EP.105 ไก่ทอดร้านโจลิบี
ก่อนอื่นต้องขอสารภาพแบบตามตรงเลยว่า สิ่งที่ผมไม่ถนัดที่สุดของการรีวิวเรื่องราวต่างๆก็คือ เรื่องอาหารการกิน คลิปยูทูปหรือจะเป็นด้านงานเขียนลงบล็อกก็ไม่ค่อยที่จะมีเรื่องของอาหารการกินให้ท่านผู้ชมได้ดูและชมกันเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างไรก็ตามในปัจจุบันเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารการกินผมก็ได้อัพลงในโหมดคลิปสั้นของช่องยูทูป ส่วนเรื่องงานเขียนก็ถือว่าบทความนี้จะเป็นบทความแรกที่ผมจะมาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับด้านอาหารการกินให้ผู้อ่านทุกท่านได้อ่านกันครับ
สำหรับอาหารการกินที่ผมขอหยิบยกมาในครั้งนี้ก้จะเป็นอาหารฟาสฟู้ดทั่วๆไปซึ่งก็แน่นอนครับว่ามันคงไม่แปลกอะไร เพราะที่เมืองไทยก็มีร้านฟาสฟู้ดให้ได้เลือกสรรกันอย่างมากมาย แต่ในบทความนี้ผมจะมานำเสนอร้านฟาสฟู้ดในประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนของเราอย่างฟิลิปปินส์ โดยร้านฟาสฟู้ดในฟิลิปปินส์ต้องถือว่ามีชื่อเสียงโด่งดังและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก โดยร้านฟาสฟู้ดนี้ก็มีชื่อว่า ร้านโจลิบี
ร้านโจลิบีเป็นร้านฟาสฟู้ดสัญชาติฟิลิปปินส์ โดยมีเมนูเด็ดที่เป็นจุดขายก็คือ ไก่ทอด ซึ่งร้านโจลิบีเริ่มเปิดขายเป็นครั้งในปี 1978 โดยผู้ก่อตั้งเป็นชายชาวฟิลิปปินส์เชื้อสายจีนที่มีนามว่า โทนี่ ตัน โดยเขาได้เปลี่ยนธุรกิจจากการขายไอศครีมมาเป็นร้านอาหารแบบฟาสฟู้ดและกิจการเริ่มเจริญรุ่งเรืองโดยในช่วงแรกมีร้านโจลิบีในกรุงมะนิลาประมาณ 7 สาขาและปัจจุบันก็ขยายกิจการจนใหญ่โตและมีร้านโจลิบีในประเทศฟิลิปปินส์ไปทั่วประเทศทุกหัวระแหง
ส่วนในยุคปัจจุบันร้านโจลิบีได้ขยายสาขาออกไปยังต่างประเทศด้วยเช่นกัน โดยมีสาขาทั้งในประเทศเวียดนาม โซนตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออกอย่างในฮ่องกง รวมไปถึงสาขาในทวีปอเมริกาเหนือและประเทศในยุโรปอย่างเช่น สเปน อิตาลี สหราชอาณาจักร ส่วนเมนูอาหารของทางร้านก็มีหลากหลายดีครับไม่ว่าจะเป็น เมนูข้าวไก่ทอดที่ทานคู่กับน้ำเกรวี่รสเด็ด แฮมเบอร์เกอร์เนื้อวัวราดด้วยมายองเนส เมนูสปาเกตตี้รวมไปถึงของหวานอย่างเช่น ไอศครีม
โดยเริ่มก่อตั้งในปี 1978 และปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมาก
เมนูของร้านโจลิบีมีเยอะไม่แพ้ร้านเคเอฟซีหรือแมคโดนัลด์
เมนูเด่นๆก็มีสปาเกตตี้ ข้าวไก่ทอดทานคู่กับน้ำเกรวี่
ผมสั่งข้าวไก่ทอดกับน้ำเกรวี่มาทาน
สนนราคาจานนี้ก็อยู่ที่ประมาณ 60 - 70 บาท
โดยส่วนมากจะเป็นกลุ่มคนชั้นกลางในประเทศฟิลิปปินส์
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
20 มิถุนายน 2566
EP.106 นั่งรถจี๊ปนีย์ที่ฟิลิปปินส์
การเดินทางท่องเที่ยวต่างแดนของผมไม่ได้มีแค่ไปเห็นแลนด์มาร์กหรือสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆของประเทศเหล่านั้น เพราะการท่องเที่ยวประเภทนี้ก็เสมือนเราเป็นนักท่องเที่ยวที่ไปกับกรุ๊ปทัวร์ที่แค่ให้ได้ไปเห็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในระยะเวลาสั้นๆแล้วก็ถูกเรียกขึ้นรถเพื่อให้ไปยังจุดหมายอื่นๆเพื่อให้ครบกำหนดการ แต่ตัวผมมีสไตล์การท่องเที่ยวที่เป็นรูปแบบของนักเดินทางแบกเป้เที่ยว นั่นจึงทำให้การเที่ยวต่างแดนของผมจะมีมากกว่าการไปเที่ยวตามแลนด์มาร์กดังๆที่ผู้คนนิยมไปกันซึ่งสิ่งที่มีมากกว่านั้นก็คือ การไปเรียนรู้และเข้าถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นของแต่ละประเทศนั่นเอง
โดยช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมได้แบกเป้ไปเที่ยวที่ฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นครั้งแรกของผมที่ได้ไปเยือนดินแดนตากาล็อก การไปที่ฟิลิปปินส์ก็ไม่ต่างจากที่อื่นๆที่ผมได้ไปครับซึ่งนั่นก็คือการไปสัมผัสและเข้าถึงวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่น โดยวิธีที่จะได้ซึมซับได้ง่ายดายที่สุดก็คือการนั่งรถโดยสารสาธารณะของฟิลิปปินส์ซึ่งก็คือ การนั่งรถจี๊ปนีย์ ซึ่งเปรียบกับบ้านเราก็คงอารมณ์ประมาณนั่งรถสองแถวโดยสารยังไงอย่างนั้น
สำหรับรถจี๊ปนีย์จัดว่าเป็นรถโดยสารสาธารณะที่ได้รับความนิยมอย่างสูงและเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของฟิลิปปินส์เลยทีเดียว โดยคำว่า จี๊ปนีย์ มาจากการรวมคำในภาษาอังกฤษซึ่งคำว่า จี๊ป ก็มาจากรถจี๊ป ส่วนคำว่า นีย์ ก็แปลว่าเข่า เนื่องรถจี๊ปนีย์เป็นรถโดยสารที่ผู้โดยสารจะต้องนั่งชิดติดจนแออัดและเข่าชนกันนั่นเอง ส่วนจุดกำเนิดของรถจี๊ปนีย์นั้นก็มาจากทหารอเมริกันที่ใช้ฟิลิปปินส์เป็นฐานทัพได้ใช้รถจี๊ปนีย์เป็นพาหนะในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 พอสงครามยุติลงรถจี๊ปนีย์ก็ถูกดัดแปลงจากรถที่ใช้ในสงครามมาใช้เป็นรถไว้สำหรับโดยสาร
ตอนที่ผมพักอยู่ในกรุงมะนิลาก็มีโอกาสได้ใช้บริการรถจี๊ปนีย์เพราะต้องการสัมผัสและเข้าถึงวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น โดยครั้งแรกที่ได้ทดลองนั่งก็ต้องยอมรับเลยว่าค่อนข้างเกิดอาการ มึนงง อยู่พอสมควรทั้งบรรยากาศบนรถ ลักษณะของตัวรถ รวมไปถึงระบบการจ่ายเงินค่าโดยสาร แต่เท่าที่ผมสังเกตุได้ก็พบว่าลักษณะของตัวรถจะเป็นที่นั่งเบาะยาวและมีขนาดยาวกว่ารถสองแถวของบ้านเรา แต่ความกว้างนั้นดูแคบกว่าทำให้เข่าของผู้โดยสารจะชนกันพอดี ส่วนข้างรถจะมีการวาดภาพซึ่งเป็นความเชื่อทางศาสนาคริสต์และมีสีสันที่ดูฉูดฉาดเป็นเอกลักษณ์
ขณะที่ออดหรือกริ่งก็ไม่ได้มีเหมือนรถสองแถวบ้านเรา เวลาถึงจุดที่ต้องการจะลงก็ให้ตะโกนบอกกับคนขับ ส่วนวิธีการจ่ายเงินก็แตกต่างจากบ้านเรา เพราะเวลาจะจ่ายเงินก็จะเป็นการจ่ายเงินแบบส่งต่อๆกันไปอย่างถ้าเรานั่งอยู่ท้ายรถก็จะต้องส่งเงินไปให้กับผู้โดยสารที่นั่งด้านในส่งต่อไปเรื่อยๆจนไปถึงมือของคนขับ โดยการนั่งรถจี๊ปนีย์ครั้งแรกของผมต้องถือว่าน่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยซึ่งผมก็ไม่มีจุดหมายว่าจะไปลงที่ไหน สุดท้ายก็นั่งไปเรื่อยๆพอถึงย่านเขตเมืองเก่าอินทรามูรอสเลยเลือกลงที่จุดนี้แล้วจ่ายเงินกับคนขับซึ่งผมจำไม่ได้ว่าจ่ายเป็นเงินกี่เปโซแต่เมื่อมาตีเป็นเงินไทยก็จะอยู่ที่ราวๆ 24 บาทเท่านั้น
รถจี๊ปนีย์เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของประเทศฟิลิปินส์
และเป็นรถโดยสารที่ได้รับความนิยมอยู่พอสมควร
รถจี๊ปนีย์จะมีความยาวกว่ารถสองแถวของบ้านเรา
แต่ที่นั่งผู้โดยสารจะแคบกว่า
เนื่องจากมีราคาถูก โดยค่าโดยสารจะคิดตามระยะทาง
คนขับรถจี๊ปนีย์ต้องมีความชำนาญพอสมควร
ทั้งการจดจำหน้าผู้โดยสารและเรื่องสภาพการจราจรในกรุงมะนิลา
วิธีการจ่ายเงินก็ดูแตกต่างจากเมืองไทย โดยคนที่นั่งท้ายๆ
เวลาจ่ายเงินก็ต้องส่งต่อให้คนแถวในเพื่อส่งไปเรื่อยๆจนถึงมือคนขับ
ตอนที่ผมนั่งรถจี๊ปนีย์ก็มีจังหวะที่คนขับรถแวะเติมน้ำมัน
ซึ่งราคาน้ำมันที่ฟิลิปปินส์ก็ไม่ได้ถูกเท่าไหร่นัก
โดยค่าโดยสารที่จ่ายไปตีเป็นเงินไทยประมาณ 24 บาท
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
8 กรกฎาคม 2566
EP.108 อ่าวมะนิลา
กรุงมะนิลา คือ เมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งก็ดูไม่แตกต่างจากเมืองหลวงของประเทศอื่นๆทั่วโลกครับที่มักจะเต็มไปด้วยความแออัดความวุ่นวายของการสัญจรบนท้องถนน รวมไปถึงความหนาแน่นของประชากรที่อาศัยอยู่กันมากมาย แต่สิ่งที่เป็นปัญหาที่น่าหงุดหงิดเหล่านี้ต่างก็แลกมาด้วยความเจริญและความศิวิไลช์ที่จะมีมากกว่าตามเมืองชนบทอยู่หลายเท่าตัว นอกจากนั้นอัตราการจ้างงานของเมืองหลวงก็จะมีจำนวนมากกว่าตามชนบทอีกด้วยเช่นกัน
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในกรุงมะนิลาหลายชีวิตต่างก็ดิ้นรนกันไปครับทั้งนี้ก็เพื่อความอยู่รอด หลายคนเดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาหางานทำในกรุงมะนิลา แต่ก็ต้องพยายามอดทนกับวิถีชีวิตอันเร่งรีบในเมืองหลวงซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความหงุดหงิดความเคร่งเครียดให้แก่ผู้คนได้เป็นอย่างดีนั่นจึงทำให้กรุงมะนิลาได้มีการสร้างสถานที่ที่จะเป็นแหล่งพักผ่อนและสถานที่ที่เอาไว้หลีกหนีความวุ่นวายจากการจราจรซึ่งสถานที่ที่ผมจะเอ่ยถึงต่อไปนี้ก็คือ อ่าวมะนิลา
อ่าวมะนิลา คือ หนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงมะนิลาโดยในสมัยอดีตเคยเป็นจุดสมรภูมิการรบระหว่างสเปนกับสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปพื้นที่ของอ่าวมะนิลาก็ได้มีความสำคัญในด้านของการค้า รวมถึงมีความสำคัญทั้งในด้านอุตสาหกรรมและการประมง นอกจากนั้นแล้วก็ยังเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวหรือแลนด์มาร์กที่สำคัญของกรุงมะนิลา เนื่องจากบริเวณริมอ่าวมะนิลามีบรรยากาศที่ค่อนข้างสวยงามทำให้เหมาะแก่การมาพักผ่อนเดินชมบรรยากาศเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับไฮไลท์สำคัญในการมาเที่ยวชมอ่าวมะนิลาก็คือ การมาชมบรรยากาศของพระอาทิตย์ตกดินในช่วงเวลาเย็นซึ่งว่ากันว่าพื้นที่ของอ่าวมะนิลาเป็นหนึ่งในจุดชมพระอาทิตย์ตกดินได้สวยงามที่สุดของฟิลิปปินส์เลยทีเดียว ทำให้ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติมักแวะเวียนมาที่อ่าวมะนิลากันอยู่แทบตลอด ส่วนกิจกรรมอื่นๆที่พอเห็นได้บริเวณริมอ่าวมะนิลาก็คือ การเดินออกกำลังกาย การแสดงความสามารถในด้านต่างๆทั้งการเต้น การเล่นดนตรีและอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งบรรยากาศต่างๆบริเวณอ่าวมะนิลาก็ได้สร้างความผ่อนคลายให้แก่ผู้คนและได้หลีกเลี่ยงความวุ่นวายจากภายนอกได้เป็นอย่างดี
ในประเทศฟิลิปปินส์
บรรยากาศริมอ่าวมะนิลาในช่วงเวลาเย็นมักจะมีผู้คน
มาเดินเล่นและออกกำลังกายกันในทุกๆวัน
บรรยากาศของอ่าวมะนิลาค่อนข้างสวยงามและดูเงียบสงบ
ซึ่งผิดกับการจราจรด้านนอกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
ช่วงเย็นๆหลายคนมักมานั่งชมบรรยากาศของอ่าวมะนิลา
ไม่ว่าจะเป็นคนท้องถิ่นและชาวต่างชาติ
ในช่วงเวลาเย็นซึ่งมีความสวยงามเป็นอย่างมาก
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
21 กรกฎาคม 2566
EP.109 สถานีขนส่งเดา
คำว่า เดา ไม่ได้หมายความว่าการทายแบบสุ่มไปแบบมั่วๆ เพราะคำว่า เดา ในภาษาฟิลิปปินส์คือชื่อของสถานีขนส่งครับ โดยเป็นสถานีขนส่งที่ตั้งอยู่ในจังหวัดปัมปังงาซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงมะนิลาไปประมาณเกือบๆ 2 ชั่วโมงซึ่งจากการที่ผมไปสำรวจบรรยากาศมาก็ต้องถือว่าเป็นหนึ่งในสถานีขนส่งที่ค่อนข้างกว้างใหญ่และมีรถบัสโดยสารวิ่งเข้าออกกันอยู่แทบตลอด ส่วนผู้โดยสารก็มีจำนวนมากเช่นกัน ทำให้ที่สถานีขนส่งเดามีความคึกคักเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
ผมเก็บบรรยากาศของที่สถานีขนส่งเดามาทั้งในรูปแบบภาพถ่ายและคลิปวีดีโอ โดยมันเป็นการไปเยือนสถานีขนส่งเดาครั้งแรกในชีวิตของตัวผมซึ่งสาเหตุที่ผมได้มาเยือนสถานีขนส่งแห่งนี้นั่นก็เพราะผมต้องการเดินทางไปที่เมืองแองเจเลสหรือที่ชาวต่างชาติมักจะเรียกกันว่า แองเจเลสซิตี้ โดยหากใครต้องการมาที่เมืองแองเจเลสก็ต้องมาลงที่สถานีขนส่งเดานี่แหละเพราะอยู่ใกล้กับเมืองแองเจเลสมากที่สุด โดยระยะห่างจะอยู่กันเพียงแค่ 5 กิโลเมตรเท่านั้น
สำหรัลสถานีขนส่งเดานอกจากจะมีบรรยากาศที่คึกคักแล้วก็ยังมีรถบัสโดยสารเดินทางไปยังเมืองต่างๆที่ตั้งอยู่บนเกาะลูซอนของฟิลิปปินส์ไม่ว่าจะเป็นเมืองหลวงอย่างมะนิลารวมไปถึงเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญต่างๆทั้ง บาเกียว บานาเว รวมไปถึงวีกันและอีกหลากหลายเมืองซึ่งการเดินทางในช่วงกลางคืนจะคึกคักมากเพราะมีรถบัสหลายคันที่จะเดินทางไปยังตอนเหนือของเกาะลูซอน ขณะที่บรรยากาศอื่นๆของสถานีก็จะมีจุดของร้านอาหาร ร้านขายขนมขบเคี้ยว ส่วนรอบๆสถานีก็จะเต็มไปด้วยร้านอาหารแนวฟาสฟู้ด รถรับจ้างสาธารณะที่จะเดินทางไปยังเมืองแองเจเลสและสถานที่ใกล้เคียง
สถานีขนส่งเดาเป็นสถานีขนส่งในจังหวัดปัมปังงา
ของประเทศฟิลิปปินส์
บริเวณทางเข้าด้านหน้าของสถานีขนส่งเดา
ซึ่งบรรยากาศคึกคักมากมีรถวิ่งเข้าออกแทบตลอด
บรรยากาศยามค่ำคืนที่สถานีขนส่งเดาจะคึกคักพอสมควร
เพราะมีรถบัสเดินทางตอนกลางคืนให้บริการอยู่หลายคัน
สถานีขนส่งเดามีรถบัสเดินทางไปหลายเมืองบนเกาะลูซอน
ทั้งกรุงมะนิลา บาเกียว บานาเว รวมไปถึงวีกัน
ร้านขายอาหารในสถานีขนส่งมีอยู่ไม่มากนัก
ส่วนใหญ่จะเป็นแนวข้าวราดแกงของทางฟิลิปปินส์
ร้านที่มีเยอะสุดในสถานีขนส่งเดาคือ พวกร้านขายขนมขบเคี้ยว
ซึ่งจะตั้งขายเรียงรายต่อๆกันอยู่หลายร้าน
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
1 สิงหาคม 2566
EP.111 ตลาดคิวเอโป้
ผมไปต่างประเทศทีไรสิ่งที่ต้องแวะไปชมทุกครั้งก็คือ ตลาด เพราะสถานที่นี้คือจุดที่จะทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่นจริงๆซึ่งไม่ได้มีการปรุงแต่งหรือจัดฉากใดๆทั้งสิ้น โดยประเทศที่ผมได้เดินทางไปครั้งล่าสุดก็คือ ฟิลิปปินส์ ซึ่งในประเทศนี้นอกจากใบหน้าของผู้คนจะมีความคล้ายคลึงกับคนไทยอย่างมากแล้ว บรรยากาศของตลาดในประเทศฟิลิปปินส์ก็มีลักษณะที่ไม่แตกต่างจากในเมืองไทยสักเท่าไหร่
ตลาดในประเทศฟิลิปปินส์ที่ผมได้มีโอกาสไปสำรวจบรรยากาศมาก็คือ ตลาดคิวเอโป้ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากย่านไชน่าทาวน์ของกรุงมะนิลาเท่าไหร่นัก โดยบรรยากาศของตลาดก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความจอแจของผู้คนซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของตลาดในแต่ละประเทศ โดยตลาดคิวเอโป้ถือว่าเป็นตลาดใหญ่แห่งหนึ่งของกรุงมะนิลามีสินค้าขายเป็นจำนวนมากทั้งของกินและของใช้มีผู้คนเดินมาซื้อของกันอย่างมากมาย ทำให้ความคึกคักของที่นี่มีอยู่แทบตลอดทั้งวัน
ส่วนจุดบริเวณใกลๆกับตลาดคิวเอโป้ก็จะเป็น โบสถ์คริสต์ ซึ่งอย่างที่เราพอทราบกันมาว่าฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ทำให้มักจะมีโบสถ์คริสต์ตั้งอยู่อย่างมากมาย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้คนได้มาประกอบพิธีทางศาสนาซึ่งวันที่ผมไปเดินสำรวจตลาดก็ได้แวะเข้าไปในโบสถ์คริสต์ซึ่งก็ได้เห็นการประกอบพิธีทางศาสนาของชาวคริสต์โดยที่มีบาทหลวงเป็นผู้นำในการทำพิธี โดยจากที่ผมได้ลองสำรวจจนทั่วก็พบว่าชาวฟิลิปปินส์มีความศรัทธาในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอย่างแรงกล้าซึ่งคงไม่ต่างจากคนไทยที่ศรัทธาในศาสนาพุทธและหมั่นทำบุญทำทานกันอยู่เสมอ
ตลาดคิวเอโป้เป็นตลาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในกรุงมะนิลา
ของประเทศฟิลิปปินส์ โดยตั้งอยู่ใกล้ๆกับโซนไชน่าทาวน์
บรรยากาศที่ตลาดคิวเอโป้ในแต่ละวัน
จะมีผู้คนมาเดินจับจ่ายซื้อของกันเป็นจำนวนมาก
ของที่ขายในตลาดคิวเอโป้มีค่อนข้างหลากหลาย
อย่างร้านนี้จะขายพวกผลไม้และปลา
น้ำผลไม้ปั่นไว้สำหรับทานแก้กระหาย
ในช่วงเวลที่เจอแดดและอากาศอันร้อนระอุ
ร้านอาหารข้างทางสไตล์ฟิลิปปินส์ซึ่งดูน่าจะอร่อย
เพราะมีผู้คนแวะเวียนมาทานกันอย่างต่อเนื่อง
สินค้าที่ขาดไม่ได้เลยตามตลาดของทุกประเทศก็คือ
เสื้อผ้า ซึ่งมีหลากหลายชุดทั้งของผู้ชาย ผู้หญิงและเด็ก
ซึ่งจะเป็นรถสามล้อเครื่องหรือไตรซิเคิลตามภาษาท้องถิ่น
ใกล้ๆกับตลาดจะเป็นที่ตั้งของโบสถ์คริสต์
ซึ่งที่ฟิลิปปินส์ศาสนาคริสต์คือศาสนาประจำชาติ
ผมไปในช่วงที่มีการประกอบพิธีทางศาสนาพอดี
เลยได้มีโอกาสเก็บภาพบรรยากาศมาส่วนหนึ่ง
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
15 สิงหาคม 2566
EP.121 อนุสาวรีย์อันเดรส
โบนิฟาซิโอ
การไปเที่ยวยังต่างแดนของผมในแต่ละครั้งผมมักจะตั้งเป้าหมายในการเดินทางไว้อยู่ 2-3 อย่าง โดยอย่างแรกคือการเรียนรู้และซึมซับวัฒนธรรมของแต่ละประเทศให้ได้มากที่สุด ส่วนอย่างที่สองคือเดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆและอย่างสุดท้ายก็คือการเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ โดยอย่างหลังนั้นเป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบอยู่ไม่น้อยเพราะผมเองก็เป็นคนที่ชอบศึกษาเรื่องราวของประวัติศาสตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
สำหรับการไปเที่ยวที่ฟิลิปปินส์ผมก็มีโอกาสได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศนี้มาอยู่บ้างและพอได้ไปสัมผัสจริงๆก็พบว่าประวัติศาสตร์ของฟิลิปปินส์มีความน่าสนใจอีกมากและหาไม่ได้จากการที่แค่ศึกษาในตำรา โดยในสมัยอดีตนั้นฟิลิปปินส์เคยตกเป็นอาณานิคมของสเปนและก็เป็นเรื่องธรรมดาของชาติที่ตกเป็นอาณานิคมที่สุดท้ายก็ต้องการมีอิสรภาพมีเอกราชในการปกครองตนเองซึ่งประเทศฟิลิปปินส์ก็ไม่แตกต่างจากชาติอื่นๆครับ
สมัยที่ฟิลิปปินส์ตกเป็นเมืองขึ้นของสเปนก็ได้เกิดวีรบุรุษของชาติที่ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้และเรียกร้องเอกราชโดยหนึ่งคนที่มีชื่อเสียงก็คือ โฮเซ ริซัล และอีกหนึ่งคนก็คือ อันเดรส โบนิฟาซิโอ ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งการปฏิวัติฟิลิปปินส์ โดยอันเดรส โบนิฟาซิโอ เป็นผู้เริ่มก่อตั้งกลุ่มลับที่มีชื่อว่า กาติปูนัน (Katipunan) ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาเพื่อต่อต้านเจ้าอาณานิคมอย่างสเปนและมีเป้าหมายในการนำเอกราชและอิสรภาพมาสู่ชาติฟิลิปปินส์
สำหรับประวัติของอันเดรส โบนิฟาซิโอ ผมอาจจะไม่ขอลงรายละเอียดเจาะลึกอะไรมากแต่ถ้าใครสนใจเกี่ยวกับประวัติของเขาก็สามารถหาอ่านได้จากในกูเกิลซึ่งมีทั้งประวัติส่วนตัว กลุ่มองค์กรลับการติปูนันและเหตุการณ์สำคัญในสมัยยุคปฏิวัติฟิลิปปินส์ซึ่งแม้ว่าสุดท้ายโบนิฟาซิโอจะถูกประหารชีวิตจากชาวฟิลิิปปินส์ด้วยกันในเรื่องความแตกแยกในกลุ่มและข้อหากบฏ แต่ชื่อของเขาก็ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในวีรบุรุษของชาติฟิลิปปินส์
ปัจจุบันเรื่องราวการรำลึกถึงอันเดรส โบนิฟาซิโอก็สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในกรุงมะนิลา โดยในโซนย่านเออร์มิตาใกล้กับศาลาว่าการกรุงมะนิลาก็ได้มีอนุสาวรีย์ของอันเดรส โบนิฟาซิโอและองค์กรลับกาติปูนันตั้งอยู่อย่างโดดเด่น โดยบริเวณจุดนี้จะมีผู้คนชาวฟิลิปปินส์มักมาถ่ายรูปและรำลึกถึงวีรบุรุษของชาติกันพอสมควร ขณะที่บริเวณด้านหลังของอนุสาวรีย์ก็เป็นลานกว้างซึ่งจะมีผู้คนจำนวนมากมานั่งพักผ่อนพูดคุยซึ่งจากการที่ผมลองสังเกตุดูก็จะเป็นกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ของฟิลิปปินส์กันซะส่วนใหญ่
วีรบุรุษของชาติฟิลิปปินส์ที่มีนามว่า อันเดรส โบนิฟาซิโอ
นอกจากจะมีรูปปั้นของอันเดรส โบนิฟาซิโอแล้วก็ยังมีรูปปั้นของ
กลุ่มกาติปูนันซึ่งเป็นองค์กรที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อเรียกร้องเอกราชจากสเปน
บริเวณด้านหลังของอนุสาวรีย์จะมีธงชาติฟิลิปปินส์
ซึ่งแสดงถึงความเป็นเอกราชของชาติ
พื้นที่ลานกว้างด้านหลังอนุสาวรีย์จะมีผู้คนจำนวนมาก
ออกมาทำกิจกรรมโดยเฉพาะในช่วงเวลาเย็นจะดูคึกคักเป็นอย่างมาก
นอกจากนั้นยังเป็นจุดที่มีรถจี๊ปนีย์จำนวนมาก
ซึ่งจะมาเข้าจอดเพื่อรับส่งผู้โดยสาร
ผมไปถ่ายภาพบรรยากาศตรงกับช่วงเวลาเย็นพอดี
ซึ่งสภาพการจราจรด้านหน้าอนุสาวรีย์ดูวุ่นวายพอสมควร
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
25 ตุลาคม 2566
EP.124 สะพานฮองบอน
กรุงมะนิลาเมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์จัดว่าเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่มีความแออัดและความหนาแน่นของประชากรที่อยู่ในระดับสูง โดยในพื้นที่แต่ละโซนของกรุงมะนิลาต่างก็มีผู้คนจำนวนมากอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นซึ่งในช่วงที่ผมไปเที่ยวอยู่ในกรุงมะนิลาก็พยายามที่จะสำรวจพื้นที่ย่านต่างๆให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยหนึ่งในโซนที่ผมได้มีโอกาสได้ไปสำรวจด้วยตนเองคือพื้นที่โซนดิวิซอเรีย
โซนดิวิซอเรียไม่ได้มีความเจริญและดูหรูหราเหมือนอย่างย่านมากาติ โดยเป็นหนึ่งในโซนที่ดุค่อนข้างแออัดและวุ่นวาย แต่พื้นที่ย่านโซนดิวิซอเรียได้มีหนึ่งในสัญลักษณ์ที่มีมานานไม่ต่ำกว่า 50 ปีซึ่งสิ่งนั้นก็คือ สะพานฮองบอน ซึ่งเป็นสะพานที่เอาไว้ใช้ข้ามคลองเอสเตโรและยังเป็นจุดที่เชื่อมต่อกันระหว่างฝั่งดิวิซอเรียกับย่านไชน่าทาวน์ของกรุงมะนิลาอีกด้วย
โดยจากการที่ผมลงสำรวจพื้นที่ดูก็พบว่าพื้นที่บริเวณสะพานฮองบอนยังไม่ค่อยได้รับการปรับปรุงจากทางการของฟิลิปปินส์เท่าไหร่นัก โดยตัวสะพานก็ดูเก่าทรุดโทรมไปตามกาลเวลาแต่ปัจจุบันก็ยังคงมีผู้คนเดินสัญจรไปกันมาระหว่าง 2 ฝั่งกันทุกๆวัน แต่บรรยากาศรอบๆสะพานอาจจะดูไม่น่าอภิรมย์มากเท่าไหร่ เพราะพื้นที่ของคลองเอสเตโรดูค่อนข้างสกปรกทั้งน้ำที่เน่าเสียจนกลายเป็นสีดำรวมไปถึงจำนวนขยะที่ลอยเกลื่อน
นอกจากนั้นก็จะเห็นพวกตึกเก่าๆที่ตั้งอยู่รอบๆซึ่งก็คือที่อยู่อาศัยอารมณ์ประมาณพวกแฟลตราคาถูกที่ผู้คนจะอยู่กันค่อนข้างแออัดรวมถึงยังมีกลุ่มคนเร่ร่อนให้เห็น โดยจากที่ผมได้ไปเห็นกับตาตนเองก็ยอมรับว่ากรุงมะนิลายังมีหลายพื้นที่ที่ยังเป็นโซนแออัดและความเป็นอยู่ของผู้คนยังค่อนข้างลำบากซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็คือความจริงที่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์และในประเทศกำลังพัฒนาและด้อยพัฒนาอีกหลากหลายประเทศ
สะพานฮองบอนเป็นสะพานที่ใช้ข้ามคลองเอสเตโร
โดยตั้งอยู่ในกรุงมะนิลาของประเทศฟิลิปปินส์
สะพานฮองบอนเป็นสะพานเก่าแก่มีอายุไม่ต่ำกว่า 50 ปี
โดยเป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างฝั่งดิวิซอเรียกับย่านไชน่าทาวน์
ในแต่ละวันจะมีผู้คนเดินผ่านสัญจรบนสะพานกันอยู่ตลอด
เพราะไม่ได้รับการดูแลจากทางภาครัฐ
ย่านดิวิซอเรียเป็นอีกหนึ่งย่านของกรุงมะนิลา
ที่มีความแออัดและความหนาแน่นของผู้คน
ผมเดินสำรวจพื้นที่ก็ได้เจอกับแม่ลูก 3 คนที่กำลัง
ขอเงินจากผู้ที่เดินผ่านสัญจรไปมา
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
18 พฤศจิกายน 2566
EP.134 สำรวจบรรยากาศย่านมากาติ
ชาวฟิลิปปินส์มักจะมีความภาคภูมิใจที่พร้อมจะนำเสนอต่อชาวโลกอยู่หลายเรื่อง แต่ถ้าเป็นจุดขายเด่นๆที่บรรดาชาวฟิลิปปินส์พร้อมจะโปรโมทก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของนางงาม รวมถึงเรื่องความโดดเด่นในทักษะการพูดภาษาอังกฤษ ความเก่งกาจในกีฬาบาสเกตบอลและอีกหนึ่งประเด็นหลักที่ชาวฟิลิปปินส์ภาคภูมิใจกันเป็นอย่างมากก็คือ ย่านมากาติ ซึ่งเป็นพื้นที่โซนนึงซึ่งตั้งอยู่ในกรุงมะนิลาเมืองหลวงประเทศ
ย่านมากาติ ถ้าพูดให้เห็นภาพง่ายๆก็คือ ย่านเศรษฐกิจและย่านธุรกิจที่สำคัญของกรุงมะนิลา ถ้าให้เปรียบเทียบกับกรุงเทพมหานครบ้านเราก็คงจะเป็นประมาณย่านสีลม โดยพื้นที่ย่านมากาติจากที่ผมได้ลงสำรวจพื้นที่ด้วยตนเองก็พบว่าเป็นจุดที่จะเต็มไปด้วยตึกอาคารต่างๆมากมายซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของธุรกิจและสถาบันการเงิน นอกจากนั้นก็จะมีทั้งโรงแรมระดับ 4-5 ดาว ร้านอาหารระดับหรูตั้งเรียงรายกันให้เห็น
ส่วนจุดของทางเดินเท้าก็มีความเป็นระเบียบสวยงาม โดยที่ไม่มีรถเข็นขายของมาตั้งให้เกะกะไม่มีมอเตอร์ไซค์มาวิ่งบนทางเท้า ทำให้คนเดินเท้าสามารถเดินได้แบบสะดวกสบายส่วนการข้ามถนนของบริเวณย่านมากาติก็จะมีการใช้อุโมงค์ทางคนเดินลอดแทนการสร้างสะพานลอยหรือจุดของทางม้าลายซึ่งเป็นการลดการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนการจราจรบนย่านมากาติก็ถือว่าไม่ได้แตกต่างจากพื้นที่อื่นๆในมะนิลามากนัก เพราะมีรถยนต์สัญจรผ่านเป็นจำนวนมากและมีปัญหารถติด แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือพวกรถสองแถวโดยสารอย่าง จี๊บนีย์ มีให้เห็นกันค่อนข้างน้อย
โดยผมใช้เวลาในการเดินสำรวจย่านมากาติราวๆ 2 ชั่วโมงซึ่งผมเองก็ไม่แปลกใจว่าทำไมคนฟิลิปปินส์ถึงภูมิใจกับ ย่านมากาติ กันนักหนา เพราะด้วยพื้นที่และบรรยากาศที่ดูหรูหราทันสมัยซึ่งถ้ามองเผินๆก็เหมือนกับว่ากำลังเดินอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่ชาวฟิลิปปินส์พร้อมใจที่จะนำเสนอพื้นที่ย่านมากาติออกสู่สายตาชาวโลก แม้ว่าตามข้อเท็จจริงแล้วพื้นที่ย่านมากาติก็เป็นเพียงแค่พื้นที่โซนเดียวของกรุงมะนิลาที่ดูเจริญและเป็นระเบียบสวยงามซึ่งแตกต่างจากพื้นที่โซนอื่นๆซึ่งยังคงมีปัญหาอยู่อย่างมากมาย
ย่านมากาติ เปรียบได้ดั่งตู้โชว์ของกรุงมะนิลา
ซึ่งชาวฟิลิปปินส์มีความภาคภูมิใจกับพื้นที่โซนนี้กันเป็นอย่างมาก
พื้นที่ย่านมากาติจะดูเป็นระเบียบสวยงาม
โดยจะเป็นที่ตั้งของตึกอาคารและสำนักงานต่างๆมากมาย
จุดของทางเท้าจะมีความสวยงามและเป็นระเบียบ
โดยไม่มีมอเตอร์ไซค์มาวิ่งหรือแม่ค้านำรถเข็นมาตั้งให้เกะกะ
ป้ายบอกพิกัดและสถานที่ต่างๆในพื้นที่ย่านมากาติ
อุโมงค์ทางคนเดินลอดเป็นจุดที่ผู้คน
ใช้ข้ามถนนในพื้นที่ย่านมากาติ
หรือแม้กระทั่งทางม้าลาย
ลานสาธารณะย่านมากาติจะเป็นจุดที่ผู้คนมักจะมานั่งพักผ่อน
ซึ่งมีทั้งพนักงานบริษัทรวมถึงประชาชนทั่วไป
รถสองแถวจี๊บนีย์มีให้เห็นน้อยลงในย่านมากาติ
และจะเห็นพวกรถหรูจากต่างประเทศได้มากขึ้น
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
27 มกราคม 2567
EP.138 สุสานทหารอเมริกัน
แห่งกรุงมะนิลา
สหรัฐอเมริกาเคยได้เข้ามาครอบครองฟิลิปปินส์เป็นระยะเวลาเกือบ 50 ปีแม้ว่าจะน้อยกว่าที่สเปนครอบครองฟิลิปปินส์อยู่หลายเท่าตัว แต่อิทธิพลของอเมริกาส่งผลมากกว่าอิทธิพลของสเปนอยู่หลายเท่าตัวนั่นจึงทำให้ฟิลิปปินส์ได้รับวัฒนธรรมแบบอเมริกันมาอยู่มาพอสมควร สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือเรื่องของกีฬาบาสเกตบอลและความนิยมในแบรนด์ยี่ห้อไนกี้ซึ่งแม้ปัจจุบันฟิลิปปินส์มีเอกราชเป็นของตนเองแล้ว แต่อิทธิพลจากอเมริกาก็ยังคงมีในประเทศนี้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
โดยถ้าหากย้อนกลับไปในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ฟิลิิปปินส์ก็เป็นอีกหนึ่งชาติอยู่ร่วมเดียวกับทางสหรัฐอเมริกาซึ่งก็คือฝ่ายสัมพันธมิตร โดยฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในฐานทัพสำคัญของกองทัพอเมริกาโดยมีศึกสงครามใหญ่ๆที่อเมริกาสู้รบกับทางฝ่ายอักษะทั้งสมรภูมิในทะเลจีนใต้หรือการสู้รบทางมหาสมุทรแปซิฟิกและก็แน่นอนครับว่าเมื่อมีสงครามเกิดขึ้นสิ่งที่เป็นผลตามมาก็คือความสูญเสีย โดยสมรภูมิการสู้รบในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้มีทหารของฝ่ายอเมริกันและฟิลิปปินส์ล้มตายกันไปไม่น้อย
เมื่อมีเหตุทหารเสียชีวิตในช่วงสงคราม แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาในภายหลังก็คือการสดุดีให้เกียรติแก่บรรดาทหารผู้กล้าหาญผู้เสียสละชีวิตในยุคสงคราม โดยสิ่งที่เป็นการไว้อาลัยและรำลึกแก่บรรดาวีรบุรุษที่เสียชีวิตในสงครามก็คือการสร้างสุสาน โดยที่กรุงมะนิลาเมืองหลวงของฟิลิปปินส์ก็มีสุสานทหารที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยเช่นกัน โดยสุสานทหารแห่งนี้จะเน้นบรรดาทหารอเมริกันที่เสียชีวิตจากยุคสงคราม แต่ก็มีทหารจากฝ่ายสัมพันธมิตรของชาติอื่นๆปะปนมาบ้างทั้งฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย อินเดีย
ปัจจุบันสุสานทหารอเมริกันในกรุงมะนิลาเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมกันฟรีในทุกๆวัน แต่ก่อนที่จะเข้าไปชมก็จะมี รปภ.เข้ามาสอบถามพูดคุยเล็กน้อยและทางที่ดีควรนำพาสปอร์ตติดตัวไปด้วยเพราะเจ้าหน้าที่จะทำการขอดูเพราะสถานที่แห่งนี้อยู่ในความดูแลจากหน่วยงานของภาครัฐและอีกประการนึงคือการที่เป็นสุสานทหารทำให้การเข้าไปเที่ยวชมควรดูด้วยความสำรวมและให้เกียรติสถานที่ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้วายชนม์ซึ่งพวกเขาทั้งหมดต่างก็เป็นวีรบุรุษผู้เสียสละชีพจากยุคสงครามด้วยกันทั้งสิ้น
สุสานทหารอเมริกันแห่งกรุงมะนิลาเป็นสถานที่รำลึกถึง
บรรดาวีรบุรุษที่เสียสละชีวิตในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
บรรยากาศภายในพื้นที่จะเต็มไปด้วยไม้กางเขน
ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการไปสู่สุคติตามหลักศาสนาคริสต์
เนื้อที่ของสุสานทหารมีความกว้างพอสมควร
และมีการจัดระเบียบจนดูสะอาดสวยงาม
บริเวณด้านตรงกลางของสุสานทหารที่กรุงมะนิลา
จะมีเหมือนกันอนุสาวรีย์ซึ่งมีความเกี่ยวกับทางการทหาร
แผนผังการสู้รบในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
.ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 -20 มิถุนายน 1944
รายชื่อทั้งหมดของนายทหารที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งจะมีการบอกยศ หน่วยที่สังกัด
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkmetalfootallTravel
1 มีนาคม 2567
EP.147 สวนไรซาล
ในช่วงนี้ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายๆท่านน่าจะมีความรู้สึกที่คล้ายๆกันนั่นก็คือ รู้สึกร้อนระอุกับสภาพอากาศของเมืองไทยในปัจจุบันเป็นอย่างมากนะครับซึ่งผมเองก็รู้สึกร้อนไม่ต่างอะไรจากท่านผู้อ่าน โดยในปีนี้มีข้อมูลที่บ่งชี้ว่าสภาพอากาศจะร้อนมากเป็นพิเศษโดยเฉพาะในพื้นที่ของทวีปเอเชียซึ่งไม่เฉพาะไทยที่ได้รับกระทบ แต่ยังมีชาติอื่นๆในทวีปเอเชียที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่ร้อนระอุแบบนี้อีกมากมาย
เมื่อเจออากาศร้อนผมก็เห็นผู้คนมากมายต่างก็สรรหาวิธีที่จะดับร้อน บางคนก็เลือกที่จะอาบน้ำบ่อยๆ บางคนก็เลือกที่จะไปเดินตากแอร์ในห้างสรรพสินค้า ส่วนบางคนก็เลือกที่จะไปหาจุดพักผ่อนในสวนสาธารณะ โดยในประเทศฟิลิปปินส์ก็ถือว่าเป็นประเทศที่ต้องประสบกับภาวะอากาศอันร้อนระอุยิ่งในเมืองหลวงอย่างกรุงมะนิลาที่เต็มไปด้วยความแออัดของผู้คน ทำให้หลายคนเลือกที่จะไปหาจุดผ่อนคลายซึ่งสิ่งที่สามารถตอบโจทย์ของพวกเขาได้นั่นก็คือ สวนสาธารณะ
สำหรับสวนสาธารณะชื่อดังและมีขนาดใหญ่มากที่สุดในกรุงมะนิลาก็คือ สวนไรซาล ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 1913 เพื่อเป็นเกียรติและอุทิศให้แก่ โฮเซ่ ริซาล ซึ่งเป็นวีรบุรุษของชาติฟิลิปปินส์ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการต่อต้านสเปนและมีเป้าหมายในการปลดแอกฟิลิปปินส์ให้หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของสเปน โดยถึงแม้ว่าเขาจะถูกประหารชีวิตแต่อีก 2 ปีต่อมาหลังการตายของเขา ฟิลิปปินส์ก็สามารถประกาศเอกราชได้เป็นผลสำเร็จ หลังจากที่ตกเป็นอาณานิคมของสเปนมายาวนานกว่า 350 ปี
ส่วนในยุคปัจจุบันของสวนไรซาลก็ได้กลายเป็นสวนสาธารณะแห่งชาติและในแต่ละวันจะมีผู้คนจำนวนมากเข้ามาทำกิจกรรมภายในสวนไรซาล ส่วนบรรยากาศจากการที่ผมไปเดินสำรวจมาก็พบว่าด้านภายในจะมีจุดของอนุสาวรีย์โฮเซ่ ริซาลตั้งอยู่บริเวณจุดทางเข้าด้านหน้าอย่างโดดเด่น รวมไปถึงธงชาติฟิลิปปินส์ผืนใหญ่ที่แสดงถึงการประกาศอิสรภาพจากสหรัฐอเมริกาในปี 1941 ส่วนจุดอื่นๆก็จะมีรูปปั้นของบุคคลสำคัญของทางฟิลิปปินส์ตั้งเรียงรายต่อกันและกิจกรรมที่สามารถพบเห็นได้ในทุกวัน คือ น้ำพุเริงระบำซึ่งในตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟแสงสีสวยงาม ส่วนในทุกๆวันอาทิตย์จะมีการแสดงมินิคอนเสิร์ตซึ่งสร้างความเพลิดเพลินให้แก่ผู้คนได้เป็นอย่างดี
สวนไรซาล คือ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ของกรุงมะนิลา
โดยด้านหน้าจะมีรูปปั้นของ โฮเซ่ ริซาล ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น
และในทุกๆวันจะมีผู้คนมาทำกิจกรรมกันอย่างมากมาย
บรรยากาศในช่วงเย็นของสวนไรซาล
จะเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก
ช่วงเย็นที่ผมได้ลงพื้นที่สำรวจก็จะเจอผู้คนมากมาย
ซึ่งมีทั้งมานั่งพูดคุยและมาวิ่งออกกำลังกาย
น้ำพุเริงระบำ คือ หนึ่งในไฮไลท์เด็ดของสวนไรซาล
ซึ่งยามค่ำคืนจะมีการเปิดไฟแสงสีสวยงาม
โดยกลุ่มผู้เล่นก็มักจะเป็นกลุ่มผู้ชายวัยกลางคน
บริเวณด้านหน้าตรงอนุสาวรีย์โฮเซ่ ริซาล
จะเป็นจุดที่หลายคนมักจะนิยมมาถ่ายรูปกัน
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
3 พฤษภาคม 2567
EP.159 พิพิธภัณฑ์คลาร์ก
ผมไปเที่ยวฟิลิปปินส์ครั้งแรกก็ตอนเดือนเมษายนของปี 2566 ซึ่งนั่นก็คือการไปเยือนดินแดนตากาล็อกครั้งแรกและครั้งเดียวของผม โดยผมเน้นเที่ยวตรงพื้นที่เกาะลูซอนและได้ไปเยือนเมืองหลวงอย่างกรุงมะนิลา รวมไปถึงจังหวัดปัมปังงาซึ่งเป็นที่ตั้งของ แองเจเลส ซิตี้ โดยในอดีตพื้นที่แห่นี้เคยเป็นที่ตั้งของกองทัพอากาศของสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยถึงแม้ว่าปัจจุบันจะไม่ได้มีกองทัพของอเมริกาตั้งฐานทัพอีกต่อไปแล้ว แต่กลิ่นอายและบรรยากาศรวมถึงหลักฐานที่กองทัพอากาศของสหรัฐอเมริกาทิ้งเอาไว้ก็ยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่อย่างมากมาย
โดยหนึ่งในข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีก็คือ พิพิธภัณฑ์คลาร์ก ซึ่งถือว่าเป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งข้อมูลที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์จากยุคสมัยที่กองทัพอากาศสหรัฐฯมาตั้งฐานทัพในประเทศฟิลิปปินส์ โดยที่พิพิธภัณฑ์คลาร์กจะมีโซนจัดแสดงทั้งในส่วนของพิพิธภัณฑ์รวมไปถึงห้องแสดงแบบ 4 มิติซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มนั่นทำให้ผมเลือกชมเฉพาะในส่วนของพิพิธภัณฑ์ซึ่งราคาค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 100 เปโซต่อคนซึ่งตีเป็นเงินไทยก็ตกที่ประมาณ 60 บาท
ส่วนบรรยากาศด้านภายในของพิพิธภัณฑ์ก็จะมีจุดจัดแสดงอยู่หลายโซนทั้งเรื่องราวของประวัติการตั้งฐานทัพของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาที่เคยใช้พื้นที่ของจังหวัดปัมปังงาเป็นฐานทัพสำคัญในการรบบนสมรภูมิทะเลแปซิฟิก นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีโซนอื่นๆที่น่าสนใจอีกมากมายทั้งเรื่องราวการปะทุของภูเขาไฟในประเทศฟิลิปปินส์ เรื่องของประเพณีและวัฒนธรรมของชาวฟิลิปปินส์ เรื่องราวของภูมิศาสตร์และระบบเชิงนิเวศวิทยาไปจนถึงงานเทศกาลต่างๆซึ่งทุกโซนล้วนแต่มีความน่าสนใจและเสริมสร้างความรู้ให้แก่ผู้เข้าชมได้เป็นอย่างดี
พิพิธภัณฑ์คลาร์ก ตั้งอยู่ในจังหวัดปัมปังงาในประเทศฟิลิปปินส์
โดยมีค่าเข้าชมอยู่ที่คนละ 100 เปโซหรือประมาณ 60 บาท
พื้นที่ของจังหวัดปัมปังงาเคยเป็นฐานทัพของกองทัพอากาศ
สหรัฐอเมริกา ทำให้มีเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องบินมากพอสมควร
ชุดแต่งกายของทหารอากาศชาวอเมริกัน
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ภาพสีขาวดำซึ่งบอกเล่าเรื่องราวในสมัยอดีต
ซึ่งกองทัพอากาศสหรัฐฯมาใช้พื้นที่จังหวัดปัมปังงาเป็นฐานทัพ
นอกจากเรื่องราวของกองทัพอากาศสหรัฐฯแล้ว
ก็ยังมีโซนอื่นๆที่น่าสนใจอย่างภาพนี้เป็นเรื่องราวของแฟชั่นเสื้อผ้า
ภาพนี้แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวฟิลิปปินส์
ซึ่งก็คือ งานฝีมือประเภทการปั้นหม้อภาชนะต่างๆ
อาวุธยุทโธปกรณ์ที่เคยถูกใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
พิธีการแต่งงานของชาวฟิลิปปินส์ซึ่งจะเป็นไปตามหลัก
ศาสนาคริสต์ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ
โซนนี้จัดแสดงเรื่องราวของธรณีวิทยา
โดยจะมีพวกหิน แร่ธาตุและวัตถุโบราณที่ถูกค้นพบมานานหลายปี
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
18 กรกฎาคม 2567
EP.174 เดินสำรวจบรรยากาศ
ย่านไชน่าทาวน์ของกรุงมะนิลา
ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลกโดยเพิ่งโดนอินเดียแซงหน้าไปเมื่อไม่นานเท่าไหร่ โดยความหนาแน่นของประชากรทำให้คนจีนบางส่วนตัดสินใจทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดและย้ายไปตั้งรกรากยังต่างประเทศ โดยที่คนจีนก็ไม่ได้ไปกระจุกกันอยู่ในประเทศเดียว แต่ได้เดินทางไปยังหลายประเทศทั่วโลกและไปตั้งรกรากสร้างเนื้อสร้างตัวในดินแดนใหม่ซึ่งเมื่อมีคนจีนหลายคนไปอยู่รวมกัน ทำให้พวกเขาได้สร้างชุมชนชาวจีนขึ้นมาซึ่งจะถูกเรียกกันว่า ไชน่าทาวน์
ปัจจุบันย่านไชน่าทาวน์มีให้เห็นกันอยู่แทบจะทุกที่ทั่วโลกซึ่งย่านชุมชนชาวจีนนี้ก็จะสามารถพบเห็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมที่เสนอความเป็นจีนให้ผู้ที่ผ่านสัญจรไปมาได้เห็นกัน สำหรับในเมืองไทยย่านไชน่าทาวน์ที่มีชื่อเสียงก็จะตั้งอยู่ในแถบเยาวราช ขณะที่ในประเทศฟิลิปปินส์เพื่อนบ้านอาเซียนของไทยก็มีย่านไชน่าทาวน์ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงมะนิลาโดยจะตั้งอยู่ใกล้ๆเขตดิวิซอเรียซึ่งผมได้มีโอกาสไปสำรวจบรรยากาศมาเมื่อตอนปี 2023
สำหรับบรรยากาศในย่านไชน่าทาวน์ของกรุงมะนิลา ผมได้ไปสำรวจพื้นที่ในช่วงค่ำคืนและอยากจะรู้ว่าจะมีความคึกคักเหมือนกับแถวเยาวราชในกรุงเทพฯของบ้านเราหรือเปล่า แต่ปรากฎว่าสิ่งที่ผมได้เห็นก็คือ บรรยากาศที่ดูค่อนข้างเงียบและไม่ค่อยคึกคักมากเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีผู้คนบางส่วนมาเดินเพื่อรับประทานอาหาร ซื้อของกิน โดยในย่านไชน่าทาวน์ที่กรุงมะนิลาก็มีร้านอาหารจีนซึ่งเป็นที่นิยมของคนท้องถิ่นรวมไปถึงร้านค้าที่มีชื่อเสียงซึ่งมีผู้คนมาต่อคิวซื้อของกันและจุดของโคมสีแดงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นจีนและมักจะตั้งอยู่ในย่านไชน่าทาวน์ของทุกๆประเทศ
ที่ผมได้ไปสำรวจบรรยากาศมาเมื่อปี 2023
ผมเริ่มเดินสำรวจบรรยากาศในช่วงเวลาเย็น
และต่อเนื่องไปถึงช่วงเวลายามค่ำคืน
ร้านอาหารจีนในย่านไชน่าทาวน์มีอยู่หลายร้าน
ซึ่งมีทั้งแบบร้านสไตล์หรูหราและสไตล์บ้านๆทั่วไป
ร้านนี้เป็นร้านชื่อดังถึงขนาดสื่อดังอย่าง CNN เคยมาทำข่าว
ทำให้มีผู้คนมาต่อแถวซื้อของกันอย่างมากมาย
ซึ่งแตกต่างจากย่านเยาวราชของบ้านเราอย่างชัดเจน
ลานน้ำพุในย่านไชน่าทาวน์ในช่วงค่ำคืนจะเปิดไฟแสงสีสวยงาม
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
18 พฤศจิกายน 2567
EP.177 โบสถ์ซานอากุสติน
ฟิลิปปินส์เป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่นับถือศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติซึ่งนั่นก็ทำให้สามารถพบเห็นโบสถ์คริสต์ได้อย่างมากมายในประเทศฟิลิปปินส์ โดยหนึ่งในโบสถ์ที่มีชื่อเสียงของประเทศก็คือ โบสถ์ซานอากุสติน ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงมะนิลานอกจากนั้นยังเป็น 1 ใน 4 โบสถ์สไตล์บาโรก แต่สำหรับโบสถ์ซานอากุสตินที่นี่จัดได้ว่าเป็นโบสถ์คริสต์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศ เนื่องจากว่าได้ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโกเมื่อตอนปี 2003
ผมไปเที่ยวที่กรุงมะนิลาเมื่อตอนเดือนเมษายนของปี 2023 และก็ได้ไปเที่ยวชมโบสถ์ซานอากุสตินมาเช่นเดียวกันซึ่งโบสถ์ซานอากุสตินจะตั้งอยู่ในพื้นที่ของโซนเมืองเก่าอินทรามูรอส โดยวันที่ผมไปก็ตรงกับช่วงที่มีพิธีการแต่งงานภายในโบสถ์พอดิบพอดี ทำให้บรรยากาศดูค่อนข้างคึกคักและมีสีสันซึ่งผมก็ได้เห็นพิธีการแต่งงานตามหลักชาวคริสต์ซึ่งแม้ว่าจะเห็นเพียงเล็กน้อยและมาในฐานะแขกที่ไม่ได้รับเชิญ แต่ก็รู้สึกยินดีกับคู่บ่าวสาวในงานมงคลครั้งนี้ไปด้วย
หลังจากชมพิธีการแต่งงานเสร็จสิ้นแล้ว ผมก็เดินสำรวจบรรยากาศของโบสถ์ซานอากุสตินรวมไปถึงจุดของพิพิธภัณฑ์ซึ่งจะตั้งอยู่ติดกัน สำหรับประวัติของโบสถ์ซานอากุสตินก็จัดว่าเป็นโบสถ์คริสต์แห่งแรกที่สร้างขึ้นบนเกาะลูซอนในช่วงที่สเปนเป็นเจ้าอาณานิคมของฟิลิปปินส์ โดยตัวโบสถ์ถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมยุโรปแบบบาโรกและตัวโครงสร้างมีความวิจิตรตระการตาซึ่งเน้นแสงเงาให้ตัดกันซึ่งเป็นการปรับให้เข้ากับสภาพอากาศในฟิลิปปินส์
โดยจุดของตัวโบสถ์ที่ผมได้เห็นกับตาต้องถือว่ามีความงดงามยิ่งนักจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงได้ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก ขณะที่ในจุดของพิพิธภัณฑ์ก็จะเป็นการนำเสนอเรื่องราวของศาสนาคริสต์ซึ่งจะมีทั้งเรื่องราวประวัติของพระเยซู สถาปัตยกรรมและความเชื่อต่างๆของศาสนาคริสต์ซึ่งจะได้เห็นทั้งภาพวาด รูปปั้นต่างๆ ภาพของนักบุญและนักบวชคำสำคัญรวมไปถึงภาพแกะสลักจากไม้ โดยในช่วงที่ผมไปดันเป็นช่วงหน้าร้อนระอุแบบสุดๆของฟิลิปปินส์ซึ่งถ้าใครอยากมาเที่ยวชม ผมแนะนำว่าควรมาสักช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศดีและไม่ร้อนจนเกินไป ทำให้สามารถเที่ยวชมได้แบบสบายๆ
โบสถ์ซานอากุสตินเป็นโบสถ์คริสต์ที่มีชื่อเสียงของฟิลิปปินส์
โดยตั้งอยู่ในกรุงมะนิลาซึ่งเป็นเมืองหลวง
โบสถ์ซานอากุสตินถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาโรก
ซึ่งด้านภายในมีความวิจิตรและงดงามเป็นอย่างมาก
วันที่ผมไปเที่ยวก็เป็นช่วงที่มีการจัดพิธีแต่งงานพอดี
ทำให้ผมได้ร่วมงานในฐานะแขกที่ไม่ได้ถูกรับเชิญ
หลังจากนั้นผมก็เดินมายังพิพิธภัณฑ์
ซึ่งจะตั้งอยู่ติดกันและภายในมีสิ่งที่น่าสนใจให้ชมมากมาย
โดยมีทั้งภาพวาดและรูปปั้นต่างๆ
จุดของรายชื่อผู้เสียชีวิตซึ่งก็จะเป็นพวกนักบุญและนักบวช
เรือสำเภาซึ่งเป็นยานพาหนะสำคัญในสมัยอดีต
ซึ่งพวกนักบวชเดินทางด้วยเรือสำเภาเพื่อมาเผยแผ่ศาสนา
ภาพอาหารมื้อสุดท้ายหรือ The Last Supper
ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่พระเยซูจะถูกนำไปตรึงกับไม้กางเขน
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
7 ธันวาคม 2567
EP.184 ตลาดกลางคืนบานาเว
ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีเกาะอยู่หลากหลายแห่งโดยสำหรับกรุงมะนิลาซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศก็ตั้งอยู่บนเกาะลูซอน โดยพื้นที่บนเกาะลูซอนก็มีเมืองต่างๆอยู่มากมายซึ่งมีเอกลักษณ์และมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยในช่วงเดือนเมษายนของปี 2023 ผมได้ไปเที่ยวฟิลิปปินส์เป็นครั้งแรกในชีวิตและเลือกเที่ยวอยู่บนเกาะลูซอนซึ่งเมืองที่ผมได้ไปท่องเที่ยวก็มีทั้งมะนิลา บานาเวรวมไปถึงแองเจเลสซิตี้
สำหรับเมืองบานาเวก็ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะลูซอนและอยู่ห่างจากกรุงมะนิลาเกือบ 10 ชั่วโมงโดยที่ผมได้นั่งรถบัสตอนกลางคืนและไปถึงบานาเวก็เป็นช่วงเช้าตรู่ สำหรับสถานที่ที่เป็นไฮไลท์ของการมาที่บานาเวก็คือ นาขั้นบันไดบานาเว ซึ่งผมก็ได้ไปชมมาเมื่อตอนช่วงกลางวัน ขณะที่ในช่วงกลางคืนผมได้ไปเดินเที่ยวชมบรรยากาศใจกลางเมืองซึ่งมีตลาดกลางคืนให้ได้ชมกัน
สำหรับตลาดกลางคืนของที่เมืองบานาเวก็มีลักษณะที่ไม่แตกต่างจากตลาดท้องถิ่นอื่นๆของหลายประเทศ โดยสินค้าที่ขายกันส่วนใหญ่จะเน้นไปทางของกินซึ่งด้วยความที่อากาศของบานาเวค่อนข้างที่จะหนาวเย็นในช่วงกลางคืนทำให้ของกินที่นี่มักจะขายเป็นพวกของทอดของย่างและของที่ทานกันแบบร้อนๆอย่างเช่น ข้าวโพดย่าง ไก่ย่าง หมูทอดและยังมีเมนูของกินประจำชาติของฟิลิปปินส์อีกมากมาย นอกจากนั้นยังมีสินค้าพวกเสื้อผ้าขายเช่นกันรวมทั้งยังมีการแสดงรอบกองไฟของชนเผ่าอิฟูเกาซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองในบานาเวซึ่งกิจกรรมนี้เป็นไฮไลท์สำคัญและมีผู้คนจำนวนมากที่มารอชมการแสดงรอบกองไฟอันน่าตื่นตาตื่นใจ
โดยเป็นตลาดท้องถิ่นที่เน้นขายพวกของกินเป็นหลัก
ของกินที่ขายส่วนใหญ่จะเป็นพวกของทอดของย่าง
โดยเมนูอย่างข้าวโพดย่างค่อนข้างจะขายดี
นอกจากนั้นก็ยังมีพวกผลไม้ต่างๆวางขายเช่นกัน
สินค้าแฮนด์เมดซึ่งมีทั้งเสื้อ กระเป๋า ผ้าพันคอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น