EP.13 ทะเลสาบใจกลางกรุงย่างกุ้ง
ช่วงนี้สถานการณ์ในประเทศพม่า เพื่อนบ้านอาเซียนของไทยเรายังถือว่าคุกรุ่นพอสมควรนะครับจากเหตุการณ์ที่รัฐบาลทหารพม่าทำการรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนซึ่งก็คือ พรรคเอ็นแอลดี ที่มีนางอองซานซูจีเป็นหนึ่งในแกนนำหลัก การรัฐประหารนำมาซึ่งความไม่พอใจของประชาชนชาวพม่าจนถึงปัจจุบันการต่อต้านชุมนุมขับไล่รัฐบาลทหารพม่ายังคงมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผมเองก็หวังว่าสันติสุขและประชาธิปไตยที่แท้จริงจะกลับคืนมาสู่ชาวพม่าอีกครั้ง ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องเนื้อหาในคืนนี้กันดีกว่าครับ สำหรับประเทศในย่านอาเซียนที่ผมคิดว่าผู้คนค่อนข้างมีน้ำใจต่อนักท่องเที่ยว ผมยกให้พม่าเป็นหนึ่งในนั้น แม้ประวัติศาสตร์ของไทยจะปลูกฝังให้เกลียดชังพม่าที่เคยสู้รบกันมาในครั้งอดีต แต่ในโลกยุคปัจจุบันไทยและพม่าต่างก็พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในฐานะประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในกลุ่มเออีซีด้วยกัน ความขัดแย้งต่างๆในอดีตถูกทิ้งออกไปจนหมดสิ้นเหลือแต่ความร่วมมือทั้งในด้านการลงทุนและเศรษฐกิจต่างๆ
ขณะเดียวกันมุมมองของชาวพม่าส่วนใหญ่ที่มีต่อคนไทยก็ไม่ได้เกลียดชังเหมือนกับที่คนไทยหลายคนเกลียดพม่า อาจจะเป็นเพราะประวัติศาสตร์ของไทยกับพม่าในด้านการสู้รบมีข้อแตกต่างกัน ชาวพม่ารุ่นใหม่ๆก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับประเทศไทย ตอนผมไปเที่ยวย่างกุ้งพอคนพม่ารู้ว่าผมเป็นคนไทยก็ดูมีท่าทีเป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด หลายคนเคยมาทำงานที่เมืองไทยและสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว ผมเองเคยมองชาวพม่าในแง่มุมที่อาจไม่ดีมาก่อนตามที่เคยเรียนมาในวิชาประวัติศาสตร์ แต่เมื่อได้มาสัมผัสกับตัวเองมุมมองนั้นเปลี่ยนไปโดยทันทีทันใดซึ่งคงเข้าทำนองได้ว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
ตอนที่ผมไปเที่ยวกรุงย่างกุ้ง ตอนนั้นผมไปเที่ยวพม่าเป็นครั้งแรกในชีวิตซึ่งเกิดขึ้นตอนเดือนสิงหาคมปี 2019 ซึ่งสภาพอากาศที่ย่างกุ้งเวลานั้นถือว่าไม่ค่อยเหมาะในการท่องเที่ยวมากนัก เพราะเป็นช่วงฤดูฝนและมีฝนตกแทบทุกวัน นั่นจึงทำให้ผมไม่สามารถไปเที่ยวไหนได้แบบอิสระเท่าไหร่นัก เพราะฝนตกนี่แหละคืออุปสรรคสำคัญ ส่วนสถานที่หลักๆที่ได้ไปก็มักจะเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันดี หนึ่งในนั้นก็คือ ทะเลสาบอินยา ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงย่างกุ้ง ทะเลสาบแห่งนี้ไม่ใช่ของจริงแต่เป็นทะเลสาบที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ โดยสถานที่ก็หาไม่ยากเพราะอยู่ตรงข้ามกับห้างเมียนมาร์พลาซ่าซึ่งเป็นห้างใหญ่ของกรุงย่างกุ้ง สำหรับบรรยากาศของทะเลสาบอินยาส่วนมากก็ไม่ต่างจากสวนสาธารณะทั่วไปที่เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองย่างกุ้ง โดยเฉพาะในบรรดากลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาว ผมเห็นกลุ่มนี้เยอะมากๆซึ่งส่วนมากก็จะเป็นคู่รักที่สามารถพบเห็นได้หลากหลายคู่
นอกจากนั้นในช่วงเย็นๆก็จะเต็มไปด้วยความคึกคักทั้งจากผู้คนที่มาออกกำลังกาย พ่อค้าแม่ค้าที่นำของกินมาขายซึ่งสามารถขายได้แบบเสรีไม่มีการห้ามนำของมาขายเหมือนสวนสาธารณะบางแห่งในเมืองไทย รวมถึงจุดของตรงทะเลสาบก็จะมีพวกนักกีฬาของพม่าจะมาฝึกซ้อมกีฬากัน เท่าที่ผมเห็นก็จะเป็นกีฬาทางน้ำทั้ง พายเรือแคนู เรือพาย เรือใบ ซึ่งเป็นกีฬาที่อยู่ในการรับรองของมหกรรมกีฬาทั้งโอลิมปิกและเอเชียนเกมส์ แต่นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเสียดายอย่างมากในวันที่ผมไปที่ทะเลสาบอินยาดันเจอฝนตกหนัก บรรยากาศเลยดูอึมครึมไปสักหน่อยโดยฝนตกกระหน่ำอยู่แทบตลอดเวลาจนตัวผมต้องหาที่นั่งหลบฝนและรอเวลาให้ฝนซาลงซึ่งก็ใช้เวลาอยู่เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว ส่วนสำหรับการเดินทางมาที่ทะเลสาบอินยาก็มาไม่ยากเพราะมีรถเมล์หลายสายวิ่งผ่าน ตรงหน้าทะเลสาบอินยาก็มีคนมายืนรอรถเมล์กันเป็นจำนวนมากซึ่งถ้าในวันที่อากาศดีๆท้องฟ้าแจ่มใส ทะเลสาบอินยาจะมีความคึกคักอย่างมากและจะได้เห็นกิจกรรมที่หลากหลายของผู้คนชาวเมืองย่างกุ้ง หากมีโอกาสเที่ยวที่ย่างกุ้ง การมาเที่ยวพักผ่อนที่ทะเลสาบอินยาถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียว
ทะเลสาบอินยา ทะเลสาบใจกลางกรุงย่างกุ้ง
บรรยากาศตรงทางเข้าด้านหน้า
วันที่ผมไปถ่ายคลิปท้องฟ้าไม่เป็นใจเอาเสียเลยมีฝนตกแทบตลอดป้ายห้ามกระทำสิ่งต่างๆภายในทะเลสาบอินยา แต่ก็มักมีคนฝ่าฝืนอยู่เรื่อยๆ
บรรยากาศอีกมุมนึงของทะเลสาบอินยา
ที่นั่งพัก สังเกตุว่ามีคนกางร่มเพราะฝนกำลังตกลงมาเรื่อยๆ
ตรงกลางทะเลสาบมีการฝึกซ้อมของ นักกีฬาซึ่งส่วนมากจะเป็นพายเรือแคนูเรือใบและเรือพาย
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
28 กุมภาพันธ์ 2564
EP.14 ตลาดกลางคืนเมืองพะอัน
เมืองพะอัน ถือว่าเป็นเมืองเอกของรัฐกระเหรี่ยง โดยรัฐกระเหรี่ยงเป็นรัฐที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทยโดยอยู่ทางด่านแม่สอดในจังหวัดตาก ขณะที่เมืองในรัฐกระเหรี่ยงที่ติดกับชายแดนด่านแม่สอดก็คือ เมืองเมียวดี และด้วยความที่เมืองพะอันอยู่ไม่ไกลจากเมืองไทย ทำให้มีนักท่องเที่ยวคนไทยมาเที่ยวที่พะอันเป็นจำนวนมากซึ่งถ้าวัดจากระยะทางตรงด่านแม่สอดนั้นก็จะใช้เวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมงสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆในเมืองพะอันส่วนมากก็จะเป็น วัดหรือไม่ก็สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ส่วนการไปเที่ยวเมืองพะอันของผมนั้นส่วนใหญ่ก็จะเที่ยวตามสถานที่หลักๆที่มีชื่อเสียงเพระาผมอยู่ในพะอันเพียงแค่ 2-3 วัเท่านั้นเลยมีเวลาสำรวจเมืองนี้ได้ไม่มากพอเท่าไหร่
โดยตลอดระยะเวลาสั้นๆที่อยู่เที่ยวที่เมืองพะอัน ผมก็มักเดินสำรวจบรรยากาศในใจกลางเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พัก ทำให้สะดวกในการเดินเที่ยว โดยสถานที่ที่ผมเลือกไปนั่นก็คือจุดที่เป็นตลาดซึ่งที่พะอันจะมีตลาดกลางคืนโดยจะตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของทะเลสาบกันตายาร์ซึ่งเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองพะอัน ส่วนตลาดกลางคืนจะเริ่มตั้งแต่ช่วงเวลาเย็นๆ ผมเห็นช่วงประมาณบ่าย 4 โมงก็มีแม่ค้านำของมาวางขายกันแล้วซึ่งหลังจากนั้นบรรยากาศก็จะคึกคักอย่างมาก โดยจะมีบรรดาคนพม่าท้องถิ่นรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเดินที่ตลาดกลางคืนแห่งนี้ ส่วนของที่ขายก็เป็นของกินล้วนๆผมดูแล้วไม่ได้แตกต่างจากตลาดที่เมืองไทย เพราะมีสินค้าต่างๆคล้ายๆกันทั้งข้าวราดแกง ลูกชิ้นปิ้ง ข้าวโพด น้ำผลไม้ปั่น ขนมปังและอื่นๆอีกมากมาย
ส่วนที่ดูน่าจะแตกต่างจากเมืองไทยมากที่สุดคงหนีไม่พ้น อาหารท้องถิ่นของพม่านั่นเอง สิ่งนั้นก็คือ หมูพะโล้เสียบไม้ ผมเที่ยวพม่าในหลากหลายที่ก็มักจะเจอกับเมนูนี้เสมอและคนพม่าก็ชอบทานกันไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจนต่างก็ชื่นชอบในรสชาติของหมูพะโล้เสียบไม้ที่จิ้มกินกับน้ำจิ้มรสเด็ด ขณะที่ผมใช้เวลาในการเดินหาของกินและสำรวจบรรยากาศของตลาดกลางคืนเมืองพะอันแบบเพลินๆมาดูเวลาอีกทีก็ใช้เวลาไปร่วมๆกว่า 4 ชั่วโมง เพราะใกล้ๆกันก็จะเป็นพื้นที่พักผ่อนริมทะเลสาบกันตายาร์จึงพอมีเก้าอี้ให้คนได้มานั่งพักผ่อน จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมา 3 ทุ่มกว่าๆตลาดกลางคืนก็ยังคงคึกคักและยังมีผู้คนมาเดินหาของกินกันอย่างไม่ขาดสายจึงนับได้ว่าเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งในการมาเที่ยวที่เมืองพะอัน
ตลาดกลางคืนแห่งเมืองพะอัน เมนูยอดนิยมของชาวพม่า
ข้าวราดแกงมีให้เลือกหลากหลายผมได้ลองชิมแต่รสชาติยังสู้เมืองไทยไม่ได้
ขนมปังถูกจัดใส่กล่องเป็นระเบียบ
ถ่ายรูปจากบริเวณด้านหน้าของตลาด
เมนูแปลกๆของพม่า แต่ผมไม่ได้ลองชิม
อาหารพม่าลักษณะเหมือนขนมจีน
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
7 มีนาคม 2564
EP.23 รถเมล์เมืองพม่า
กรุงย่างกุ้งในอดีตนั้นเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศเมียนมาร์หรือที่เรามักเรียกกันติดปากว่าพม่า แต่ปัจจุบันเมืองหลวงของพม่าคือกรุงเนปิดอว์ซึ่งจะเป็นศูนย์รวมทางราชการของประเทศ แต่สำหรับกรุงย่างกุ้งก็ยังคงเป็นเมืองใหญ่และเมืองสำคัญของประเทศเพราะระบบเศรษฐกิจส่วนใหญ่ก็ยังคงกระจายอยู่ที่กรุงย่างกุ้ง สถานที่สำคัญ ธนาคาร สถาบันการเงิน มหาวิทยาลัยต่างๆก็ยังมีให้เห็นอยู่ทั่วในกรุงย่างกุ้ง แม้กระทั่งการเดินทางต่างๆไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ เรือโดยสาร รถไฟ เครื่องบินก็ยังตั้งปักหลักที่ย่างกุ้งกันเยอะ ขนาดสนามบินนานาชาติที่บินระหว่างประเทศก็ยังมีอยู่ในกรุงย่างกุ้งเช่นกัน ดังนั้นย่างกุ้งจึงเปรียบเสมือนศูนย์กลางการคมนาคมที่สำคัญของประเทศพม่ากันเลยทีเดียว
เวลาที่ผมไปเที่ยวพม่าก็จะไปลงที่สนามบินในย่างกุ้งแล้วเที่ยวก่อนสัก 1-2 วันจากนั้นก็จะตระเวนไปเที่ยวตามเมืองต่างๆพอจะกลับกรุงเทพฯก็ต้องกลับมาที่กรุงย่างกุ้งเพื่อที่จะขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทย ก่อนกลับไทยก็จะอยู่เที่ยวอีกสัก 1-2 วันผมเลยคุ้นเคยกับที่กรุงย่างกุ้งมากกว่าเมืองอื่นๆในพม่า ด้วยความที่คุ้นเคยและเห็นอะไรหลายๆอย่างจึงอยากลองทำอะไรในแบบที่คนพม่าท้องถิ่นเขาทำกัน สิ่งที่ง่ายที่สุดก็คือการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะซึ่งในกรุงย่างกุ้งนั้นรถเมล์ถือว่าเป็นรถสาธารณะที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากชาวพม่าในแต่ละวันจะมีผู้คนใช้บริการกันอย่างคับคั่งและรถเมล์ก็มีให้บริการอยู่หลายสายไม่แพ้กับที่เมืองไทย แต่มีสิ่งที่แตกต่างที่ผมเห็นได้ชัดระหว่างรถเมล์พม่ากับรถเมล์ไทย คือ รถเมล์พม่าจะไม่มีกระเป๋ารถเมล์คอยเก็บเงินผู้โดยสารแบบเมืองไทยอีกแล้ว แต่เขาจะใช้ระบบแบบตู้เก็บเงินอัตโนมัติแบบในยุโรปคือให้ผู้โดยสารหย่อนเงินลงไปในตู้ที่ตั้งอยู่ข้างๆคนขับซึ่งวิธีนี้ค่อนข้างสะดวกสบายแต่มีข้อแม้คือต้องเตรียมเงินให้พอดีกับค่าโดยสารเพราะเขาไม่มีระบบทอนเงินนั่นเอง
ผมมีโอกาสได้นั่งรถเมล์ของพม่าในช่วงวันที่ใกล้จะกลับเมืองไทย โดยเลือกไปรอรถเมล์ที่ตรงๆแถวย่านเจดีย์สุเลซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คประจำกรุงย่างกุ้ง ถ้าเปรียบกับไทยก็คงประมาณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิซึ่งจะเป็นมีรถเมล์หลายสายให้เลือกใช้บริการ โดยผมเลือกนั่งสาย 29 ซึ่งจะไปสุดสายที่มหาวิทยาลัยดากอน ส่วนราคานั้นค่อนข้างจะถูกซึ่งก็คือเงินแค่ 200 จ๊าดตลอดสายซึ่งถ้าหากตีเป็นเงินไทยก็จะเท่ากับว่าแค่ 4 บาทเท่านั้น แถมรถเมล์ที่ผมนั่งไปก็เป็นรถแอร์ปรับอากาศอย่างดีซึ่งราคาแบบนี้เทียบกับคุณภาพของรถเมล์ผมว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียว แต่เสียอย่างเดียวคือคนขับนั้นดันเป็นวัยรุ่นกำลังห้าวซึ่งก็ขับซิ่งน่าดู แต่ก็ถือว่าได้ความตื่นเต้นกันไปคิดเอาซะว่ากำลังนั่งอยู่บนรถเมล์สาย 8 ของบ้านเราไปแล้วกัน ซึ่งผมนั่งไปไม่ได้ถึงสุดสายแต่นั่งไปลงแค่ตรงทะเลสาบกันดอว์จีซึ่งระยะเวลาไม่นานนัก แต่การขึ้นรถเมล์ที่พม่าถือว่าเป็นความประทับใจอย่างหนึ่งสำหรับตัวผม เพราะการได้ทำอะไรแบบที่คนท้องถิ่นทำกันใช้ชีวิตแบบคนท้องถิ่นคือสิ่งที่ผมชื่นชอบอย่างมากเวลาเดินทางไปยังต่างประเทศ
รถเมล์พม่าในกรุงย่างกุ้ง
ป้ายรถเมล์ของประเทศพม่า
ผมมารอขึ้นรถเมล์แถวๆตรงเจดีย์สุเล
มีบอกว่าสายนี้จะวิ่งไปสุดสายที่ตรงไหน โดยผมเลือกนั่งสาย 29
เงินค่าโดยสารตลอดสายแค่ 200 จ๊าด หรือตีเป็นเงินไทยก็แค่ 4 บาท
บรรยากาศบนรถเมล์
สังเกตุดูว่าจะไม่มีกระเป๋ารถเมล์คอยเก็บเงิน
ผมมาลงตรงป้ายทะเลสาบกันดอว์จี ซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ในกรุงย่างกุ้ง
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
6 เมษายน 2564
EP.27 แชมพูไอส์แลนด์ สระผมที่นี่แล้วดวงดี
ถ้าหากเอ่ยถึง เกาะ ผมเชื่อว่าหลายๆท่านก็คงนึกถึงเกาะกลางทะเลกับบรรยากาศสบายๆทั้งการดำน้ำ เล่นน้ำทะเลหรือการนั่งรับลมมองท้องฟ้าแบบชิวๆ แต่เกาะที่ผมจะเอ่ยถึงในครั้งนี้ไม่ใช่เกาะที่ตั้งอยู่กลางทะเล แต่เป็นเกาะที่ตั้งอยู่กลางแม่น้ำสาละวินในประเทศพม่า โดยเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างฝั่งเมืองเมาะลำเลิงหรือที่เราจะรู้จักกันในชื่อมะละแหม่งกับอีกเมืองก็คือ เมาะตะมะ เกาะแห่งนี้ผมไม่ทราบว่าชื่อตามภาษาท้องถิ่นเขาเรียกว่าอะไร แต่ตามภาษาอังกฤษเขาจะเรียกกันว่า แชมพูไอส์แลนด์ ซึ่งผมแปลเป็นไทยด้วยตนเองก็คือ เกาะสระผม โดยหากนึกถึงเรื่องของแชมพูก็คงต้องเป็นเรื่องการอาบน้ำหรือสระผมชำระล้างร่างกายนั่นเอง
เกาะสระผมแห่งนี้จะอยู่กลางแม่น้ำสาละวิน สามารถมองเห็นสะพานข้ามแม่น้ำได้อย่างชัดเจน โดยตัวของสะพานก็จะเป็นจุดสัญจรทางบกซึ่งเชื่อระหว่างเมืองละแหม่งและเมืองเมาะตะมะ ในอดีตนั้นมะละแหม่งเคยเป็นเมืองเอกของบรรดาชาวมอญแต่ปัจจุบันนั้นไม่มีชนชาติมอญอีกต่อไป แต่ยังคงเหลือเหล่าบรรดาลูกหลานชาวมอญที่ยังคงอาศัยอยู่โดยหลักๆพวกเขาจะอยู่ที่ฝั่งเมาะตะมะซึ่งเปรียบเสมือนชุมชนของชาวมอญและจากที่ผมพอได้ศึกษาประวัติแบบคร่าวๆก็ทราบว่าเกาะสระผมก็เป็นเสมือนสถานที่แห่งศรัทธาของบรรดาชาวมอญถูกสร้างขึ้นก็จากชนชาติมอญ บรรยากาศส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนเชื้อสายมอญมักจะแวะมากันซึ่งหลักๆก็คือการมาทำบุญหรือนั่งสมาธิและบนเกาะแห่งนี้ก็จะมีทั้งพระสงฆ์และบรรดาแม่ชีอาศัยอยู่ ส่วนจุดไฮไลท์ในการมาเที่ยวชมเกาะสระผม นั่นก็คือ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชาวบ้านมีความเชื่อกันว่าหากใครได้มาอาบน้ำหรือสระผมจากน้ำในบ่อแห่งนี้ก็จะได้รับความโชคดีและสุขสมหวังไปตลอดชีวิตเนื่องจากตามตำนานเล่าขานกันว่าไว้บ่อน้ำแห่งนี้เป็นบ่อน้ำที่พญานาคดูแลอยู่ ซึ่งจะว่าไปแล้วความเชื่อและศรัทธาที่มีต่อพญานาคของคนไทย พม่า ลาว กัมพูชา นั้นก็มีความคล้ายคลึงกัน แต่นับว่าน่าเสียดายมากเนื่องจากวันที่ผมไปนั้นเขาล็อคประตูเอาไว้ ทำให้ได้แค่ยืนมองบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เพียงเท่านั้น
ขณะที่ในส่วนอื่นๆของเกาะก็จะมีรูปปั้นเกี่ยวกับศาสนาพุทธให้ได้ชมกัน มีจุดทำบุญต่างๆและเจดีย์สีทอง แต่เท่าที่ผมได้สังเกตุนั้นพบหน้าตาของพระพุทธรูปที่พม่ากับไทยนั้นจะแตกต่างค่อนข้างชัดเจนและพระพุทธรูปของพม่าส่วนใหญ่จะมีใบหน้าที่ขาวซึ่งผมเองก็ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเพราะเหตุใด ขณะเดียวกันก็มีต้นไม้ปลูกเรียงรายคอยให้ความร่มรื่นและสดชื่นแก่ผู้ที่มายังเกาะ แต่ก่อนที่จะเดินเข้ามาชมบรรยากาศมีคนท้องถิ่นบอกว่าต้องถอดรองเท้าก่อน เพราะที่พม่านั้นจะถือมากเกี่ยวกับการถอดรองเท้า หากสวมรองเท้าเข้าไปก็เหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ยิ่งเป็นสถานที่เกี่ยวกับความเชื่อเกี่ยวกับศาสนาแบบนี้การสวมรองเท้าเข้ามาจึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ส่วนการมาเที่ยวชมแชมพูไอส์แลนด์หรือเกาะสระผมนั้นวิธีเดียวที่จะมาได้ก็คือการนั่งเรือซึ่งจะจอดอยู่ตรงฝั่งมะละแหม่ง ราคาค่าโดยสารจะอยู่ที่คนละ 2000 จ๊าดหรือประมาณ 40 บาทแต่จะคิดแบบ 2 เที่ยวคือไปและกลับไม่ใช่ว่าจ่ายรอบเดียวแล้วจบเลย โดยวันที่ผมไปนั้น ผมคือชาวต่างชาติคนเดียวที่ไปยังเกาะสระผมนอกนั้นจะเป็นคนมอญและคนพม่าซึ่งคงไม่น่าแปลกใจอะไรนัก เพราะเกาะสระผมนั้นไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักและข้อมูลก็มีให้ศึกษาน้อยมากที่ผมรู้มาแบบคร่าวๆก็อาศัยจากคนท้องถิ่นที่นั่งเรือไปในลำเดียวกันนั่นเอง

เกาะสระผมหรือแชมพูไอส์แลนด์
ว่ากันว่าใครมาสระผมที่นี่ก็ได้รับความโชคดีกลับไป
สะพานข้ามแม่น้ำสาละวิน
โดยเป็นสะพานเชื่อมระหว่างฝั่งมะละแหม่งกับฝั่งเมาะตะมะ
เรือโดยสารที่ให้บริการสำหรับคนที่จะไปยังเกาะสระผม ราคาต่อเที่ยวคือ 2000 จ๊าดหรือ 40 บาท
บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ จุดไฮไลท์สำคัญของเกาะสระผม
โดยใครได้อาบน้ำหรือสระผมก็จะได้รับความโชคดี
วันที่ผมไปได้แต่ยืนดูอยู่ข้างนอก
เพราะเขาล็อคประตูเอาไว้
ข้อมูลของบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นภาษามอญล้วนๆ
ตามความเชื่อ คือ เป็นบ่อน้ำที่พญานาคดูแลอยู่
เจดีย์สีทองมีให้เห็นอย่างมากมายบนเกาะสระผม
รูปปั้นเรื่องราวของพุทธประวัติ
สังเกตุดีๆว่าใบหน้าของรูปปั้นจะแตกต่างจากที่เมืองไทย
รอยพระพุทธบาท
แผนผังบอกจุดต่างๆบนเกาะสระผม
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
20 เมษายน 2564
EP.31 นั่งรถไฟรอบเมืองย่างกุ้ง
เสน่ห์อย่างหนึ่งในการเดินทางในสไตล์แบกเป้เที่ยวนั่นก็คือ การเข้าถึงและเรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆของแต่ละประเทศที่ได้ไปเยือน ผมตั้งปณิธานแบบนี้ไว้ทุกครั้งที่ออกเดินทางไปต่างประเทศโดยสิ่งที่สามารถทำให้ซึมซับวัฒนธรรมดูวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นได้แบบง่ายๆก็คือ การใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์หรือรถไฟซึ่งจะเจอคนท้องถิ่นมาใช้บริการกันอย่างมากมาย ตอนที่ผมไปเที่ยวกรุงย่างกุ้งเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 ในเวลานั้นสถานการณ์โควิด 19 เริ่มที่ลุกลามเข้ามาแต่ยังไม่มากเท่าไหร่การเดินทางระหว่างประเทศยังสามารถทำได้ปกติ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีของผมเพราะเป็นช่วงที่ผมอยู่ย่างกุ้งในช่วงท้ายๆแล้วและจะเดินทางกับกรุงเทพฯอีกไม่กี่วันซึ่งก่อนที่จะกลับไทยผมก็พยายามหาสถานที่ที่สามารถดูวิถีชีวิตของคนพม่าได้แบบง่ายๆซึ่งสิ่งที่ผมพบเจอตามคำแนะนำของหนังสือ Lonely Planet ก็คือ การนั่งรถไฟรอบเมืองย่างกุ้ง
รถไฟที่วิ่งรอบเมืองย่างกุ้งตั้งแต่บริเวณใจกลางเมืองไปยังย่านชานเมืองของกรุงย่างกุ้งนั้นเป็นสิ่งที่พวกหนังสือท่องเที่ยวหรือทางภาคการท่องเที่ยวของพม่าแนะนำให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้มาสัมผัสกัน โดยตอนที่ผมไปเป็นช่วงประมาณก่อนจะเที่ยงวันซึ่งจุดเริ่มต้นก็อยู่ที่ สถานีรถไฟประจำกรุงย่างกุ้ง ซึ่งจะมีบริการรถไฟที่จะวิ่งรอบตัวเมืองย่างกุ้งและรถไฟที่วิ่งไปยังเมืองต่างๆทั้งระยะใกล้และระยะไกลบรรยากาศก็ไม่ต่างหัวลำโพงของบ้านเราเพียงแต่บ้านเขายังไม่มีรถไฟใต้ดินที่จะมาจอดที่สถานีรถไฟเหมือนในเมืองไทย สำหรับรถไฟที่ให้บริการวิ่งรอบเมืองย่างกุ้งนั้นมีให้บริการทุกวันและสิ่งที่ผมสังเกตุได้คือในแต่ละวันก็จะเต็มไปด้วยทั้งคนพม่าท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อยากมาสัมผัสวิถีการเดินทางแบบสโลว์ไลฟ์ ส่วนรถไฟวิ่งรอบเมืองย่างกุ้งจะถูกรู้จักอีกชื่อนึงว่า รถไฟวงแหวนรอบเมืองย่างกุ้งหรือในภาษาอังกฤษคือ Yangon Circular Train และจัดว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจและควรมาสัมผัสหากได้มาเที่ยวที่กรุงย่างกุ้ง
สำหรับรถไฟที่วิ่งรอบเมืองย่างกุ้งจะมีราคาอยู่ที่ 200 จ๊าดคิดเป็นเงินไทยแค่ 4 บาทและถ้านั่งจากต้นสายไปจนถึงสุดสายจะใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมงกว่าแต่ถ้านั่งไปกลับก็จะเกือบๆ 3 ชั่วโมงซึ่งรถไฟสายนี้จะวิ่งผ่านสถานีต่างๆหลายสถานี แต่สำหรับใครที่คิดว่าจะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวดังๆนั้นแสดงว่าคุณกำลังคิดผิด เพราะรถไฟวิ่งรอบเมืองย่างกุ้งผ่านหลายสถานีก็จริงแต่ไม่มีสถานีไหนเลยที่อยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวดังๆเต็มที่ก็ต้องเดินไปอีกไม่ต่ำกว่า 1 กิโลเมตรซึ่งถ้าหากทางการของพม่ามีการจัดทำแผนเพื่อรองรับให้รถไฟรอบเมืองย่างกุ้งผ่านสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆผมว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีมากกว่านี้แน่นอนและเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวได้แบบตรงจุด ส่วนวันที่ผมได้ใช้บริการผมตัดสินใจนั่งไปจนถึงสถานีสุดท้ายปลายทางก่อนที่จะนั่งกลับไปทันทีรวมเวลาที่อยู่บนรถไฟประมาณเกือบ 3 ชั่วโมง แต่ระหว่างที่อบู่บนรถไฟผมไม่เน้นการนั่งมากนักแต่มักจะยืนไม่ก็เดินสำรวจบรรยากาศบนรถไฟซึ่งสิ่งที่ผมสามารถเห็นได้ก็คือ เส้นทางที่รถไฟวิ่งผ่านโดยวิ่งตั้งแต่ใจกลางเมืองที่มีรถและผู้คนพลุกพล่านไปจนถึงย่านชานเมืองที่เริ่มได้เห็นกลิ่นอายความเป็นชนบทผู้คนมีการทำนาปลูกพืชไร่และบรรยากาศบนรถไฟก็จะมีพวกพ่อค้าแม่ค้านำสินค้าต่างๆมาขายทั้งของกินและของใช้ซึ่งการมานั่งรถไฟรอบเมืองย่างกุ้งนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของผมเลยทีเดียว เพราะได้เห็นวิถีชีวิตผู้คนท้องถิ่นแบบเต็มๆตาโดยที่ใช้เงินลงทุนไปเพียงแค่ 4 บาทเท่านั้น
รถไฟวิ่งรอบเมืองย่างกุ้ง
ภาษาอังกฤษคือ Yangon Circular Train
สถานีรถไฟของพม่าตั้งอยู่เดินล่าง ชานชลาที่ 1-7 ก็อยู่ด้านล่างเช่นกัน
บรรยากาศเหมือนสถานีรถไฟตามต่างจังหวัดของบ้านเรา
มีคนมาใช้บริการอยู่ไม่น้อย
เส้นทางที่รถไฟรอบเมืองย่างกุ้งจะวิ่งผ่าน สถานีปลายทางคือ Insein Station
หน้าตาของรถไฟที่วิ่งรอบเมืองย่างกุ้ง โดยจะเริ่มจากสถานีรถไฟย่างกุ้งไปบริเวณย่านชานเมือง
ของกินสตรีทฟู้ดอันโด่งดังของพม่า หมูพะโล้ต้มเสียบไม้
ราคาตั๋วโดยสารถูกแสนถูกซึ่งอยู่ที่ 200 จ๊าด หรือประมาณ 4 บาทเพียงเท่านั้น
บรรยากาศบนรถไฟที่วิ่งรอบเมืองย่างกุ้ง
สังเกตุได้ว่ามีทั้งคนท้องถิ่นและชาวต่างชาติ
บางทีก็เดินสำรวจบรรยากาศบนรถไฟไปเรื่อยๆ
เสน่ห์อย่างหนึ่งของการนั่งรถไฟ คือ การที่จะเห็นแม่ค้านำของมาขายบนรถไฟ
ผมดูแล้วลักษณะคล้ายๆขนมจีน
แม่ค้ารายนี้ขายน้ำดื่มหลากหลายชนิด
พ่อค้าขายผ้ากำลังพูดนำเสนอสินค้าของตนเอง
รายนี้ขาย หมาก ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของประเทศ ชาวพม่ามักซื้อกันเป็นประจำ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
2 พฤษภาคม 2564
EP.39 หมู่บ้านชนบทแห่งเมืองพะสิม
ประเทศพม่าจริงๆแล้วหากได้สำรวจจริงๆจังๆคงต้องใช้ระยะกันอยู่พอสมควร เพราะพื้นที่ของพม่านั้นก็ค่อนข้างจะกว้างใหญ่และไม่ได้มีดีเพียงแค่เมืองท่องเที่ยวดังๆอย่าง ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ พุกาม ยังคงมีเมืองในพม่าที่ตกสำรวจอยู่อีกหลายเมืองและด้วยความที่รสนิยมการท่องเที่ยวของผมที่มักชอบไปในเมืองที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลัก ทำให้ผมได้มีโอกาสได้ไปสัมผัสกับเมืองหนึ่งเมืองในพม่าซึ่งถือว่าเป็นเมืองหลักของเขตอิรวดี ชื่อเมืองนั้นก็คือ พะสิม ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงย่างกุ้งมาทางตะวันตกเฉียงใต้โดยมีระยะทางห่างกันคือ 190 กิโลเมตร
ผมนั่งรถบัสจากย่างกุ้งมาลงที่พะสิมใช้ระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง โดยในอดีตพะสิมเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรมอญ แต่ปัจจุบันเหลือชาวมอญอาศัยอยู่กันน้อยมากและมีคนเชื้อชาติอื่นเข้ามาอาศัยอยู่แทน สำหรับจุดเด่นของเมืองพะสิมก็จะมีแม่น้ำอิรวดีซึ่งถือว่าเป็นแม่น้ำสายหลักของพม่าคอยหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในเมือง หลายคนมักประกอบอาชีพทำประมงหรือการขนส่งทางเรือ ขณะเดียวกันเมืองพะสิมยังมีโรงเลื่อยอยู่เป็นจำนวนมากและมีโรงงานทำร่มกันแดดซึ่งถือว่าเป็นสินค้าอันมีชื่อเสียงประจำเมืองพะสิม โดยตอนที่ผมไปเที่ยวเป็นหน้าฝนพอดีทำให้การเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวดังๆในพะสิมยากลำบาก ส่วนใหญ่จึงเดินสำรวจบรรยากาศรอบๆโรงแรมซึ่งอยู่ติดกับริมแม่น้ำอิรวดีและในช่วงวันที่ใกล้จะกลับย่างกุ้ง ผมได้สังเกตุเห็นว่ามีแพข้ามฟากไปยังอีกฟากฝั่งของแม่น้ำจึงตัดสินใจลองใช้บริการดูซึ่งปรากฎว่าฝั่งที่ผมข้ามแม่น้ำไปเป็นฝั่งย่านหมู่บ้านชนบทของเมืองพะสิมซึ่งมีความแตกต่างจากฝั่งที่ผมพักอย่างมากเลยทีเดียว
สำหรับหมู่บ้านชนบทในเมืองพะสิมบรรยากาศโดยส่วนมากก็จะเป็นหมู่บ้านที่ดูไม่หรูหราเน้นความเรียบง่ายและจากที่ผมได้สังเกตุดูก็จะมีอาศัยกันอยู่หลายหลังคาเรือน โดยจะมีทั้งที่เป็นบ้านแบบกระต๊อบเล็กๆหรือเป็นบ้านไม้สลับกันไป นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีในส่วนของวัดซึ่งจากการคาดเดาคงน่าจะเป็นวัดในสไตล์แบบมอญ ปกติแล้วทั่วประเทศพม่าก็มักจะมีวัดกันอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองเนื่องจากคนพม่าค่อนข้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ต่อให้ไม่ใช่วัดหยุดหรือวันสำคัญทางศาสนาก็มักจะพากันไปทำบุญที่วัดกันอยู่เสมอ ส่วนบรรยากาศอื่นๆของบริเวณหมู่บ้านชนบทก็จะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่แม้จะดูไม่หรูหราไฮโซ แต่ชีวิตของพวกเขาก็ดูค่อนข้างมีความสุขใช้ชีวิตกันแบบง่ายๆไม่ต้องไปแก่งแย่งแข่งขันหรือชิงดีชิงเด่นกับใครซึ่งผมก็ได้เห็นผู้คนหลากหลายวัยทั้งคนหนุ่มสาว วัยรุ่น คนแก่เด็กเล็ก บางคนก็ขายของ บางรายก็จับปลา บางคนก็จับกลุ่มนั่งคุยกัน เด็กๆก็พากันวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน วิถีชีวิตแบบเรียบง่ายนี้จึงเป็นสิ่งที่พบเห็นกันได้เป็นประจำในหมู่บ้านชนบทที่เมืองพะสิม
หมู่บ้านชนบทที่เมืองพะสิม
นั่งแพข้ามฟากเพื่อไปชมหมู่บ้านชนบท โดยราคาค่าข้ามอยู่ที่ 50 จ๊าดหรือ 1 บาทไทย
เมื่อข้ามมาถึงก็จะเจอร้านขายของชำพอดี
ลักษณะของบ้านก็จะมีทั้งที่เป็นแบบกระต๊อบเล็กๆ
หรือจะเป็นแบบบ้านไม้ 2 ชั้นแบบนี้
ในหมู่บ้านก็จะมีบ้านคนอาศัยอยู่หลายหลังคาเรือน
แต่ส่วนมากก็จะอยู่แบบง่ายๆตามแบบฉบับชนบท
ถึงจะไม่ได้มีบ้านใหญ่โตหรูหรา
แต่ชาวบ้านที่นี่ก็ดูมีความสุขกับชีวิต
ทางเข้าวัดประจำหมู่บ้านชนบทแห่งเมืองพะสิม
เท่าที่ได้สำรวจดูผมสันนิษฐานว่า วัดแห่งนี้น่าจะเป็นวัดมอญช่วงที่มอญเรืองอำนาจ
ภาพที่ชาวบ้านออกเรือหาปลาหรือนั่งซักผ้าริมแม่น้ำ
ถือว่าเป็นภาพที่สามารถพบเห็นได้เป็นประจำในทุกๆวัน
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
27 พฤษภาคม 2564
EP.42 ตลาดเช้าเมืองย่างกุ้ง
กรุงย่างกุ้ง ในยุคปัจจุบันแม้จะไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศพม่าอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีคนอีกจำนวนมากที่ยังคิดว่าพม่ามีเมืองหลวงคือ ย่างกุ้ง ซึ่งแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนเมืองหลวงไปอยู่ที่กรุงเนปิดอว์ แต่ในเรื่องภาพรวมของเศรษฐกิจแหล่งธุรกิจสถาบันการเงินที่สำคัญของพม่าก็ยังคงปักหลักอยู่ที่กรุงย่างกุ้งอยู่เหมือนเดิม ทำให้ย่างกุ้งในปัจจุบันยังคงเป็นเมืองที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเมื่อได้มาเยือนประเทศพม่า อีกทั้งก็ยังคงมีสนามบินแห่งชาติที่มีสายการบินระหว่างประเทศอยู่มากมายนั่นทำให้ภาพรวมของกรุงย่างกุ้งยังคงมีความสำคัญและเป็นเมืองที่เป็นตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจให้แก่ทางพม่าได้อย่างมากมายมหาศาล
สิ่งหนึ่งที่ผมต้องทำทุกครั้งเมื่อได้ไปเที่ยวต่างประเทศนั่นก็คือ การเดินสำรวจบรรยากาศของตลาดสดในแต่ละประเทศไม่ว่าจะเป็นในรอบเช้าหรือรอบค่ำ การที่ได้ไปเดินชมตลาดสดก็เหมือนเป็นการซึมซับวัฒนธรรมของแต่ละชาติที่ได้มีโอกาสไปเยือนและเป็นการเที่ยวที่เข้าถึงท้องถิ่น เนื่องจากบรรยากาศของตลาดสดนี่แหละที่จะนำเสนอภาพของคนท้องถิ่นได้ออกมาอย่างดีที่สุด โดยไม่ต้องมามีการปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น ตอนกลางปี 2019 ผมได้ไปเที่ยวที่กรุงย่างกุ้ง ปกติตอนอยู่ในไทยผมไม่ค่อยจะตื่นเช้าเท่าไหร่นัก แต่เมื่อไปต่างประเทศมีบ่อยครั้งที่ตื่นตั้งแต่เช้ามืดทำให้มีโอกาสได้ไปเห็นบรรยากาศยามเช้าและหนึ่งในสถานที่ที่ผมได้ไปก็คือ ตลาดสดยามเช้าที่กรุงย่างกุ้ง ซึ่งขายกันตั้งแต่พระอาทิตย์โผล่ขึ้นสู่ท้องฟ้าไปจนถึงช่วงสายราวๆ 10 โมงกว่ากันเลยทีเดียว
สำหรับบรรยากาศตลาดเช้าที่กรุงย่างกุ้งจะใช้พื้นที่ของถนนสายหนึ่งเป็นสถานที่ในการขายของ ชื่อถนนผมจำไม่ได้แล้วแต่จากที่ได้เห็นด้วยตาก็พบว่าเป็นการขายของแบบริมถนนไม่มีหลังคากันแดดกันฝนใดๆทั้งสิ้น บ้างก็ขายของแบกะดิน บ้างก็มีโต๊ะมาตั้งวางขาย ส่วนสินค้าก็มีหลากหลายทั้งของกินและของใช้ทั้งในส่วนของผักสดและผลไม้ อาหารท้องถิ่น สินค้าเบ็ดเตล็ดทั้งส่วนของเสื้อผ้าและอุปกรณ์ต่างๆ เรียกได้ว่า บรรยากาศอาจไม่แตกต่างจากเมืองไทยเท่าไหร่นัก ส่วนพ่อค้าแม่ค้าและผู้ที่มาจับจ่ายซื้อของนั้นล้วนแต่งตัวด้วยการสวมผ้าถุงแบบพม่าซึ่งบ่งบอกความเป็นชาตินิยมและสื่อเอกลักษณ์ของพม่าออกมาได้เป็นอย่างดี ผมใช้เวลาถ่ายคลิปถ่ายรูปบรรยากาศของตลาดเช้าที่ย่างกุ้งตั้งแต่เช้าจนถึงช่วงสาย พื้นที่ของตลาดมีไม่มากนักทำให้สามารถเดินดูสินค้าต่างๆได้จนทั่ว ซึ่งผมได้มีโอกาสซื้อของกินที่ตลาดเช้ามา 1 อย่างนั่นก็คือ ลอดช่องที่เป็นสไตล์แบบพม่า โดยมีการใส่ในแก้วส่วนเรื่องรสชาติผมว่าลอดช่องแบบไทยๆเราอร่อยและเข้มข้นกว่า
บรรยากาศของตลาดเช้าในกรุงย่างกุ้ง
ผักสดเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมมากพอสมควร
สินค้าเบ็ดเตล๋็ดต่างๆก็มีให้เลือกมากมาย
กาละมัง ฝาชี ภาชนะต่างๆถูกวางขายในราคาถูก
โซนนี้ผู้หญิงชอบ เพราะเป็นสินค้าประเภทเสื้อผ้า
พวกนักเสี่ยงโชคน่าจะถูกใจ เพราะนี่คือจุดจำหน่ายหวย
ส่วนรูปแบบเป็นยังไงผมก็ไม่รู้เพราะไม่ได้ซื้อ
เดินเพลินๆเลยถือโอกาสซื้อลอดช่องสไตล์พม่ามาทาน
เรื่องรสชาติผมว่าสู้ของไทยไม่ได้
คนที่มาเดินซื้อของและพ่อค้าแม่ค้าในตลาด
ต่างก็แต่งตัวด้วยการสวมผ้าถุงอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวพม่า
ภาพนี้ผมถ่ายจากบริเวณหน้าที่พัก
พระสงฆ์กำลังเดินบิณฑบาตในตอนเช้า
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
6 มิถุนายน 2564
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น