านำเข้าจากเมืองไทย

รองเท้าจำนวนมากมีขายทั้งมือหนึ่งและมือสอง


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarMetalFootballTravel
12 กรกฎาคม 2565



EP.49 แพขนานยนต์ข้ามฟาก 
พนมเปญ - อเรยสาท


ผมเคยมีประสบการณ์ในการเดินทางด้วยการใช้แพขนานยนต์ข้ามฟากมาแล้วซึ่งการเดินทางในครั้งนั้นก็ไม่ได้อยู่ไหนไกลครับอยู่แถวๆบ้านของผมในจังหวัดสมุทรปราการซึ่งก็เป็นการข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยาจากฝั่งตลาดพระประแดงไปยังฝั่งสำโรง โดยในครั้งนั้นผมเดินทางด้วยการใช้มอเตอร์ไซค์เป็นยานพาหนะ แต่การใช้บริการแพขนานยนต์ข้ามฟากในครั้งล่าสุดของผมเกิดขึ้นในประเทศกัมพูชาซึ่งเป็นการข้ามฟากแม่น้ำโขงจากฝั่งกรุงพนมเปญไปยังฝั่งชุมชนอเรยสาทในจังหวัดกันดาล ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ผมไม่มียานพาหนะมันจึงเป็นการข้ามฟากแม่น้ำที่ราคาค่อนข้างจะถูกเลยทีเดียว

สำหรับการเดินทางทางด้วยแพขนานยนต์ข้ามฟากแม่น้ำโขงจากฝั่งพนมเปญไปยังฝั่งอเรยสาทในปัจจุบันถือว่าได้รับความนิยมจากชาวกัมพูชาอยู่พอสมควร เพราะมีความสำคัญต่อการเดินทางอย่างมากและช่วยร่นระยะเวลาในการเดินทางได้ดีพอสมควร ซึ่งจากฝั่งของอเรยสาทนั้นจะขึ้นอยู่กับจังหวัดกันดาลซึ่งเป็นจังหวัดที่โอบล้อมรอบกรุงพนมเปญเอาไว้ ดังนั้นหากใครมาเที่ยวที่กรุงพนมเปญก็ต้องผ่านเส้นทางจังหวัดกันดาลอย่างแน่นอน ขณะที่ในส่วนของแพขนานยนต์ข้ามฟากที่กัมพูชานั้นจะมีทั้งสิ้น 2 ชั้น โดยชั้นล่างจะเป็นไว้สำหรับจอดยานพาหนะต่างๆ ส่วนชั้นบนผมว่าคล้ายๆเอาไว้เป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขงเพราะมีที่นั่งอย่างดิบดีและเอาไว้รับลมในช่วงที่อากาศดีๆ

ส่วนระยะเวลาในการเดินทางนั้นผมไม่ได้นับว่าใช้เวลานานเท่าไหร่แต่ไม่ได้ใช้เวลานานอย่างแน่นอน ขณะที่อัตราค่าโดยสารก็จะลดหลั่นไปตามชนิดของยานพาหนะถ้าเป็นรถยนต์ก็เสียแพงสุด แต่ถ้าเป็นคนเดินเท้าแบบผมก็จะเสียอยู่ที่ 500 เรียลหรือประมาณ 4 บาทเท่านั้น โดยแพขนานยนต์ข้ามฟากจากพนมเปญไปฝั่งอเรยสาทนั้นสามารถนำยานพาหนะเกือบทุกชนิดข้ามได้หมด ส่วนในอนาคตมีการคาดการณ์กันว่าแพขนานยนต์ข้ามฟากแม่น้ำโขงแห่งนี้อาจจะถูกลดความสำคัญลงไป เนื่องจากมีแผนที่ทางการของกัมพูชาจะร่วมมือกับทางเกาหลีใต้ที่จะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงจากฝั่งพนมเปญถึงอเรยสาท แต่ถึงยังไงก็ตามผมว่าแม้อนาคตหลายอย่างอาจเปลี่ยนไปตามความเจริญเติบโตขึ้นของเมือง แต่เแพขนานยนต์ข้ามฟากแบบนี้ก็ยังมีเสน่ห์ในการเดินทาง ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างพวกเราก็จะได้เห็นวิถีชีวิตแบบคนท้องถิ่นจริงๆก็ด้วยวิธีการเดินทางแบบนี้แหละครับ


บริเวณทางที่จะลงไปสู่แพขนานยนต์ข้ามฟาก
โดยยานพาหนะเกือบทุกชนิดสามารถใช้บริการได้หมด
ไม่เว้นแม้แต่คนเดินเท้า

แพขนานยนต์ข้ามฟากจากฝั่งพนมเปญไปยังฝั่งอเรยสาท
สำหรับราคาสำหรับคนไม่มียาพาหนะแบบผม
จะอยู่ที่ 500 เรียลหรือประมาณ 4 บาท

แพขนานยนต์ของที่นี่จะมีด้วยกันทั้งสิ้น 2 ชั้น
ด้านบนสามารถขึ้นไปนั่งรับลมชมวิวกันได้

บรรยากาศระหว่างที่แพขนานยนต์แล่นผ่าน
ที่มองเห็นไกลๆก็จะเป็นแพขนานยนต์
ที่กำลังมุ่งหน้าไปฝั่งกรุงพนมเปญ

เวลาผมไปเที่ยวต่างประเทศแต่ละครั้ง
ผมจะต้องหาโอกาสใช้วิธีการเดินทาง
ในแบบที่คนท้องถิ่นเขาใช้กัน ซึ่งแพขนานยนต์แบบนี้
ก็เป็นอีกสิ่งที่จะทำให้ได้เห็นชีวิตการเดินทางของคนท้องถิ่นแบบจริงๆ

ใครหิวก็ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะบนแพขนานยนต์ข้ามฟาก
มีของกินขายอยู่พอสมควร

บรรยากาศบนชั้น 2 ของแพขนานยนต์ข้ามฟากที่กัมพูชา

แพขนานยนต์จะมุ่งหน้าไปยังฝั่งอเรยสาท
บริเวณด้านหน้าจะเป็นบ้านเรือนริมน้ำ
ซึ่งส่วนใหญ่ชาวบ้านจะประกอบอาชีพประมงกัน

ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึงฝั่งอเรยสาท
ซึ่งจะตั้งอยู่ในจังหวัดกันดาล
โดยจังหวัดนี้จะมีลักษณะพื้นที่ที่โอบล้อมกรุงพนมเปญเอาไว้

บรรยากาศของฝั่งอเรยสาทในจังหวัดกันดาล

ภาพนี้ผมยืนถ่ายรูปจากฝั่งอเรยสาท 
ซึ่งภาพตึกสูงตรงๆหน้าก็คือฝั่งกรุงพนมเปญ
ซึ่งปัจจุบันมีทุนจากจีนมาลงทุนมหาศาล
ทำให้กรุงพนมเปญในวันนี้มีการพัฒนาเติบโตไปอย่างรวดเร็ว


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
14 กรกฎาคม 2565



EP.50 สถานีรถไฟกรุงพนมเปญ


หากให้นึกถึง สถานีรถไฟ ผมเชื่อว่าหลายท่านน่าจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้บริการที่สถานีรถไฟมามากน้อยแตกต่างกันไป บางคนได้ใช้บริการบ่อยก็เพราะต้องเดินทางด้วยรถไฟเป็นพาหนะหลัก บางคนก็เดินทางไม่บ่อยนักหรือบางคนก็คือนักเดินทางตัวยงซึ่งชอบการนั่งรถไฟเป็นชีวิตจิตใจ ผมเองก็อยู่ในกลุ่มหลังครับก็คือ เป็นนักเดินทางที่ชอบการนั่งรถไฟเป็นอย่างมาก ดังนั้นผมจึงมีประสบการณ์ในการเดินทางไปตามสถานีรถไฟต่างๆอยู่พอสมควร ซึ่งแน่นอนว่ารถไฟไทยเป็นสิ่งที่ผมและหลายๆท่านก็คุ้นชินกันอยู่แล้ว แต่กับรถไฟในต่างแดนแล้วก็ยังมีคนไทยอีกหลายคนที่ยังไม่มีประสบการณ์กับการนั่งรถไฟในต่างประเทศกันเท่าไหร่

สำหรับสถานีรถไฟในต่างประเทศนั้นก็จะมีความเหมือนและแตกต่างจากบ้านเรา บางประเทศก็จะดูหรูหราบางประเทศก็จะดูเก่าแก่แต่ก็มีความคลาสสิค ส่วนตัวผมในช่วงหลังมักเดินทางในโซนอาเซียนก็เคยมีประสบการณ์นั่งรถไฟในประเทศพม่าและเวียดนามมาแล้ว แต่กับประเทศกัมพูชาซึ่งผมไปบ่อยพอสมควร ผมยังไม่มีประสบการณ์นั่งรถไฟเลยสักครั้งซึ่งก็ได้เพียงแต่ไปชมบรรยากาศของสถานีรถไฟในประเทศกัมพูชาเท่านั้นซึ่งก็คือ สถานีรถไฟกรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นสถานีรถไฟหลักของประเทศกัมพูชา โดยที่จะตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานฑูตแคนาดามากนัก

สถานีรถไฟกรุงพนมเปญ เริ่มเปิดให้ประชาชนใช้บริการในปี 1932 แต่ก็ต้องมีเหตุต้องยุติการให้บริการไปในช่วงเวลาหนึ่งซึ่งก็๋ตรงกับสมัยที่กลุ่มเขมรแดงเรืองอำนาจ หลังจากสงครามยุติลงก็ได้มีการปรับปรุงสถานีรถไฟกรุงพนมเปญกันครั้งใหญ่และกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในปี 2010 ซึ่งรูปแบบตัวอาคารก็มีลักษณะโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ตะวันตกซึ่งเดาไม่ยากครับว่ารูปแบบการก่อสร้างก็มีรูปแบบจากทางฝรั่งเศสพอสมควร โดยในปัจจุบันสถานีรถไฟกรุงพนมเปญมีการเดินรถอยู่ใน 2 เส้นทางจากที่ผมทราบข้อมูลมาก็จะเป็นเส้นทางสายเหนือที่จะไปทางสถานีปอยเปตซึ่งติดกับด่านชายแดนของไทยกับอีกหนึ่งสายก็จะเป็นสายใต้ซึ่งจะมีเส้นทางไปยัง ตาแก้ว กำปอตรวมไปถึงแกบ

โดยถึงแม้ว่าในปัจจุบันเส้นทางรถไฟในกัมพูชาอาจจะยังไม่มีการเดินรถแบบเต็มรูปแบบไปทั่วประเทศ แต่ผมว่าในอนาคตอีกไม่นานการเดินทางด้วยรถไฟในกัมพูชาน่าจะสมบูรณ์และได้รับความนิยมไม่น้อย เพราะมีแผนในการสร้างทางรถไฟเชื่อมต่อกับเมืองไทยของเราตรงด่านพรมแดนบ้านคลองลึก ส่วนในปัจจุบันสถานีรถไฟกรุงพนมเปญเริ่มที่จะมีร้านอาหารและร้านกาแฟมาให้บริการแก่ผู้โดยสารเพื่อรองรับการขยายตัวและเปิดเส้นทางใหม่ๆในอนาคตและสิ่งที่เห็นอีกหนึ่งอย่างก็คือ การที่จะมีพวกบรรดาวัยรุ่นชาวกัมพูชาและนักท่องเที่ยวมักจะมาถ่ายรูปบรรยากาศภายในสถานีรถไฟกันพอสมควร สาเหตุคงเป็นเพราะว่ามีบรรยากาศที่เงียบและไม่วุ่นวายและยังมีรถไฟเป็นโลเกชั่น ทำให้กลายเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คยอดนิยมของกรุงพนมเปญไปโดยปริยาย


สถานีรถไฟกรุงพนมเปญ เป็นสถานีรถไฟหลักของกัมพูชา
ซึ่งรูปแบบตัวอาคารค่อนข้างมีความโดดเด่น
โดยมีสถาปัตยกรรมในสไตล์แบบตะวันตก

สถานีรถไฟกรุงพนมเปญเริ่มเปิดให้บริการในปี 1932
แต่ในยุคที่เขมรแดงทำการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ
ทำให้ต้องยุติการให้บริการ ก่อนที่จะกลับมาเปิดให้บริการ
อีกครั้งในปี 2010

บรรยากาศภายในสถานีเริ่มมีร้านอาหารและร้านเครื่องดื่ม
มาเปิดกันบ้างแล้ว ที่เห็นนี่คือร้านกาแฟอเมซอน
แต่วันที่ผมไปทางร้านยังไม่เปิดให้บริการ

รถจักรไอน้ำภายในสถานี 
โดยเป็นอีกหนึ่งจุดที่ผู้คนมักจะมาถ่ายรูปกัน

ขบวนรถไฟที่จอดอยู่ภายในสถานี
ผมลองสังเกตุดูก็พบว่ารถไฟของกัมพูชา
จะมีการนำแอร์บ้านมาติดตั้งภายในขบวนด้วย
ดูแล้วก็เป็นไอเดียที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว

ตู้จำหน่ายตั๋วโดยสารที่สถานีรถไฟกรุงพนมเปญ
ปัจจุบันมีเดินรถไปในบางเส้นทางอย่างเช่น
ปอยเปต ตาแก้ว กำปอต แกบ

ปัจจุบันที่สถานีรถไฟกรุงพนมเปญ
ได้กลายเป็นสถานที่ยอดฮิตของวัยรุ่นชาวเขมร
ที่มักจะมาถ่ายรูปบรรยากาศ โดยมีรถไฟเป็นฉากหลัง


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
16 กรกฎาคม 2565


EP.51 โฮสเทล (ที่พักราคาประหยัด)


พวกคุณชอบนอน โฮสเทล กันไหมครับ?

สาเหตุที่ผมจั่วหัวบทความมาแบบนี้มันก็หมายความว่า บทความนี้ผมจะมาเน้นในเรื่องราวของที่พักอย่างแน่นอน ซึ่งพวกที่พักพักต่างๆเนี่ยมันก็มีหลายประเภทและหลากหลายราคาแตกต่างกันออกไป สำหรับคำถามที่ผมจั่วหัวเอาไว้ก็คือ โฮสเทล ซึ่งความหมายของคำนี้ก็คือ ที่พักราคาประหยัดและยังเจาะลึกเพิ่มเติมไปอีกว่าเป็นห้องสไตล์แบบนอนรวมหรือในศัพท์อังกฤษจะเรียกกันว่า ห้องดอร์ม ซึ่งโฮสเทลนี่แหละครับคือห้องพักที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในหมู่นักเดินทางสไตล์แบบเป้เที่ยวหรือเรียกกันแบบภาษานิยมก็คือ ชาวแบคแพคเกอร์ นั่นเอง

สำหรับคำว่า โฮสเทล หลายคนที่เป็นนักท่องเที่ยวอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกันมากนัก เพราะส่วนใหญ่ห้องพักสไตล์นี้อาจจะไม่ค่อยถูกจริตกับนักท่องเที่ยวชาวไทย เพราะแน่นอนการที่ต้องไปนอนร่วมห้องกับคนที่ไม่รู้จักมันย่อมแปลกและเป็นวัฒนธรรมที่คนไทยเราไม่คุ้นชิน แต่สำหรับชาวตะวันตกโดยเฉพาะพวกฝรั่งหัวทองจะคุ้นชินกันอย่างมากและกว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มาพักโฮสเทลก็เป็นกลุ่มเจ้าฝรั่งหัวทองนี่แหละครับ

ส่วนบรรยากาศของโฮสเทลก็จะเป็นห้องที่ไม่ใหญ่มาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกตึกคูหาที่นำดัดแปลงเป็นที่พักในราคาประหยัด โดยภายในห้องจะมีเตียงที่เป็นลักษณะ 2 ชั้นโดยจำนวนเตียงก็จะแตกต่างกันไปน้อยสุดที่ผมเคยเห็นคือ 4 เตียง ส่วนมากสุดจะอยู่ที่ 30 เตียงขึ้นไป ขณะที่ห้องน้ำส่วนมากแล้วจะตั้งอยู่นอกห้องอาจจะมีบ้างที่มีห้องน้ำในตัวแต่ไม่เป็นที่นิยมมากนักและทุกโฮสเทลจะมีเครื่องปรับอากาศติดตั้ง นอกจากนั้นก็จะมีตู้ล็อคเกอร์ซึ่งจะมีเท่ากับจำนวนเตียงภายในห้องซึ่งทางที่พักจะแจกให้แก่ผู้เข้าพักทุกคนเป็นแบบล็อคเกอร์ของใครของมัน นอกจากนี้ก็จะมีผ้าเช็ดตัวให้แต่ส่วนมากที่ผมเห็นจะต้องจ่ายเงินเป็นค่ามัดจำ พอเราเช็คเอาท์แล้วก็นำผ้าเช็ดตัวมาคืนแล้วทางที่พักจะคืนเงินค่ามัดจำให้

ขณะที่เรื่องของการหลับนอนหรือพักในโฮสเทล ผมว่าเป็นอะไรที่นรกสำหรับคนที่นอนหลับยากหรือชอบความเป็นส่วนตัวอย่างมาก เพราะการที่ต้องไปนอนร่วมกับคนอื่นก็ย่อมต้องมีเสียงจุกจิกให้น่ารำคาญใจอยู่เกือบตลอด เช่น ไอ้ฝรั่งคนนี้กรนดังตลอดทั้งคืน อีสาวหมวยจากจีนเปิดกระเป๋าหยิบนู่นหยิบนี่แบบไม่เกรงใจใคร หรือลุงแก่ๆเมามาแล้วโวยวายเสียงดังและอีกสารพัดรูปแบบที่ต้องเจอ ดังนั้นหากใครรับกับเรื่องพวกนี้ไม่ได้ผมแนะนำให้ไปพักในโรงแรมแบบส่วนตัว แต่สำหรับคนที่ต้องการประหยัดเงินหรือคิดซะว่าเรามาเที่ยวไม่ได้มานอนพักในห้อง การมาพักในโฮสเทลก็ดูที่จะเหมาะกับพวกคุณไม่น้อยเลยทีเดียว

นอกจากนั้นแล้วหากคุณเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีก็เป็นโอกาสที่ดีครับที่จะได้เพื่อนใหม่จากโฮสเทล เพราะส่วนมากคนที่มาพักโฮสเทลก็เดินทางคนเดียวเป็นหลักและพร้อมเปิดใจที่จะรับมิตรภาพใหม่ๆจากเพื่อนร่วมห้องอยู่แล้ว บางทีคุณอาจจะได้ร่วมแชร์สำหรับทริปท่องเที่ยวร่วมกัน ได้นั่งทานอาหารร่วมกันหรือบางคนได้เจอเนื้อคู่จากโฮสเทลมันก็มีให้เห็นมาแล้ว นอกจากนั้นพวกบรรดาพนักงานที่ทำงานโฮสเทลส่วนมากก็จะเป็นกันเองกับแขกที่มาพักและพูดภาษาอังกฤษได้ในระดับที่ค่อนข้างดีแถมยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่ต่างๆภายในเมืองได้แบบละเอียดมากกว่าพวกพนักงานตามโรงแรมบางแห่งเสียอีก

ดังนั้นแล้วการนอนพักในโฮสเทลมันก็ไม่ได้ดูแย่อะไรและไม่ได้ดูด้อยค่าว่าต้องเป็นพวกนักท่องเที่ยวจนๆ ผมเคยรู้จักนักท่องเที่ยวบางคนในโฮสเทลเป็นถึงระดับเจ้าของธุรกิจมีเงินพอสมควร แต่ก็เลือกมาพักโฮสเทลเพราะว่าต้องการนำเงินไปใช้จ่ายด้านอื่นๆไม่ว่าจะเรื่องการเดินทาง อาหารการกินหรือท่องเที่ยว ดังนั้นแล้วถ้าคุณพร้อมเปิดใจพร้อมเรียนรู้กับสิ่งใหม่ๆจากประสบการณ์ในการเดินทางของคุณเอง คุณก็จะได้เห็นมุมมองใหม่ๆที่ไม่เคยได้สัมผัสเช่นกัน


โฮสเทล คือ ที่พักในราคาประหยัด โดยมาในรูปแบบ
Dormitory ซึ่งเป็นการการนอนรวมกับคนอื่นๆ
ปัจจุบันโฮสเทลมีเกือบทุกที่ทั่วโลก
และได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มชาวแบคแพคเกอร์

เตียงนอนในโฮสเทลจะเป็นแบบเตียง 2 ชั้น
หากใครขาไม่ดีผมไม่แนะนำให้นอนข้างบน

สิ่งที่มีให้ในโฮสเทลก็มีหมอน ผ้าห่มและผ้าม่านปิดกั้นรวมถึงปลั๊กไฟ
ถ้าเป็นโฮสเทลที่ราคาแพงสักหน่อยก็จะเป็นห้องแบบแคปซูล
ซึ่งมีดีไซน์ที่เก๋ไก๋และมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าโฮสเทลราคาถูกๆ

ตู้ล็อคเกอร์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับโฮสเทล
ซึ่งจะมีเอาไว้ใส่พวกของสำคัญที่มีค่าต่างๆ
ผมไปพักโฮสเทลมาหลายที่ของไม่เคยหายเลยสักครั้ง
แต่ก็ไม่ควรประมาทโดยเด็ดขาด
เพราะการนอนร่มกับคนแปลกหน้า
มันก็ย่อมมีพวกมิจฉาชีพแอบแฝงมาบ้าง

บรรยากาศด้านนอก ซึ่งตรงนี้จะตั้งอยู่ริมแม่น้ำ
ซึ่งอยู่ในกรุงพนมเปญของกัมพูชา
โดยโฮสเทลที่ผมพักมีชื่อว่า
Onederz Hostel Phnom Penh


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
22 กรกฎาคม 2565



EP.52 สีสันยามค่ำคืน
หน้าพระราชวังเขมรินทร์


พระราชวังเขมรินทร์ในประเทศกัมพูชาถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของกรุงพนมเปญ ผมเคยไปเข้าไปชมบรรยากาศด้านในมาแล้ว 1 ครั้ง ถ้าให้เปรียบไปก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากพระบรมราชวังหรือวัดพระแก้วตรงแถวสนามหลวงของบ้านเรา ปัจจุบันพระราชวังเขมรินทร์ก็เป็นพื้นที่เขตพระราชฐานและเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นสัญลักษณ์ของกรุงพนมเปญ ซึ่งด้วยความที่เป็นสัญลักษณ์และตั้งอยู่ใจกลางกรุงพนมเปญ ทำให้มักจะมีนักท่องเที่ยวทั้งคนกัมพูชาและชาวต่างชาติมาเที่ยวชมกันอยู่บ่อยๆ

สำหรับการเที่ยวชมพระราชวังเขมรินทร์นั้นสามารถเข้าชมได้เฉพาะในช่วงเวลากลางวัน ส่วนในเวลากลางคืนถึงแม้จะไม่สามารถเข้าไปชมกันได้ แต่ก็มีความคึกคักจากบรรยากาศที่อยู่บริเวณรอบๆซึ่งก็คือสีสันในยามค่ำคืนที่มักจะมีชาวกัมพูชามานั่งรวมกลุ่มซึ่งส่วนมากจะมากันในรูปแบบของทั้งกลุ่มเพื่อน กลุ่มของครอบครัวและในรูปแบบของคู่รัก โดยส่วนใหญ่ก็มานั่งพูดคุยหรือถ่ายรูปกับพวกแสงสีในยามค่ำคืนและก็มีกลุ่มที่มานั่งทานอาหารเช่นกัน

ส่วนคนเดินทางคนเดียวอย่างผมก็ได้แต่เดินชมบรรยากาศแสงสียามค่ำคืนและดูวิถีชีวิตของชาวกัมพูชาไป ซึ่งจากการที่เดินเดินสำรวจบรรยากาศไปรอบๆก็เห็นได้ว่าจะมีแต่คนท้องถิ่นมานั่ง ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติผมแทบไม่เจอเลยสักคนทั้งๆที่โซนนักท่องเที่ยวก็อยู่ในระยะที่ใกล้ๆกัน ขณะที่บรรยากาศอื่นๆที่ได้พบเห็นก็จะเป็นพวกแม่ค้าพ่อค้าที่นำของมาขายทั้งของเล่นและของกินต่างๆมากมาย รวมไปถึงพวกบรรดารถรับจ้างที่จอดกันอย่างเรียงรายเพื่อรอรับผู้โดยสาร ซึ่งภาพที่ผมได้เห็นทั้งหมดก็เป็นเสน่ห์และสีสันยามค่ำคืนหน้าพระราชวังเขมรินทร์ที่เต็มไปด้วยความคึกคักจากบรรดาผู้คนชาวกัมพูชา


สีสันยามค่ำคืนหน้าพระราชวังเขมรินทร์ในกรุงพนมเปญ
เต็มไปด้วยความคึกคักจากบรรดาผู้คนท้องถิ่นชาวกัมพูชา

วัดพระแก้ว ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับพระราชวัง
ส่วนถนนด้านหน้าคนไทยจะเรียกกันว่า ถนนหน้าพระลาน
ลักษณะต่างๆดูไม่ต่างจากวัดพระแก้วของบ้านเราเท่าไหร่

ช่วงเวลาค่ำคืนแบบนี้จะมีชาวกัมพูชาจำนวนมาก
ออกมานั่งจับกลุ่มพูดคุยและถ่ายรูปกับแสงสี
โดยจะมาทั้งในแบบคู่รัก กลุ่มเพื่อนและครอบครัว

แม่ค้านำของมาวางขายกันพอสมควร
อย่างภาพนี้ก็เป็นพวกของเล่นต่างๆทั้งตุ๊กตาและรถบังคับ

บรรดาลูกโป่งต่างๆก็เป็นสิ่งที่บรรดาเด็กๆถูกใจอย่างมาก

ของกินก็มีขายอยู่พอสมควร พวกแมลงทอด ตั๊กแตนทอด
ที่มีขายในบ้านเราที่กัมพูชาก็มีขายเช่นกัน

มีการปูเสื่อซึ่งเอาไว้สำหรับคนที่ต้องการนั่งทานอาหาร
พร้อมกับชมแสงสีในยามค่ำคืน

เขตรอบๆพระราชวังจะเป็นเขตพระราชฐาน
ทำให้มีการสั่งห้ามการบินโดรนโดยเด็ดขาด


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
24 กรกฎาคม 2565


EP.53 ห้าง The Heritage Walk


ห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้า คือ สถานที่รวบรวมสินค้าหลากหลายชนิดซึ่งตัวอาคารสถานที่จะอยู่ในรูปแบบที่ดูทันสมัยซึ่งให้อารมณ์ความแตกต่างจากตลาดทั่วๆไปอย่างชัดเจน สำหรับเมืองไทยของเรามีห้างสรรพสินค้ามากมายครับ เดี๋ยวนี้ขยายไปตามต่างจังหวัดและมีห้างสรรพสินค้ากันครบทุกจังหวัด หลายคนไปเดินห้างก็เพื่อจับจ่ายสินค้า บ้างก็เดินเที่ยวเล่น บ้านก็ไปเดินตากแอร์หลบอากาศร้อนจากภายนอก ส่วนตัวผมไม่ค่อยถูกจริตกับพวกห้างสรรพสินค้าเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ไม่ได้ไปเดินบ่อยนัก แต่ถ้าไปเดินเมื่อไหร่ก็มีซื้อของที่จำเป็นหลักๆก็จะเป็นสินค้าที่เอาไว้สำหรับการเดินทาง

สำหรับห้างสรรพสินค้านั้นมีอยู่ทั่วโลกครับ ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปเที่ยวที่ไหนก็จะเจอกับห้างสรรพสินค้าเสมอไม่เว้นแม้แต่พวกเมืองเล็กๆที่คนไม่ค่อยรู้จักก็ยังมีห้างสรรพสินค้าให้คนได้ไปเดินกัน สำหรับในเมืองเสียมเรียบที่กัมพูชาถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ ดังนั้นห้างสรรพสินค้าจึงเป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นได้เยอะในเมืองเสียมเรียบ โดยหนึ่งในห้างที่ทั้งคนเขมรและนักท่องเที่ยวต่างชาติรู้จักกันพอสมควรก็คือ ห้าง The Heritage Walk ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากจุดท่องเที่ยวของเมืองเสียมเรียบมากนัก โดยถูกจัดให้เป็นห้างสรรพสินค้าที่มีดีไซน์การออกแบบที่ดูล้ำสมัยและน่ามาเดินเที่ยวไม่น้อยเลย

ช่วงวันท้ายๆของการอยู่ในเสียมเรียบ ผมเลือกที่จะมาเดินดูห้าง The Heritage Walk ซึ่งผมเที่ยวเสียมเรียบหลายครั้งก็ไม่เคยได้มาสักที พอเมื่อเข้าไปก้เห็นการดีไซน์ของตัวอาคารที่ดูโฉบเฉี่ยวโดยมีแนวคิดในการออกแบบให้อาคารเป็นแบบเปิดโล่งและมีลักษณะแบบกึ่งกลางแจ้งทำให้ดูไม่อึดอัด โดยผมไปเดินในวันธรรมดาทำให้บรรยากาศอาจดูไม่คึกคักมากนัก แต่สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ มีร้านอาหารดังจากต่างประเทศมาเปิดสาขาที่นี่เยอะพอสมควรไม่ว่าจะเป็นร้านตำมั่วของเมืองไทย ร้านบาร์บีคิวพลาซ่า ร้านพิซซ่า ร้านกาแฟอเมซอน ร้านอาหารของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ รวมถึงร้านไอศครีมสเวนเซ่นส์ 

ส่วนจุดอื่นๆที่น่าสนใจก็จะมีโซนชั้นล่างที่เป็นลานวงกลม โดยมีการตั้งเครื่องเล่นสำหรับเด็ก มีแม่ค้านำทุเรียนมาวางขาย รวมไปถึงจุดของซุปเปอร์มาร์เกตซึ่งมีสินค้านานาชนิด ขณะที่บริเวณชั้นอื่นๆจากที่ผมเดินขึ้นไปสำรวจก็พบว่าค่อนข้างเงียบเหงามาก พื้นที่บางส่วนยังมีการปรับปรุง แต่ก็ยังมีจุดของโรงภาพยนตร์ที่อยู่บริเวณชั้นบนซึ่งจะเป็นจุดที่ได้รับความนิยมจากวัยรุ่นชาวกัมพูชากันพอสมควร ซึ่งผมว่าปัจจุบันห้าง The Heritage Walk เนี่ยค่อนข้างจะดูเหมือนศูนย์รวมร้านอาหารมากกว่า คนที่มาเดินส่วนใหญ่ก็คือมานั่งทานอาหาร เพราะพวกร้านที่ขายของใช้ต่างๆแทบไม่มีให้เห็นเลยและในวันธรรมดาก็ดูเงียบสุดๆ ซึ่งบางทีอาจจะคึกคักในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็เป็นไปได้


ห้าง The Heritage Walk ห้างสรรพสินค้าชื่อดัง
ที่ตั้งอยู่ในเมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา

โซนชั้นล่างจะเป็นพื้นที่เปิดโล่ง
โดยจะมีการนำเครื่องเล่นเด็กมาตั้งเอาไว้อยู่ตรงกลาง

ซุปเปอร์มาร์เกตก็ตั้งอยู่ในโซนชั้นล่าง
โดยมีสินค้าค่อนข้างหลากหลาย

ร้านอาหารมีเยอะมาก นี่คือร้านปิ้งย่างชื่อดัง
ซึ่งก็คือร้าน บาร์บีคิวพลาซ่า คนไทยเราคุ้นเคยกันดี

ร้านพิซซ่าก็มีครับ ซึ่งจะมีร้านอาหารต่างประเทศ
มาเปิดสาขาที่นี่กันพอสมควร

ร้านตำมั่วของไทยเราก็มาเปิดสาขาที่นี่เหมือนกัน
ผมได้แต่ถ่ายรูปด้านนอก สาเหตุเพราะไม่มีเงินมากพอ
ที่จะเข้าไปทาน

มีของคาวไปแล้วก็ต้องมีของหวานอย่าง
ไอศครีมสเวนเซ่นส์

วันที่ผมไปเดินก็ไปเจอทุเรียนพอดี
ดูน่าทานพอสมควร แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นพันธุ์อะไร

ผมเดินสำรวจไปจนทั่วก็พบว่าชั้นบนสุดจะมีโรงหนัง
เห็นมีภาพหนังไทยด้วย ซึ่งคนที่มาดูส่วนใหญ่จะเป็นเด็กวัยรุ่น

ผมไปเดินวันธรรมดา บรรยากาศที่เห็นก็เป็นประมาณนี้เลย
ดูแล้วค่อนข้างเงียบเหงาและพื้นที่บางส่วนก็มีการปรับปรุงอยู่


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
26 กรกฎาคม 2565


EP.71 จุดพักรถจังหวัดกำปงธม


เมื่อออกเดินทางสิ่งที่ควรมีตลอดนั่นคือ สติ ความพร้อมของร่างกายและสมรรถนะของยานพาหนะ ยิ่งต้องเดินทางในระยะทางไกลย่อมต้องมีความพร้อมมากเป็นพิเศษ ผมเป็นคนหนึ่งที่ตั้งแต่มาเป็นยูทูปเบอร์และบล็อกเกอร์ก็ต้องออกเดินทางอยู่แทบตลอดไม่ว่าจะเป็นการเดินทางทั้งในประเทศหรือว่าต่างประเทศ โดยการเดินทางแต่ละครั้งก็มีทั้งเดินทางในระยะใกล้ๆรวมไปถึงการเดินทางในระยะไกล โดยยานพาหนะที่ผมได้โดยสารไปก็มีหลากรูปแบบทั้งรถยนต์ เรือ รถไฟ มอเตอร์ไซค์รวมไปถึงเครื่องบิน

ผมเดินทางส่วนมากก็เป็นการนั่งรถยนต์เป็นหลักโดยส่วนใหญ่จะเป็นพวกรถบัสไม่ก็รถตู้ โดยในช่วงกลางเดือนกันยายนผมมีโอกาสได้ไปที่กัมพูชาโดยนั่งรถตู้โดยสารจากเสียมเรียบไปที่พนมเปญซึ่งจะใช้เวลาเดินทางราวๆ 6 ชั่วโมงซึ่งก็ไม่ได้เป็นการเดินทางในระยะที่ไกลมากเท่าไหร่ แต่เนื่องจากผมเดินทางในช่วงกลางวันทำให้รถตู้ที่ผมนั่งไปได้มีการแวะจอดที่จุดพักรถซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดกำปงธมซึ่งก็เป็นหนึ่งในเส้นทางที่รถจะต้องวิ่งผ่านทุกครั้งหากเดินทางจากเสียมเรียบไปที่กรุงพนมเปญ

โดยรถตู้ที่ผมนั่งไปนั้นส่วนมากผู้โดยสารเป็นคนกัมพูชานั่นจึงทำให้รถตู้จอดที่จุดพักรถที่เป็นสไตล์ร้านแบบคนท้องถิ่น ซึ่งบรรยากาศในร้านก็ดูเป็นสไตล์ท้องถิ่น อาหารก็มีลักษณะเป็นข้าวราดแกงไม่ต่างจากเมืองไทย นอกจากนั้นก็ยังมีจุดของห้องน้ำรวมไปถึงร้านคาเฟ่แบบเล็กๆที่ให้บริการขายทั้งกาแฟและชาซึ่งถึงแม้ว่าบรรยากาศของจุดพักรถจะไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่เท่าที่ผมสังเกตุเห็นก็คือมีรถยนต์แวะมาเรื่อยๆโดยส่วนมากจะเป็นคนเขมรท้องถิ่นซึ่งบรรยากาศแบบท้องถิ่นดูโลคอลแบบนี้แหละที่ผมชื่นชอบ สุดท้ายผมจึงไม่พลาดที่จะหยิบกล้องออกมาถ่ายรูปบรรยากาศของจุดพักรถในจังหวัดกำปงธมแบบเพลิดเพลิน


จุดพักรถจังหวัดกำปงธมซึ่งตั้งอยู่ในเส้นทาง
ระหว่างที่รถจะวิ่งจากเสียมเรียบไปที่พนมเปญ

บรรยากาศของจุดพักรถดูเป็นสไตล์แบบท้องถิ่น
ซึ่งผู้ที่เข้ามาใช้บริการ ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวเขมร

รถตู้ที่ผมนั่งโดยสารมาซึ่งผู้โดยสารเกือบทั้งหมด
เป็นชาวกัมพูชาล้วนๆ

อาหารที่ขายก็จะเป็นพวกข้าวราดแกง
ดูแล้วเมนูต่างๆแทบไม่ต่างจากในเมืองไทย

ห้องน้ำของจุดพักรถในจังหวัดกำปงธม
ส่วนใกล้ๆกันก็คือ ร้านคาเฟ่ซึ่งขายพวกเมนูเครื่องดื่มต่างๆ

บรรยากาศบริเวณด้านหน้าของจุดพักรถ
ซึ่งฝั่งตรงข้ามกำลังมีการก่อสร้างปั๊มน้ำมัน


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
21 ตุลาคม 2565


EP.72 ห้างสรรพสินค้า AEON MALL


ห้างสรรพสินค้า คือ สถานที่ที่รวบรวมสินค้าหลากหลายชนิดรวมทั้งยังมีจุดของศูนย์อาหารและพวกร้านอาหารต่างๆมากมายซึ่งในทุกวันวันหยุดหรือช่วงวันว่างก็จะเห็นภาพของผู้คนออกมาเดินซื้อของภายในห้างสรรพสินค้า บางรายอาจจะเอาแค่ได้เดินตากแอร์เย็นๆในช่วงวันหยุด ซึ่งภาพบรรยากาศเหล่านี้ก็เป็นภาพที่จะได้เห็นกันจนชินตาในทุกๆประเทศทั่วโลกซึ่งในประเทศกัมพูชาก็ไม่แตกต่างจากที่อื่นๆที่พอถึงช่วงเย็นหรือช่วงวันหยุดก็จะมีผู้คนมาเดินที่ห้างสรรพสินค้ากันเป็นจำนวนมาก

ห้างสรรพสินค้าที่กัมพูชาส่วนใหญ่มักจะตั้งอยู่ในกรุงพนมเปญซึ่งเป็นเมืองหลวง โดยห้างที่ใหญ่ที่สุดของประเทศกัมพูชาก็คือ ห้าง AEON MALL ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าสัญชาติญี่ปุ่นที่ได้มีการขยายสาขาไปยังประเทศต่างๆ โดยเวลาที่ผมไปเที่ยวที่กรุงพนมเปญผมก็มักจะแวะที่ห้าง AEON MALL ทุกครั้งซึ่งจากการได้เห็นบรรยากาศภายในห้างก็ต้องยอมรับว่า ห้าง AEON MALL ค่อนข้างได้รับความนิยมจากชาวกัมพูชาอยู่พอสมควร เพราะมักจะมีผู้คนมาเดินภายในห้างกันอยู่แทบตลอดทั้งวัน

ส่วนบรรยากาศภายในห้างก็ถือว่ามีความทันสมัยมีโซนของโรงภาพยนตร์จะตั้งอยู่ชั้นบนสุด โซนของศูนย์อาหารจะตั้งอยู่ใกล้กับประตูทางเข้าออก โซนของร้านอาหารก็จะมีร้านอาหารจากต่างประเทศมาเปิดสาขาที่นี่กันพอสมควรและพวกบรรดาร้านค้าแบรนด์เนมต่างๆจากต่างประเทศก็มาเปิดให้บริการที่แห่งนี้มากมายหลายร้าน ผมเดินสำรวจจนทั่วก็พบว่าห้าง AEON MALL กลายเป็นสถานที่พักผ่อนของชาวกัมพูชาโดยเฉพาะในวันหยุดจะมีผู้คนมากเป็นพิเศษดูแล้วก็อาจไม่ต่างจากเมืองไทยบ้านเราและอีกหลายๆประเทศที่ผู้คนที่พอมีเงินจับจ่ายก็มักจะใช้เวลาช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์มาเดินที่ห้างสรรพสินค้า


ห้าง AEON MALL คือห้างสรรพสินค้าสัญชาติญี่ปุ่น
และเป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดของประเทศกัมพูชา

ด้วยความที่เป็นห้างใหญ่และทันสมัย
ทำให้จะมีพวกร้านค้าแบรนด์เนมของต่างประเทศ
มาเปิดขายกันอย่างมากมาย

ร้านค้าแบรนด์เนมต่างๆเท่าที่ผมเห็นจะเป็นพวกร้านเสื้อผ้า
โดยมีแบรนด์ดังอย่าง H&M Giordarno รวมถึง Adidas

โซนขายพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าก็มักจะมี
พวกคนท้องถิ่นชาวกัมพูชามาดูและเลือกซื้อกันพอสมควร

โซนของร้านอาหารจะตั้งเรียงตลอดแนวยาว
โดยมีร้านอาหารจากต่างประเทศมาเปิดสาขากันอย่างมากมาย

ร้านฟาสฟู้ดชื่อดังอย่าง เบอร์เกอร์คิง ก็มาเปิดสาขาที่นี่เช่นกัน

โรงภาพยนตร์ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของห้าง

เกมโซนจะตั้งอยู่ไม่ห่างจากโรงภาพยนตร์
โซนนี้จะได้รับความนิยมจากกลุ่มวัยรุ่น

พื้นที่บริเวณหน้าห้าง AEON MALL
ซึ่งทุกๆวันหยุดจะมีผู้คนมาเดินกันเป็นจำนวนมาก


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
30 ตุลาคม 2565


EP.73 นั่งรถไฟกัมพูชา


ขอสารภาพแบบตรงๆเลยว่า ผมเป็นคนที่ชอบการเดินทางด้วยรถไฟเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะเริ่มมานั่งรถไฟครั้งแรกก็ตอนอายุ 20 ขึ้นไปแล้ว แต่มนต์เสน่ห์ของรถไฟทำให้ผมหลงรักมาจนถึงปัจจุบัน สาเหตุก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากเกินไปกว่าว่า เสน่ห์ของการนั่งรถไฟทำให้ได้เห็นวิวบรรยากาศจากข้างทางกันได้แบบเพลินๆแถมรถไฟไทยบ้านเราบางขบวนก็ได้นั่งกันแบบสโลว์ไลฟ์กันสุดๆ เมื่อมีความชอบและหลงไหลทำให้ในช่วงหลังผมมักที่จะเลือกเดินทางด้วยรถไฟเป็นหลักอยู่เสมอ

รถไฟไทยผมมีโอกาสได้นั่งมาแล้วหลายขบวน แต่เมื่อได้ไปยังต่างแดนก็คิดว่าจะหาทางนั่งรถไฟของแต่ละประเทศเพื่อสัมผัสถึงเสน่ห์ของการนั่งรถไฟในต่างประเทศเสียบ้าง เมื่อผมได้ไปที่กัมพูชาก็ไม่พลาดครับที่จะนั่งขบวนรถไฟของกัมพูชาซึ่งแม้จะมีเส้นทางการเดินรถไม่เยอะเหมือนบ้านเรา แต่รถไฟของกัมพูชาก็มีเอกลักษณ์ที่น่าจดจำไม่น้อย เอาแค่บรรยากาศบนรถไฟก็ดูแปลกตาดีเพราะมีการนำเอาแอร์บ้านมาติดตั้งขบวน ส่วนที่นั่งก็เป็นแบบเบาะยาวที่ผู้โดยสารจาก 2 ฝั่งจะหันหน้าเข้าหากัน

ขณะที่เส้นทางที่ผมเลือกเดินทางกับขบวนรถไฟกัมพูชาก็คือ เส้นทางจากพนมเปญไปยังสถานีในเมืองกำปอดซึ่งใช้เวลาเดินทางร่วมๆ 4 ชั่วโมงกว่าซึ่งก็มาเสียเวลาเปลี่ยนขบวนรถไฟตรงสถานีแกบ ส่วนอัตราค่าโดยสารของขบวนรถไฟกัมพูชาจะอยู่ที่ 9 ดอลล่าร์หรือประมาณ 330 บาทซึ่งบรรยากาศที่รถไฟวิ่งผ่าน ผมว่าไม่ต่างจากบ้านเราซึ่งจะผ่านพื้นที่ทั้งโซนชานเมือง โซนชนบทที่เห็นบรรยากาศท้องทุ่งนารวมถึงแวะจอดรับส่งผู้โดยสารที่สถานีประจำเมืองอย่างเช่น สถานีตาแก้วและสถานีแกบก่อนจะไปสิ้นสุดจุดหมายปลายทางที่สถานีกำปอด


รถไฟกัมพูชา มีเส้นทางเดินรถไม่เยอะเท่าเมืองไทย
แต่ขบวนรถไฟดูมีเอกลักษณ์อยู่ไม่น้อย

ผู้โดยสารมานั่งรอขึ้นรถไฟกันตั้งแต่เช้า
เพราะรถไฟออกตอน 7 โมงเช้าทั้งเส้นทางกำปอดและพระตะบอง

ขบวนรถไฟของกัมพูชาจะใช้แอร์บ้านมาติดตั้งบนขบวน
และที่นั่งจะเป็นแถวยาวที่ผู้โดยสารจะหันหน้าเข้าหากัน

รถไฟวิ่งมาได้สักพักก็จะผ่านบรรยากาศแถบชานเมือง
ซึ่งดูแล้วชวนให้นึกถึงรถไฟช่วงวงเวียนใหญ่ - มหาชัย

รถไฟวิ่งมาได้เกือบชั่วโมงก็จะเข้าสู่พื้นที่โซนชนบท
ซึ่งบรรยากาศส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกท้องทุ่งนา

สถานีตาแก้ว เป็นหนึ่งในจุดที่รถไฟจะแวะจอด
เพื่อรับส่งผู้โดยสาร โดยอยู่ห่างจากกรุงพนมเปญ 2 ชั่วโมง

ห้องน้ำบนขบวนรถไฟค่อนข้างดูดีเลยทีเดียว
ซึ่งจากที่ผมสังเกตุนี่น่าจะเป็นรถไฟชั้น 2 ของกัมพูชา

วิวสวยๆระหว่างทางที่รถไฟวิ่งผ่าน

รถไฟมาเปลี่ยนขบวนที่สถานีแกบ ซึ่งภาพรถไฟขบวนนี้ก็คือ
ขบวนรถไฟที่ทางไทยส่งมอบให้กับทางกัมพูชา

จากสถานีพนมเปญมาที่สถานีกำปอดใช้เวลา 4 ชั่วโมงกว่า
ซึ่งถ้าไม่เปลี่ยนขบวนก็จะใช้เวลาในการเดินทางน้อยกว่านั้น


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
14 พฤศจิกายน 2565


EP.88 ศูนย์อาหารกลางคืน
ใกล้อนุสาวรีย์เอกราช


อนุสาวรีย์เอกราช คือ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงซึ่งตั้งอยู่ในกรุงพนมเปญของประเทศกัมพูชาและเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของกรุงพนมเปญ เวลาใครมาเที่ยวที่พนมเปญก็มักจะแวะมาชมบรรยากาศในยามค่ำคืนบริเวณอนุสาวรีย์เอกราชกันทั้งนั้นครับซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้มาเดินเที่ยวชมอนุสาวรีย์เอกราชในยามค่ำคืน แต่เมื่อเดินไปสักพักท้องก็เริ่มจะร้องบ่งบอกว่าความหิวกำลังมาเยือนซึ่งจุดใกล้ๆกับอนุสาวรีย์เอกราชก็มีร้านอาหารให้ได้นั่งทานกันอยู่จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว

โดยร้านที่ดูจะได้รับความนิยมจากผู้คนจะไม่ได้เป็นร้านอาหารแบบทั่วไป แต่ที่นี่ลักษณะจะเหมือนศูนย์อาหารหรือฟู้ดคอร์ทแต่ไม่ได้ต้องแลกบัตรเงินสดเหมือนตามห้างสรรพสินค้าซึ่งศูนย์อาหารแห่งนี้จะเปิดขายกันตั้งแต่ช่วงก่อนเที่ยงแต่จะมีความคึกคักเป็นอย่างมากในช่วงเวลากลางคืน เพราะจะมีร้านอาหารมาเปิดขายกันหลายร้านและมีผู้คนมานั่งทานอาหารกันหลายคน ส่วนเมนูที่ขายกันก็มีอยู่หลากหลายดีครับไม่ว่าจะเป็นอาหารตามสั่ง เมนูขนมปังที่ใส่พวกหมูยอและแตงกวาลงไป รวมไปถึงอาหารตะวันตกอย่างสเต็ก

ผมมีโอกาสไปทานอาหารที่ศูนย์อาหารแห่งนี้ก็บ่อยครั้งอยู่เหมือนกัน โดยชอบไปสั่งเมนูขนมปังยาวสไตล์ฝรั่งเศสซึ่งเขาจะใส่พวกหมูยอแตงกวาและทานคู่กับน้ำจิ้มรสเด็ดนึกไปแล้วก็คงคล้ายๆกับการทานหมูสะเต๊ะของบ้านเรา ส่วนรอบๆบริเวณศูนย์อาหารก็จะมีอาหารแนวสตรีทฟู้ดขายอยู่ทั้งพวกส้มตำ เมนูหมูย่างรวมไปถึงก๋วยเตี๋ยวซึ่งอาหารที่เห็นก็ไม่ต่างจากเมืองไทยมากนักซึ่งพอถึงยามค่ำคืนศูนย์แห่งนี้ก็จะเต็มไปด้วยผู้คนที่ต่างมานั่งรับประทานอาหารแต่เท่าที่ผมเห็นส่วนมากจะเป็นกลุ่มคนกัมพูชาที่มักเลือกมานั่งรับประทานที่ศูนย์อาหารกลางคืนใกล้อนุสาวรีย์เอกราช


ศูนย์อาหารกลางคืนใกล้อนุสาวรีย์เอกราช
เป็นฟู้ดคอร์ทในกรุงพนมเปญที่ได้รับความนิยมอย่างมาก

ร้านนี้ผมทานเป็นประจำซึ่งเป็นร้านขายขนมปังยาวแบบฝรั่งเศส
และสอดไส้ด้วยหมูยอแตงกวาและทานคู่กับน้ำจิ้มรถสเด็ด

ร้านนี้ขายอาหารตามสั่ง ส่วนเมนูก็คล้ายๆกับเมืองไทย

เมนูตะวันตกอย่าง สเต็ก ก็มีขายเช่นกัน
ซึ่งราคาก็ไม่แพงครับขายอยู่ที่ประมาณ 50-60 บาท

บริเวณรอบๆก็มีอาหารพวกสตรีทฟู้ดขาย
ทั้งส้มตำ หมูย่าง ไข่ต้ม ก๋วยเตี๋ยว

จริงๆแล้วศูนย์อาหารที่นี่เปิดขายตั้งแต่ก่อนเที่ยง
แต่ความคึกคักจะอยู่ในช่วงกลางคืนเสียมากกว่า

มองเห็นไกลๆจะเป็นอนุสาวรีย์เอกราช
ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของกรุงพนมเปญ


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
5 กุมภาพันธ์ 2566


EP.90 ประติมากรรมมินิอังกอร์วัด


เมืองเสียมเรียบไม่ใช่เมืองหลวงของกัมพูชาก็จริงนะครับ แต่เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกล้วนแต่รู้จักกันแทบทั้งนั้น สาเหตุหลักๆก็เพราะว่าที่เมืองเสียมเรียบเป็นเมืองที่มีสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่าง อังกอร์วัดหรือที่คนไทยเรียกกันว่า นครวัด โดยในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกนับล้านคนมาแวะเวียนเที่ยวชมอังกอร์วัดกันอย่างไม่ขาดสายเพื่อชมสถานที่ที่เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

ผมเคยไปเที่ยวชมอังกอร์วัดมาประมาณ 2 ครั้ง ความรู้สึกที่ได้ชมก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรมากเป็นพิเศษเพราะสาเหตุหลักๆของการที่เข้าไปชมก็เพื่อให้ไปได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่อยู่ใกล้บ้านเรานี่แหละ โดยอังกอร์วัดนอกจากที่จะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ทำรายได้ให้กับประเทศกัมพูชาแล้วภายในเมืองเสียมเรียบก็ยังมีสถานที่ที่รวบรวมงานด้านประติมากรรมเอาไว้อย่างหลากหลาย โดยมีจุดไฮไลท์เด่นก็คือ ประติมากรรมมินิอังกอร์วัด

สำหรับประติมากรรมมินิอังกอร์วัดจะเป็นสถานที่เล็กๆที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังและแม่น้ำเมืองเสียมเรียบ โดยบรรยากาศด้านภายในจะเต็มไปด้วยงานประติมากรรมต่างๆที่เป็นศิลปะในสไตล์แบบเขมร โดยจุดไฮไลท์เด่นก็คือ งานปั้นของอังกอร์วัดในขนาดย่อรวมไปถึงงานปั้นของปราสาทบันทายศรี โดยผลงานประติมากรรมเหล่านี้เป็นการรังสรรค์ของชายชราที่รอดชีวิตจากสงครามยุคเขมรแดง แต่ปัจจุบันเป็นที่น่าเสียดายว่าชายชราผู้ปั้นงานประติมากรรมเหล่านี้ได้เสียชีวิตลงไปแล้ว

ส่วนการเข้าชมนั้นนักท่องเที่ยวสามารถมาเข้าชมกันได้ในทุกๆวัน โดยจะมีค่าเข้าชมอยู่ที่คนละ 2 ดอลล่าร์หรือประมาณเกือบๆ 70 บาทซึ่งค่าเข้าชมเหล่านี้นอกจากจะเป็นการทำนุบำรุงสถานที่แล้วยังเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนผลงานด้านประติมากรรมของเมืองเสียมเรียบ ซึ่งนับวันผลงานในด้านประติมากรรม จิตรกรรม สถาปัตยกรรมเริ่มได้รับความนิยมลดน้อยลงไปทุกที การสนับสนุนผลงานเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนกำลังใจและช่วยเหลือให้แก่บรรดานักสร้างสรรค์ผให้มีแรงใจในการรังสรรค์ผลงานดีๆออกมาให้พวกเราได้ชมกัน


ประติมากรรมมินิอังกอร์วัด ตั้งอยู่ในเมืองเสียมเรียบ
โดยเป็นงานประติมากรรมของนครวัดในรูปแบบขนาดย่อ

อีกหนึ่งผลงานที่เป็นไฮไลท์ก็คือ ปราสาทบันทายศรี

ผลงานด้านประติมากรรมมากมายที่ถูกนำมาจัดแสดง

ผลงานประติมากรรมพวกนี้เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของ
ชายชราซึ่งเป็นผู้รอดชีวิตจากสงครามยุคเขมรแดง

สำหรับการจะเข้าชมจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่คนละ 2 ดอลล่าร์
หรือตีเป็นเงินไทยก็ราวๆเกือบ 70 บาท

บริเวณทางเข้าด้านหน้าของประติมากรรมมินิอังกอร์วัด
โดยจะตั้งอยู่ใกล้กับพระราชวังและแม่น้ำเมืองเสียมเรียบ


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
15 กุมภาพันธ์ 2566


EP.112 นั่งรถมินิบัสระหว่างประเทศ
กัมพูชา - เวียดนาม


การเดินทางในยุคปัจจุบันผมว่ามีความสะดวกสบายอย่างมากและเดินทางไปมาหาสู่กันง่ายขึ้นด้วยไม่ว่าจะเป็นการเดินทางด้วยยานพาหนะชนิดใดก็ตามซึ่งการเดินทางที่สะดวกสบายทำให้เกิดนักเดินทางหน้าใหม่อย่างมากมาย โดยการเดินทางระหว่างประเทศโดยที่ไม่นั่งเครื่องบินก็ถือว่าเป็นอีกทางเลือกยอดนิยมของนักเดินทางในสไตล์แบกเป้เที่ยวซึ่งแน่นอนว่าผมก็คือหนึ่งในนั้นเช่นกันครับ

เวลาผมเดินทางไปต่างประเทศผมไม่ค่อยนิยมการนั่งเครื่องบินเท่าไหร่ โดยส่วนมากมักจะเน้นการเดินทางด้วยรถโดยสารซึ่งการเดินทางในประเทศแถบอาเซียนก็มีเส้นทางระหว่างประเทศอยู่ไม่น้อยและก็มีรถโดยสารให้บริการจากประเทศนึงไปยังประเทศนึงเช่นในเมืองไทยของเราก็มีรถบัสวิ่งไปลาว รถบัสวิ่งไปกัมพูชาหรือจะเป็นรถตู้ที่ข้ามแดนไปมาเลเซีย ส่วนในประเทศอื่นๆก็มีเช่นกันอย่างเช่น รถโดยสารที่วิ่งระหว่างประเทศกัมพูชาและเวียดนาม

ผมมีโอกาสข้ามแดนจากกัมพูชาไปเวียดนามก็หลายครั้งอยู่เหมือนกันและในแต่ละครั้งก็มักจะนั่งรถบัสโดยสารจากกรุงพนมเปญไปยังกรุงโฮจิมินห์ซึ่งเส้นทางนี้ถือว่าเป็นเส้นทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวและใช้เวลาในการเดินทางประมาณแค่ 7 ชั่วโมง โดยรถโดยสารที่ข้ามแดนจากกัมพูชาไปยังเวียดนามก็มีให้บริการอยู่หลายบริษัทซึ่งราคาก็เป็นไปตามมาตรฐานของแต่ละบริษัท ถ้าอยากนั่งสบายก็คงต้องจ่ายแพงหน่อย แต่ถ้าอยากประหยัดงบก็มีตัวเลือกอยู่ไม่น้อยแต่มาตรฐานอาจจะดร็อปลงมา

ครั้งล่าสุดที่ผมเดินทางจากกัมพูชาไปเวียดนาม คือ ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาโดยพวกผมเลือกซื้อตั๋วกับบริษัทวิรัก บุญธรรม ซึ่งเป็นบริษัทเดินรถที่ค่อนข้างมีมาตรฐานของกัมพูชา โดยรถที่ได้นั่งเป็นรถมินิบัสเดินทางจากกรุงพนมเปญไปยังกรุงโฮจิมินห์ใช้เวลา 7 ชั่วโมงกว่า ส่วนค่าตั๋วอยู่ที่ 33 ดอลลาร์หรือตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1100 บาทซึ่งในความคิดก็ถือว่าค่อนข้างแพง แต่ด้วยความที่อยากนั่งแบบสบายๆและได้รถที่มีมาตรฐานจึงยอมจ่ายไป

ส่วนเรื่องการเดินทางผมได้รอบ 11 โมงซึ่งกว่าจะไปถึงที่โฮจิมินห์ก็ราวๆเกือบ 2 ทุ่ม โดยเส้นทางที่รถวิ่งผ่านจะผ่านตัวเมืองสวายเรียงซึ่งเป็นเมืองชายแดนของกัมพูชาก่อนที่จะเข้าไปยังเวียดนาม นอกจากนี้ก็ต้องผ่านจุดผ่านแดนของทั้ง 2 ประเทศโดยด่านของกัมพูชามีชื่อว่า ด่านบาเวท ส่วนด่านของเวียดนามมีชื่อว่า ด่านมอคไบ โดยรถจะมีการจอดให้ผู้โดยสารแวะเข้าห้องน้ำรวมไปถึงจอดแวะทานข้าวในช่วง 5 โมงเย็นในเขตพื้นที่ของประเทศเวียดนาม


รถมินิบัสระหว่างประเทศที่ให้บริการในเส้นทาง
กรุงพนมเปญของกัมพูชา - กรุงโฮจิมินห์ของเวียดนาม

ผมเลือกเดินทางกับบริษัท วิรัก บุญธรรม
ซึ่งเป็นบริษัทเดินรถที่ค่อนข้างมีมาตรฐานดีของกัมพูชา

ตารางเส้นทางเดินรถของบริษัท วิรัก บุญธรรม
ซึ่งมีเส้นทางทั้งในประเทศและเส้นทางระหว่างประเทศ

รถจะแวะจอดให้ผู้โดยสารได้เข้าห้องน้ำ ซื้อของ
โดยจะไปจอดให้ทานข้าวในช่วงเย็นตรงเขตพื้นที่ประเทศเวียดนาม

ด่านพรมแดนของกัมพูชาซึ่งผู้โดยสารต้องลงไป
เพื่อให้เจ้าหน้าที่ปั๊มพาสปอร์ต โดยด่านนี้มีชื่อว่า ด่านบาเวท

บรรยากาศของประเทศเวียดนามซึ่งจะเห็น
มอเตอร์ไซค์จำนวนมากเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น

รถมินิบัสใช้เวลาเดินทางเกือบๆ 8 ชั่วโมง
โดยมาถึงจุดหมายปลายทางที่กรุงโฮจิมินห์ก็เกือบๆ 2 ทุ่ม


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
23 สิงหาคม 2566


EP.115 สะพานรถไฟพระตะบอง


หากเอ่ยชื่อของ พระตะบอง ผมเชื่อว่าคนไทยหลายคนที่ได้ศึกษาและเรียนรู้ประวัติศาสตร์กันมาคงคิดไว้คล้ายกันว่าที่จังหวัดนี้ครั้งนึงในสมัยอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของไทยมาก่อน แต่สุดท้ายเมื่อมีเหตุพิพาทกับทางฝรั่งเศสทำให้ไทยต้องยอมเสียพื้นที่ตรงส่วนนี้ไป ทำให้ปัจจุบันพื้นที่ของพระตะบองกลายเป็นส่วนหนึ่งของกัมพูชาซึ่งการเดินทางไปในปัจจุบันก็ไม่ยากนักเพราะจังหวัดพระตะบองตั้งอยู่ห่างจากชายแดนไทยไปไม่เกิน 3 ชั่วโมงเท่านั้น

ผมเพิ่งกลับมาจากพระตะบองได้ประมาณอาทิตย์กว่าๆ โดยเป็นการไปสำรวจแบบทริประยะสั้นๆซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดในการสำรวจจังหวัดพระตะบองก็คือการเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยว โดยสถานที่ท่องเที่ยวที่ดังที่สุดก็คือ การนั่งรถไฟไม้ไผ่ แต่ผมเป็นคนที่ไม่ชอบไปเที่ยวยังสถานที่ดังๆเหมือนคนอื่น ดังนั้นจึงพยายามหาอะไรแปลกๆที่ไม่ค่อยมีใครไปจนกระทั่งมาได้เจอกับสะพานรถไฟแห่งหนึ่งซึ่งปัจจุบันยังคงเปิดใช้งานปกติ

สะพานรถไฟแห่งนี้ไม่ได้มีชื่อเสียงเรียงนามแบบชัดเจน ดังนั้นผมเลยเรียกเอาเองว่าเป็นสะพานรถไฟแห่งพระตะบอง โดยสะพานแห่งนี้เป็นสะพานที่ใช้ข้ามแม่น้ำสังแก นอกจากนั้นยังเป็นเส้นทางที่เอาไว้รองรับรถไฟที่มีไว้ขนส่งสินค้า แต่น่าเสียดายที่สะพานรถไฟแห่งนี้ไม่ได้เปิดเส้นทางไว้สำหรับรถไฟที่บรรทุกผู้โดยสารเพื่อการเดินทางซึ่งถ้าดูจากลักษณะของตัวสะพานก็แน่นอนล่ะครับว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะมาเป็นเส้นทางรถไฟที่ใช้ในการเดินทาง

สำหรับสะพานรถไฟแห่งพระตะบองมีไว้เฉพาะรถไฟที่ขนส่งสินค้า โดยเปิดใช้งานมาแล้วไม่ต่ำกว่า 70 ปีซึ่งรถไฟจะใช้สะพานนี้ในการวิ่งข้ามแม่น้ำสังแก ปัจจุบันยังมีรถไฟวิ่งผ่านไปมาแต่ก็เหลืออยู่ไม่มากนัก ทำให้บรรยากาศอาจดูไม่ค่อยคึกคักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรก็ตามสะพานรถไฟพระตะบองได้กลายเป็นหนึ่งในจุดที่ผู้คนมักจะมาถ่ายรูปกับสะพานและทางรถไฟจนทำให้กลายเป็นหนึ่งในจุดที่มีความแปลกและน่าสนใจหากได้มาเที่ยวที่จังหวัดพระตะบอง


สะพานรถไฟแห่งจังหวัดพระตะบอง
เป็นสะพานเก่าแก่และเปิดใช้งานมาไม่ต่ำกว่า 70 ปี

ส้นทางรถไฟในปัจจุบัน แต่เป็นเส้นทางที่มีไว้เฉพาะ
รถไฟที่ขนส่งสินค้าและไม่ได้รองรับรถไฟที่ใช้ในการเดินทาง

นอกจากนั้นยังเป็นสะพานที่รถไฟจะใช้วิ่งข้ามแม่น้ำ
โดยแม่น้ำที่เห็นนี่คือ แม่น้ำสังกะ

บริเวณใกล้ๆกับสะพานรถไฟจะมีร้านอาหารตั้งอยู่ด้วย


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
18 กันยายน 2566


EP.118 คุกตวลสเลง


เขมรแดง ชื่อนี้คือชื่อที่ทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาต่างพากันเกลียดโกรธแค้นหรืออาจหวาดผวา เพราะเขมรแดงก็คือกลุ่มมีอำนาจฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่เคยได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชาไปไม่ต่ำกว่าหลักล้านคนซึ่งเหตุการณ์ต่างๆมันได้อุบัติขึ้นในช่วงกลางยุคทศวรรษที่ 70 โดยหากไปถามผู้คนชาวเขมรที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปเชื่อว่าหลายคนน่าจะยังพอมีความทรงจำกับในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันอยู่ไม่น้อย

เหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชาถือว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่น่าละอายของมนุษยชาติครับ โดยถึงแม้ว่าปัจจุบันในประเทศกัมพูชาจะไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นอีกแล้ว แต่ก็ยังมีสถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกลุ่มเขมรแดงให้เห็นกันอยู่ โดยหนึ่งในสถานที่นั้นก็ตั้งอยู่ในเมืองหลวงอย่างกรุงพนมเปญโดยสถานที่ที่ว่าก็คือ S-21 หรือคุกตวลสเลง

สำหรับคุกตวลสเลงนั้นในอดีตก็คือโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนกันแบบปกติทั่วไป แต่เมื่อฝ่ายเขมรแดงสามารถเข้าครอบครองกัมพูชาได้แบบเบ็ดเสร็จในปี 1975 สถานที่แห่งนี้ก็ถูกดัดแปลงกลางเป็นคุกที่เอาไว้คุมขังเหยื่อชาวกัมพูชาซึ่งกลายสภาพมาเป็นนักโทษ โดยเมื่อถูกจับเข้ามายังคุกตวลสเลงนั่นก็เท่ากับว่าชีวิตของพวกเขาก็เหมือนกับตายไปแล้วครึ่งนึง

โดยนักโทษที่ถูกนำมาคุมขังที่คุกตวลสเลงส่วนมากก็คือชาวกัมพูชาซึ่งมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงรวมไปถึงพวกเด็กและคนชราซึ่งนักโทษเหล่านี้ก็มาจากหลากหลายอาชีพทั้งพวกอาจารย์ วิศวกร หมอ ปัญญาชนคนมีความรู้ไปตลอดจนถึงพวกชาวไร่ชาวนาคนหาเช้ากินค่ำ โดยเมื่อถูกนำมาคุมขังชีวิตของพวกเขาก็ไม่ต่างจากตกนรกเพราะว่าจะถูกทรมานด้วยวิธีต่างๆที่มีความโหดร้ายซึ่งเมื่อถูกทรมานอย่างสาหัสแล้วพวกเขาก็จะถูกนำไปฆ่าต่อที่ทุ่งสังหารหรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อของ Killing Field นั่นเอง

ปัจจุบันคุกตวลสเลงถูกเปลี่ยนสภาพให้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้มาเข้าชม โดยด้านภายในก็จะนำเสนอเรื่องราวความโหดร้ายที่เกิดขึ้นจริงในคุกตวลสเลงไม่ว่าจะเป็นวิธีการทรมานนักโทษ โฉมหน้าของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย หัวกะโหลกของเหยื่อที่มีอยู่หลากหลายชิ้มรวมไปถึงคุกที่เคยใช้คุมขังนักโทษ โดยจากที่ผมได้เดินสำรวจจนทั่วก็พบว่าสถานที่เต็มไปด้วยความหดหู่และใบหน้าของนักท่องเที่ยวแต่ละคนที่ได้เห็นภาพและทราบเรื่องราวต่างก็รู้สึกเศร้าหมอง หดหู่กับเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นในประเทศกัมพูชา


คุกตวลสเลง ตั้งอยู่ในกรุงพนมเปญของประเทศกัมพูชา
โดยสมัยก่อนเคยเป็นโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนแบบทั่วไป

แต่ในปี 1975 เมื่อฝ่ายเขมรแดงมีอำนาจก็ดัดแปลง
พื้นที่ของโรงเรียนให้กลายเป็นคุกที่ใช้ทรมานนักโทษ

เตียงนอนที่เคยใช้เป็นที่ทรมานนักโทษด้วยวิธีต่างๆ

กฎต่างๆที่ฝ่ายเขมรแดงตั้งขึ้นมา
ซึ่งแต่ละข้อล้วนแต่เป็นการบีบบังคับนักโทษทั้งนั้น

ภาพของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกนำมาขังในคุกตวลสเลง
ซึ่งมีทุกเพศทุกวัยไม่เว้นแม้แต่เด็กและคนชรา

เหยื่อที่ถูกทรมานบางก็เสียชีวิตทันทีในจุดเกิดเหตุ
บางรายยังมีชีวิตแต่ก็เหมือนกับตายทั้งเป็น

อนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิต
ในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

บริเวณจุดทางเข้าออกจะมีจุดบริการออดิโอไกด์
หรือหูฟังที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของคุกตวลเสลง


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
9 ตุลาคม 2566


EP.126 ทุ่งสังหารที่พระตะบอง


ประวัติศาสตร์ของประเทศกัมพูชาที่หลายคนน่าจะพอเคยได้ยินและได้ฟังกันมาบ้างคงจะเป็นเรื่องราวของ เขมรแดง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เคยเรืองอำนาจในช่วงยุคทศวรรษที่ 70 และได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเขมรไปไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคนซึ่งเหตุการณ์ใหญ่ๆของการฆ่าสังหารก็มักเกิดขึ้นในกรุงพนมเปญ แต่ก็ใช่ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นเฉพาะในเมืองหลวง เพราะว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกลุ่มเขมรแดงได้เกิดไปทั่วประเทศกัมพูชา โดยหนึ่งในนั้นก็คือที่จังหวัดพระตะบอง

พระตะบองในปัจจุบันจัดว่าเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มักมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมไปเที่ยวกัน แต่เหตุการณ์ในช่วงที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่พระตะบองก็มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเช่นกันซึ่งแม้ว่าจะไม่โด่งดังเหมือนเหตุการณ์ที่พนมเปญ แต่ความโหดร้ายการทารุณกรรมก็ไม่แตกต่างจากจุดอื่นๆ โดยที่พระตะบองก็ได้มีพื้นที่ของทุ่งสังหารซึ่งเปรียบได้ดั่งอนุสรณ์สถานแห่งความหดหู่และความสะเทือนใจจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

ผมได้มีโอกาแวะไปชมทุ่งสังหารที่จังหวัดพระตะบอง โดยสถานที่แห่งนี้ดูมีความแตกต่างจากทุ่งสังหารที่กรุงพนมเปญมากพอสมควร เพราะไม่ได้มีความโด่งดังไม่มีการเก็บเงินค่าเข้าชมและไม่ได้มีนักท่องเที่ยวแวะมาชมมากนัก นอกจากนั้นพื้นที่ของทุ่งสังหารที่พระตะบองยังตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัด ทำให้บรรยากาศของสถานที่ยิ่งดูมีความวังเวงมากไปอีกเป็นทวีคูณ แต่ถึงอย่างไรก็ตามสถานที่แห่งนี้ก็คือส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่น่าละอายของประเทศกัมพูชาอีกแห่งหนึ่ง

ผมเดินสำรวจบรรยากาศดูจนทั่วก็พบว่าพื้นที่ของทุ่งสังหารที่พระตะบองจะมีอนุสรณ์สถานที่เอาไว้เก็บหัวกะโหลกและโครงกระดูกของบรรดาเหยื่อที่ถูกเขมรแดงฆ่าอย่างโหดร้ายซึ่งไม่แตกต่างจากที่กรุงพนมเปญเท่าไหร่ นอกจากนั้นยังมีจุดของภาพแกะสลักที่อยู่รอบอนุสรณ์สถานซึ่งจะเป็นภาพที่บอกเล่าเหตุการณ์ที่เขมรแดงทำการทรมานเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย นอกจากนั้นก็จะมีรูปปั้นของทหารเขมรแดงและคำอธิบายทั้งภาษาเขมรและภาษาอังกฤษซึ่งช่วงเวลาที่ผมได้ไปเที่ยวชมก็เป็นบรรยากาศช่วงที่ท้องฟ้ามืดครึ้มมีฝนตกลงมาปรอยๆ นั่นยิ่งทำให้บรรยากาศของสถานที่ที่ดูวังเวงและน่าหดหู่อยู่แล้วยิ่งเพิ่มความวังเวงมากขึ้นไปอีก


ทุ่งสังหารที่จังหวัดพระตะบอง เป็นอนุสรณ์สถาน
ที่มีความเกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชา

หัวกะโหลกและโครงกระดูกจำนวนมากของเหยื่อที่ถูกสังหาร
ถูกนำมาจัดเก็บไว้ในอนุสรณ์สถาน

ภาพแกะสลักรอบๆอนุสรณ์สถานซึ่งจะเป็นภาพ
เหตุการณ์การที่กลุ่มเขมรแดงทำการทรมานเหยื่อ

รูปปั้นที่แสดงให้เห็นถึงการแต่งกายของฝ่ายเขมรแดง

ข้อมูลของสถานที่ซึ่งมีทั้งภาษาเขมรและภาษาอังกฤษ

ทุ่งสังหารที่จังหวัดพระตะบองตั้งอยู่ในพื้นที่ของวัด
และมีขนาดไม่ได้ใหญ่โตเหมือนทุ่งสังหารที่กรุงพนมเปญ


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
4 ธันวาคม 2566


EP.132 การทำบุญริมแม่น้ำจตุมุข


ปีใหม่ 2567 หรือ 2024 ก็ผ่านพ้นกันมาได้หลายวันแล้วนะครับ ท่านผู้อ่านหลายๆท่านก็คงถือโอกาสได้ไปทำบุญไหว้พระเพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิตและเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีตั้งแต่ช่วงเปิดศักราชใหม่ ส่วนผมช่วงหลังๆไม่ค่อยได้ทำบุญเข้าวัดมากนักแต่จะเน้นการบริจาคให้แก่องค์กรการกุศลหรือทำบุญกับคนด้อยโอกาสเสียมากกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ตามเรื่องการเข้าวัดทำบุญก็ยังคงเป็นวิธีการทำบุญยอดนิยมของบรรดาชาวไทยและชาวพุทธอยู่เช่นเดิม

สำหรับในประเทศกัมพูชาก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ผู้คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธซึ่งวิธีการทำบุญของชาวเขมรก็ดูไม่แตกต่างจากการทำบุญของคนไทยเท่าไหร่ โดยในกรุงพนมเปญเมืองหลวงของกัมพูชาก็มีจุดให้ทำบุญอยู่อย่างมากมายโดยหนึ่งในนั้นก็คือบริเวณริมแม่น้ำจตุมุขซึ่งเป็นหนึ่งในจุดแลนด์มาร์กของกรุงพนมเปญซึ่งในแต่ละวันจะมีผู้คนมานั่งพักผ่อนเดินผ่านสัญจรกันบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก

จุดของริมแม่น้ำจตุมุขนอกจากจะเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญแล้วยังมีจุดไว้สำหรับการทำบุญอีกด้วย โดยลักษณะจะดูเหมือนโบสถ์ขนาดเล็กที่ภายในจะประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บรรดาชาวเขมรให้ความเคารพนับถือซึ่งบริเวณรอบๆโบสถ์จะมีวงปี่พาทย์ของทางเขมรคอยบรรเลงเพลง นอกจากนั้นก็จะมีแม่ค้าขายของที่ใช้ในการกราบไหว้ไม่ว่าจะป็นดอกไม้ ธูปเทียนบูชาต่างๆและถ้ามองไปยังฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นจุดของพระบรมมหาราชวังของกรุงพนมเปญซึ่งในแต่ละวันจะมีผู้คนชาวเขมรจำนวนมากแวะเวียนมากราบไหว้ทำบุญกันอยู่ตลอด


โบสถ์เล็กๆใกล้กับแม่น้ำจตุมุขเป็นจุดที่จะมีชาวเขมร
แวะเวียนมาทำบุญกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กันอยู่ตลอด

ภายในโบสถ์จะมีการประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ตามความเชื่อของชาวเขมร

ศาลาริมแม่น้ำจตุมุขเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้คน
มักจะแวะมาถ่ายรูปกันโดยเฉพาะในช่วงเวลายามค่ำคืน

วงดนตรีปี่พาทย์ของเขมรกำลังบรรเลงดนตรี
โดยเท่าที่ผมเห็นจะมีแสดงเฉพาะในช่วงเวลากลางวัน

ในแต่ละวันจะมีผู้คนมาทำบุญเป็นจำนวนมาก
ส่วนรอบๆโบสถ์ก็จะมีแม่ค้านำดอกไม้ธูปเทียนมาจำหน่าย

แม่ค้าบางรายก็มีการนำกรงนกมาวางเอาไว้
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้คนได้มาทำบุญด้วยการปล่อยนกออกจากกรง

บรรยากาศริมแม่น้ำจตุมุขในกรุงพนมเปญถือว่าคึกคัก
เพราะในทุกๆวันจะมีผู้คนมาทำบุญและนั่งพักผ่อนกันพอสมควร


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
11 มกราคม 2567



EP.202 นั่งรถบัสจากโฮจิมินห์ - พนมเปญ


ช่วง 1-2 ปีหลังของการเดินทางท่องเที่ยว ผมแทบจะไม่ได้ใช้บริการเครื่องบินเลยซึ่งผมเน้นความประหยัดในการเดินทางจึงทำให้มักเลือกเดินทางไปกลับด้วยรถบัสโดยสารระหว่างประเทศ โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาผมได้เดินทางกลับจากเวียดนามเพื่อจะกลับมาที่บ้านในเมืองไทยแผ่นดินเกิด แต่การเดินทางด้วยรถบัสจากเวียดนามไม่มีวิ่งตรงมาถึงที่เมืองไทยซึ่งรถบัสจากเวียดนามจะมีวิ่งมาแค่ประเทศกัมพูชาเท่านั้น

ผมเลือกเดินทางจากนครโฮจิมินห์ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนามและมาลงที่จุดหมายปลายทางที่กรุงพนมเปญของประเทศกัมพูชา โดยรถบัสที่วิ่งในเส้นทางนี้ก็มีให้บริการอยู่หลายบริษัทซึ่งในเวลานั้นผมมีเงินไม่มากเท่าไหร่ ทำให้ตัดสินใจเลือกรถบัสของบริษัท Khai Nam (ไคนาม) ซึ่งจากที่ผมเช็คราคามาแล้วก็มีราคาค่าโดยสารถูกที่สุด โดยค่าโดยสารก็อยู่ที่ประมาณ 550,000 ดงหรือตีเป็นเงินไทยก็อยู่ที่ประมาณ 700 กว่าบาท

รถบัสออกเดินทางจากนครโฮจิมินห์ในช่วง 9 โมงเช้าและใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 6-7 ชั่วโมง แต่เมื่อเดินทางจริงๆแล้วก็จะใช้เวลานานกว่าที่กำหนดไว้ครับ เพราะจะมีทั้งตอนที่ผู้โดยสารต้องเปลี่ยนมานั่งรถบัสอีกคัน รวมถึงตอนที่ลงจากรถบัสเพื่อผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองจากด่าน ตม.ของทั้ง 2 ประเทศและยังมีช่วงที่รถบัสแวะจอดให้ผู้โดยสารได้ทานข้าวกลางวันซึ่งราคาก็รวมอยู่ในตั๋วโดยสารอยู่แล้ว ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มโดยกว่าที่รถบัสจะเดินทางไปถึงกรุงพนมเปญก็เป็นช่วงเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว


ผมเดินทางจากนครโฮจิมินห์ในประเทศเวียดนามมาที่
กรุงพนมเปญของประเทศกัมพูชาด้วยรถบัสโดยสาร

ผมใช้บริการรถบัสของบริษัทไคนามซึ่งราคาค่าโดยสาร
ค่อนข้างถูกโดยจะอยู่ประมาณ 700 กว่าบาท

บรรยากาศบนรถบัสซึ่งเป็นรถนอนสไตล์แบบเวียดนาม

หน้าด่านมอคไบของทางเวียดนาม 
ส่วนด่านของกัมพูชาจะชื่อว่า ด่านบาเว็ท

รถบัสเดินทางเข้าสู่กัมพูชาประมาณช่วงบ่ายๆ

ผมเดินทางมาถึงกรุงพนมเปญก็เกือบ 6 โมงเย็น
โดยใช้เวลาเดินทางราวๆ 9 ชั่วโมง


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
12 มิถุนายน 2568

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น