EP.15 สตรีทอาร์ตเมืองโกตาบารู
ถ้าพูดถึง สตรีทอาร์ต คำๆนี้ก็คือ ภาพศิลปะที่ถูกวาดหรือพ่นลงไปตามกำแพงข้างถนนหรือตามตึกอาคารต่างๆ แม้ว่าจะยังมีคนมองว่ามันดูเป็นอะไรที่เลอะเทอะหรือสกปรก แต่ก็ยังมีหลากหลายคนที่มองว่ามันคือความสร้างสรรค์และเป็นศิลปะที่สวยงาม ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ชื่นชอบภาพแนวสตรีทอาร์ตพวกนี้อย่างมาก เวลาเดินผ่านภาพพวกนี้ตามสถานที่ต่างๆก็มักจะหยุดแวะถ่ายรูปอยู่เป็นประจำ โดยสตรีทอาร์ตในปัจจุบันได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากฝรั่งชาวตะวันตกที่ได้ใช้พื้นที่ตึกหรือกำแพงเก่าๆที่ดูรกร้าง ก่อนจะค่อยๆแปรเปลี่ยนสภาพโดยการนำสีมาวาดบนกำแพงหรือใช้สเปรย์พ่นกำแพง โดยทำออกมาในภาพหลากหลายแนวซึ่งล้วนแต่มีความสวยงามแทบทั้งนั้น
ขณะที่เมืองไทยนั้นก็มีสตรีทอาร์ตมากหมายหลายแห่ง หลายที่หลายจังหวัดนำภาพสตรีทอาร์ตมาเป็นจุดขายจนกลายเป็นจุดเช็คอินหรือแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ไปโดยปริยาย ขณะที่เพื่อนบ้านของไทยทางตอนใต้อย่างประเทศมาเลเซียก็มีภาพสตรีทอาร์ตเท่ห์ๆสวยๆและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศ โดยสตรีทอาร์ตที่ดังๆในมาเลเซียจะอยู่ที่เมืองท่องเที่ยวอย่าง ปีนังหรือแม้กระทั่งอิโปห์ แต่เมื่อประมาณ 2 ปีก่อนผมได้มีโอกาสไปเที่ยวที่เมืองโกตาบารู เมืองนี้อาจจะไม่ใช่เมืองที่คุ้นหูแก่นักท่องเที่ยวมากเท่าไหร่นักรวมถึงชาวไทยเองก็อาจไมคุ้นหูเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นคนไทยที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนภาคใต้ก็อาจจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะเมืองโกตาบารูเป็นเมืองที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทยทางด่านสุไหงโกลกของจังหวัดนราธิวาสและเป็นเมืองหลวงของรัฐกลันตัน โดยในอดีตนั้นพื้นที่ของรัฐกลันตันเคยเป็นส่วนหนึ่งของไทย แต่ภายหลังถูกแบ่งแยกออกไปกลายเป็นดินแดนของมาเลเซีย ปัจจุบันก็ยังคงมีคนไทยพลัดถิ่นอาศัยในโกตาบารูอยู่หลากหลายชีวิต ซึ่งพวกเขาสามารถพูดไทยได้และนับถือศาสนาพุทธแถมมีเอกลักษณ์วัฒนธรรมแบบไทยๆที่พอให้เห็นอยู่ซึ่งหากผมได้มีโอกาสกลับไปที่โกตาบารู ผมจะหาโอกาสไปพบปะกับคนไทยพลัดถิ่นที่อาศัยอยู่ในเมืองโกตาบารูอย่างแน่นอน
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในโกตาบารูนั้นส่วนมากจะเน้นพวกเกี่ยวกับศิลปะและวัฒนธรรมเสียมากกว่าพวกสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ผมได้มีโอกาสเดินสำรวจเมืองซึ่งจุดที่ไม่ไกลจากที่พักนักจะมีส่วนที่เป็นซอกตึกขนาดกว้างพอเหมาะ ผมตัดสินใจเดินเข้าไปดูก็พบว่าบนกำแพงนั้นมีภาพสตรีทอาร์ตเป็นจำนวนมากซึ่งภาพส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับศิลปะวัฒนธรรมของชาวมลายู รวมถึงวัฒนธรรมของชาวอาหรับที่อาํศัยแถบตะวันออกกลางซึ่งมาเลเซียเป็นประเทศมุสลิม ทำให้ภาพต่างๆจะสื่อถึงความเป็นมุสลิมได้ออกมาอย่างเข้มข้น นอกจากนี้ยังมีภาพที่บอกถึงการสนับสนุนปาเลสไตน์และต่อต้านกระทำของอิสราเอล ปัจจุบันนั้นนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลจึงไม่สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวในมาเลเซียได้ด้วยเหตุผลทั้งด้านการเมืองและศาสนา นอกจากนั้นแล้วก็มีภาพของผู้หญิงมุสลิมที่สวมผ้าคลุมศรีษะอย่าง ฮิญาบ หรือแม้กระทั่งการทำผ้าบาติก ซึ่งภาพส่วนใหญ่นั้นก็ได้รับความร่วมมือจากทางด้านกราฟฟิตี้ฝีมือดีและภาครัฐที่สนับสนุนให้พื้นที่เล็กๆเป็นจุดท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโกตาบารู
สตรีทอาร์ตแห่งโกตาบารู
ทางเข้าด้านหน้า
ภาพผู้หญิงและเด็กๆที่เป็นชาวมุสลิม
ภาพอูฐสัตว์ประจำผืนทะเลทราย
บริเวณพื้นถนนทำเป็นรูปพรม
การละเล่นสไตล์พื้นเมืองของชาวมุสลิม
ภาพสวดขอพรจากพระอัลเลาะห์
ภาพของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายในสงคราม
ภาพสงครามการสู้รบ
ผู้ได้รับบาดเจ็บในสงคราม
ภาพบทสวดเป็นภาษามลายู ผมอ่านไม่ออก
ภาพที่สื่อถึงความโหดร้ายของสงคราม
ภาพผู้หญิงมุสลิมสวมฮิญาบ
ภาพการทำผ้าบาติก
ภาพเท่ห์ๆเกี่ยวกับมนุษย์อวกาศ
ภาพแม่และเด็ก
ใกล้ๆกันจะมีร้านขายเสื้อผ้า
ส่วนใหญ่เป็นเสื้อสไตล์มุสลิม
มีร้านขายของกินเป็นพวกขนมและอาหารแห้ง
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
9 มีนาคม 2564
EP.22 สระน้ำพม่า
เห็นจากชื่อหัวข้อเรื่องผู้อ่านทุกท่านก็อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าผมจะมาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศพม่า แต่สำหรับสระน้ำพม่าที่ผมเกริ่นตั้งเป็นหัวข้อขึ้นมาเป็นเรื่องราวของสถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ในเมืองไทปิงของประเทศมาเลเซีย โดยเมืองไทปิงเป็นเมืองหนึ่งในรัฐเปรัก คนไทยหลายๆคนอาจไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่ ผมเองก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนแต่ผมมักมีปณิธานที่ตั้งเอาไว้เวลาเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศนั่นก็คือ การไปเที่ยวในเมืองแปลกๆเมืองใหม่ที่ไม่คุ้นเคยเพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมของท้องถิ่น เพราะเมืองที่คนไม่ค่อยเที่ยวมักจะยังเต็มไปด้วยวัฒนธรรมหรือกลิ่นอายความเป็นท้องถิ่นอยู่เต็มเปี่ยม ทำให้สามารถซึมซับความเป็นท้องถิ่นได้แบบเต็มๆ
ผมมาเที่ยวที่เมืองไทปิงอยู่แค่ 2-3 วันแต่ระยะเวลาสั้นๆผมก็ได้ไปเที่ยวหลากหลายเพราะสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่นักและก็สามารถเดินไปได้ สถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่ผมได้ไปนั่นก็คือ สระน้ำพม่า จริงๆแล้วเป็นชื่อที่ผมเรียกเอาเองเพราะอิงตามภาษาอังกฤษที่เขียนไว้ว่า Burmese Pool ส่วนที่เขาเรียกกันแบบนี้ก็มีประวัติเขียนเอาไว้บริเวณด้านหน้าทางเข้าสระน้ำซึ่งเขาว่ากันว่า ในยุคของสงครามได้มีกลุ่มทหารพม่าจำนวนหนึ่งเป็นผู้ที่พบเจอสระน้ำแห่งนี้และได้ใช้พื้นที่บริเวณของสระน้ำในการปักหลักตั้งเป็นค่ายเล็กๆแต่ก็อยู่ได้ไม่นานนักเนื่องจากเหตุของสงครามจึงต้องหนีจากการตามล่าของฝ่ายตรงข้ามทำให้สระน้ำแห่งนี้ถูกทิ้งร้างไปเป็นเวลาหลายปี แต่ในที่สุดก็มีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาดูแลรวมทั้งมีการปรับปรุงพื้นที่พัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวจนมาถึงยุคปัจจุบัน
โดยสระน้ำพม่าที่เมืองไทปิงในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวกันเป็นจำนวนมากทั้งในวันหยุดรวมถึงวันธรรมดาก็มีนักท่องเที่ยวมากันมากมาย โดยบรรยากาศจะเป็นการท่องเที่ยวสไตล์แบบครอบครัวและเท่าที่ผมสังเกตุจะเป็นกลุ่มคนเชื้อสายมลายูที่จะเป็นนักท่องเที่ยวหลัก ส่วนกลุ่มมาเลย์เชื้อสายจีนนั้นแทบไม่มีเท่าไหร่นักที่สำคัญที่ทำให้มีคนมาเที่ยวเยอะ ผมว่าเพราะสระน้ำพม่าไม่มีการเก็บเงินค่าเข้าแถมอยู่ไม่ไกลจากบริเวณใจกลางเมืองทำให้เดินทางสะดวกสบาย ถ้าไม่มีรถก็เดินมาแบบผมก็สามารถทำได้เช่นกัน หากต้องการลงเล่นน้ำแต่ไม่มีชุดตรงบริเวณทางเข้าด้านหน้าเขาก็มีชุดเล่นน้ำ ห่วงยางคอยจำหน่ายอยู่และแม้ว่าจะไม่ใช่สระน้ำที่สวยหรือมีขนาดกว้างใหญ่แต่ก็ถือว่าได้รับความนิยมจากชาวเมืองไทปิงพอสมควร ยิ่งอากาศร้อนๆแบบนี้การได้ลงเล่นน้ำในสระน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแบบนี้ ผมว่ามันช่วยดับร้อนได้ดีจริงๆ
สระน้ำพม่าที่เมืองไทปิง ประเทศมาเลเซีย
ป้ายบอกทาง
ภาษาอังกฤษเรียกกันว่า Burmese Pool
ร้านขายของอุปกรณ์ในการเล่นน้ำ
ทางเดินภายในพื้นที่ของสระน้ำ
ผมไปเที่ยววันธรรมดา
แต่เจอนักท่องเที่ยวมากันอยู่เยอะพอสมควร
มองเห็นน้ำใสไหลผ่านแล้วก็รู้สึกสดชื่น
ผมมานั่งอยู่ด้านล่างบริเวณโขดหิน
มองไปด้านบนเห็นมีนักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
3 เมษายน 2564
EP.28 ถนนคนเดินมะละกา
ทุกวันนี้คำว่า ถนนคนเดิน ต่างก็เป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นกันได้ทั่วไปซึ่งในเมืองไทยก็มีถนนคนเดินในหลากหลายที่และหลากหลายจังหวัดซึ่งก็ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆทั่วโลก โดยหนึ่งในถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงโด่งดังไกลไประดับโลกก็คงหนีไม่พ้น ถนนคนเดินในประเทศมาเลเซีย โดยถนนคนเดินแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองมะละกาซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของมาเลเซียเลยทีเดียว โดยในอดีตนั้นมะละกาจัดว่าเป็นเมืองท่าที่สำคัญในการขนส่งสินค้าซึ่งแต่เดิมนั้นก็จะมีบรรดาชาติมหาอำนาจในยุโรปที่เป็นชาติล่าอาณานิคมเป็นเจ้าของพื้นที่อย่างเช่นพวกดัตช์ จนเมื่อมาเลเซียได้รับเอกราชก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเมืองมะละกาไปด้วยและลดความสำคัญในการคมนาคมทางเรือลงไปและให้ความสำคัญในการพัฒนาเมืองจนกลายเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมพอๆกับ กัวลาลัมเปอร์หรือปีนัง
ผมมาเที่ยวและได้พักที่มะละกาอยู่ประมาณ 3 วัน 2 คืนโดยช่วงที่ไปพักก็ตรงกับช่วงสุดสัปดาห์พอดีซึ่งในทุกสุดสัปดาห์เริ่มตั้งแต่วันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ที่มะละกาจะมีการปิดถนนตรงช่วง Jalan Hang Jebat และทำให้กลายเป็นถนนคนเดิน สำหรับวันศุกร์นั้นจะเริ่มกันประมาณช่วงเย็นๆ แต่ถ้าเป็นเสาร์อาทิตย์ก็จะเริ่มมีของมาวางขายตั้งแต่ตอนช่วงบ่ายกันเลยทีเดียว สำหรับของที่นำมาขายส่วนใหญ่เลยก็คือของกินซึ่งก็มีมากมายหลากหลายให้เลือกสรรเรียกได้ว่าถูกใจสายกินอย่างแน่นอน ส่วนที่ผมเห็นรองลงมาก็จะเป็นพวกของกิ๊ฟช็อปงานฝีมือต่างๆและที่ผมสังเกตุเห็นได้อีกอย่างหนึ่งคือ ถนนคนเดินในมะละกากลุ่มพวกพ่อค้าแม่ค้าจะเป็นคนมาเลย์เชื้อสายจีนล้วนๆแทบไม่มีกลุ่มชาวมาเลย์เชื้อสายมลายูเลย ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในมาเลเซียถึงแม้จะมีการรวมกันของ 3 เชื้อชาติคือ ชาวมลายูที่เป็นมุสลิม คนเชื้อสายจีนและกลุ่มคนเชื้อสายทมิฬซึ่งมาจากทางอินเดีย แต่พวกเขาก็จะแยกกันอยู่แบบชัดเจนไม่ค่อยมารวมกลุ่มกันเท่าไหร่นักเรียกได้ว่ากลุ่มใครกลุ่มมันและในมาเลย์เองก็ยังคงมีนโยบายภูมิบุตรที่ให้อภิสิทธิ์แก่ชาวมลายูมากกว่าคนเชื้อชาติอื่นๆอยู่พอสมควร
ขณะที่ถนนคนเดินที่มะละกาเขาจะมีชื่อเรียกว่า ถนนยองเกอร์ สำหรับที่มาที่ไปของชื่อถนนผมก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรมากนัก แต่ในช่วงสุดสัปดาห์ถนนสายนี้จะมีความคึกคักเป็นอย่างมากและจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนมากก็จะเป็นชาวต่างชาติ ของกินก็ละลานตาเต็มไปหมดมีร้านอาหารให้คนได้มานั่งทาน ของคาวของหวานต่างๆแต่ที่เป็นทีเด็ดคงหนีไม่พ้น น้ำมะม่วงปั่น ซึ่งเขาจะใช้มะม่วงแบบสดๆไม่มีการผสมน้ำตาล ส่วนน้ำมะพร้าวก็เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมรองลงมา ส่วนบริเวณด้านหน้าถ้าหากเดินมาจากทางโบสถ์ดัตช์ก็จะเห็นร้าน Hardrock Cafe ซึ่งเป็นคาเฟ่สุดแนวที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศและจะมีพวกบรรดารถสามล้อรับจ้างจอดคอยให้บริการแก่นักท่องเที่ยวซึ่งสามล้อที่มะละกาเขาจะมีเอกลักษณ์ที่ดึงดูดให้คนต้องเหลียวมองนั่นก็คือการประดับตกแต่งให้เป็นลวดลายที่มีสีสันไม่ว่าจะเป็นลายการ์ตูน แต่หลายๆคันที่ผมเห็นเขาจะตกแต่งให้เป็นสีชมพูรวมทั้งการเปิดเพลงแดนซ์มันส์ๆที่คอยสร้างบรรยากาศความคึกคักให้แก่ถนนคนเดินแห่งเมืองมะละกาได้เป็นอย่างดี
ถนนยองเกอร์ ถนนคนเดินแห่งมะละกา
รถสามล้อรับจ้างจอดบริเวณด้านหน้า
ถูกตกแต่งเป็นลายการ์ตูนและโทนสีชมพูสดใส
บรรยากาศจะเริ่มคึกคักตั้งแต่ช่วงเย็นไปจนถึงค่ำ
มีของขายมากมายทั้งของกิน ร้านขายเสื้อผ้า
และบริการเพนท์เล็บ
บรรยากาศในช่วงตอนหัวค่ำ
ร้านขายเกาลัด
ขนมจีบร้อนๆแถมสีสันก็น่าทานอย่างมาก
ใครที่อยากนั่งทานอาหารก็ไม่ต้องกังวล
เพราะมีร้านอาหารให้ได้นั่งทานอยู่หลายร้านเลยทีเดียว
ศิลปินเปิดหมวกเล่นดนตรีให้ได้ชมกัน ผมไปยืนดูสักพักเห็นว่าคุณคนนี้ฝีมือดีอยู่พอตัวเลย
น้ำมะม่วงปั่นสดๆ เมนูยอดนิยมแห่งถนนยองเกอร์
น้ำมะพร้าว เมนูที่ได้รับความนิยมรองจากน้ำมะม่วง
ผมเดินมาหาที่นั่งพักแถวโบสถ์ดัตช์
ช่วงกลางคืนจะได้เห็นลานน้ำพุที่ประดับไฟสวยงาม
รูปปั้น กานบุนเหลียง บิดาแห่งวงการเพาะกายมาเลเซีย
ทางเข้าสู่ถนนยองเกอร์
ซึ่งถนนคนเดินแห่งนี้เริ่มเปิดครั้งแรกเมื่อปี 2010
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
23 เมษายน 2564
EP.34 ตลาดเปกันราบู
ตลาดถือว่าเป็นแหล่งรวมสินค้าหลากหลายชนิดและเป็นจุดที่จะมีผู้คนจำนวนมากออกมาจับจ่ายสินค้าและเลือกซื้อสิ่งของที่ตนเองต้องการ สำหรับตลาดในปัจจุบันก็มีหลากหลายรูปแบบทั้งแบบกลางแจ้งหรือจะแบบในร่มที่อยู่ในอาคาร โดยเมื่อประมาณ 2 ปีก่อนผมไปเที่ยวที่มาเลเซียแต่ตอนไปในทริปนั้นเน้นการเที่ยวเมืองรองของมาเลเซียเป็นหลักซึ่งเมืองที่ผมได้มีโอกาสไปก็คือ เมืองอลอสตาร์ที่ตั้งอยู่ในรัฐเคดาห์ โดยเมืองนี้ตั้งอยู่ทางโซนตอนเหนือของมาเลเซียซึ่งการเดินทางมาที่อลอสตาร์เดี๋ยวนี้ก็สะดวกสบายสามารถเดินทางจากไทยด้วยรถไฟและไปถึงที่อลสตาร์ได้ทันที โดยใช้รถไฟ 2 ขบวนทั้งรถไฟสไตล์คลาสสิคแบบไทยและสไตล์ทันสมัยของมาเลเซียซึ่งด้วยการเดินทางที่ง่ายขึ้น ทำให้อลอสตาร์กลายเป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวที่นักท่องเที่ยวเริ่มนิยมไปกันมากขึ้น
สำหรับที่เที่ยวหลักๆในเมืองอลอสตาร์จะอยู่ไม่ไกลกันนักสามารถเดินเที่ยวชมได้แบบสบายๆทั้งหอคอยชมเมือง วัดนิโครธาราม บ้านเกิดมหาเธร์อดีตนายกของมาเลเซีย รวมถึงมัสยิดซาฮีร์ แต่อีกหนึ่งสถานที่ที่ผมอยากจะแนะนำให้ได้รู้จักกันก็คือ ตลาดเปกันราบู โดยตลาดแห่งนี้เป็นแหล่งขายสินค้ามากมายหลายชนิดในแต่ละวันมักจะมีชาวมาเลเซียมาเดินจับจ่ายซื้อของกันแทบตลอดวัน โดยตามประวัตินั้นแต่เดิมตลาดแห่งนี้เป็นเพียงแค่การแบกะดินขายของ คือ การนำผ้าหรือเสื่อมารองแล้วนำสินค้าวางขายกันเลยและบรรยากาศที่ขายกันนั้นก็จะเป็นพื้นที่โล่งแจ้งไม่มีหลังคากันแดดกันฝนใดๆทั้งสิ้น แต่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของตลาดเปกันราบูซึ่งเริ่มขายสินค้ากันในช่วงยุคทศวรรษที่ 1920s หรือเมื่อประมาณ 120 ปีที่แล้ว แต่หลังจากนั้นก็เริ่มมีการพัฒนารูปแบบของตัวตลาดและสินค้าก็มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น จากจุดเริ่มต้นที่ขายกันแบบแบกะดินก็ค่อยๆปรับปรุงพัฒนาเรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบันที่ตลาดเปกันราบูตั้งอยู่ภายในอาคารสีขาวดูทันสมัยทางเดินภายในก็ดูกว้างและรองรับจำนวนคนที่จะมาซื้อของได้ค่อนข้างพอสมควรเลยทีเดียว
ส่วนบรรยากาศด้านในจากที่ผมได้เดินดูก็พบว่า ตลาดเปกันราบู มีทั้งสิ้นประมาณ 6 ชั้นมีสินค้าให้เลือกซื้อค่อนข้างมากทั้งเสื้อผ้า อาหาร ของใช้ต่างๆนานา แต่ของที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นของในสไตล์แบบมุสลิม เสื้อผ้าทั้งผู้หญิงและผู้ชายก็จะเป็นรูปแบบตามหลักของศาสนาอิสลาม ของกินต่างๆก็จะเป็นของฮาลาลที่ไม่มีเนื้อหมูเป็นส่วนประกอบ นอกจากนั้นก็จุดของฟู้ดคอร์ทซึ่งจะอยู่ชั้นแรกโดยมีของกินหลากหลายทั้งข้าวราดแกง เมนูท้องถิ่นของมาเลเซียและอีกสิ่งหนึ่งที่พบสังเกตุเห็นได้คือเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่มาเดินซื้อของในตลาดเป็นคนมาเลย์ที่นับถือศาสนาอิสลาม ส่วนคนมาเลย์เชื้อสายจีนหรืออินเดียรวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติแทบจะไม่มีให้เห็น ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าสินค้าต่างๆเน้นในรูปแบบตามหลักศาสนาอิสลามเลยเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นชาวมุสลิมเป็นหลักนั่นเอง ส่วนวันเปิดปิดทำการนั้นจากที่ผมอ่านข้อมูลแต่เดิมเขาไม่ได้ขายทุกวัน แต่ปัจจุบันเปิดขายกันทุกวันโดยเริ่มขายกันตั้งแต่ช่วงสายๆประมาณ 9 โมงเช้าและขายไปจนถึงประมาณช่วงเกือบหัวค่ำ ผมใช้เวลาเดินสำรวจดูบรรยากาศของตลาดเปกันราบูจนทั่วตั้งแต่ชัั้นที่ 1 ไปจนถึงชั้นบนสุดก็ได้รับรู้อย่างหนึ่ง นี่คือตลาดแห่งความภาคภูมิใจของชาวมาเลย์ที่เป็นมุสลิมและเป็นหนึ่งในสถานที่ที่บ่งบอกและสามารถค้นหาความเป็นมุสลิมได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองอลอสตาร์
ตลาดเปกันราบู ตลาดที่เป็นความภาคภูมิใจของ
ชาวมุสลิมในเมืองอลอสตาร์
บรรยากาศด้านหน้าของตลาด
ปัจจุบันตั้งขายกันอยู่ในอาคารสีขาว
ภาพบอกเล่าเรื่องราวของตลาดเปกันราบู
ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงยุคปัจจุบัน
สินค้ายอดฮิตในตลาดก็คือ เสื้อผ้า
เสื้อผ้าผู้หญิงมุสลิม โดยผ้าคลุมศีรษะจะเรียกว่า ฮิญาบ
มีเสื้อผ้าผู้หญิงแล้วก็ต้องมีเสื้อผ้าของผู้ชายด้วยเช่นกัน
ร้านขายอาหารแห้งของสำเร็จรูปต่างๆ ส่วนมากจะขายอยู่บริเวณชั้น 4-5
พวกกระเป๋าและของที่ทำจากแฮนด์เมดก็มี ให้เลือกสรรอยู่เช่นเดียวกัน
ร้านขายหนังสือ ผมแค่ไปยืนดูแต่ไม่ได้ซื้อ เพราะเป็นภาษามาเลย์ล้วนๆอ่านไม่ออก
ชั้นล่างสุดจะเป็นศูนย์อาหาร
มีเมนูหลากหลายแต่ส่วนมากจะเป็น
อาหารประเภทฮาลาล
NASI ตามภาษามาเลย์แปลเป็นไทยก็คือ ข้าว
มีคนมานั่งทานอาหารกันอย่างมากมาย
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
11 พฤษภาคม 2564
EP.38 สุสานทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปีค.ศ. 1939 - 1945 โดยหลักๆจะเกิดเหตุการณ์การสู้รบอยู่ใน 2 ทวีปนั่นก็คือ ยุโรปและเอเชีย โดยการสู้รบจะเป็นการสู้กันระหว่าง 2 ฝ่ายคือฝ่ายสัมพันธมิตรมีแกนนำหลักๆก็คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ สหภาพโซเวียต ฝรั่งเศส ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายอักษะที่นำทัพโดย เยอรมัน อิตาลีและญี่ปุ่น สงครามกินเวลาร่วมๆราว 7 ปีก่อนที่จะยุติลงไปและชัยชนะก็เป็นของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่เมื่อมีสงครามแน่นอนว่าสิ่งที่หลีกหนีไม่พ้นก็คือเรื่องของความสูญเสีย ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มีบรรดาทหารล้มตายเป็นจำนวนมากทั้งจากฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ
เมื่อบรรดาทหารที่ไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียชีวิตลงไป ประเทศที่ส่งทหารไปร่วมรบก็มักจะมีการสร้างสุสานทหารเพื่อเป็นเกียรติให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตที่ยอมสละชีพเพื่อประเทศชาติอย่างในประเทศมาเลเซียที่ผมได้ไปเที่ยวเมื่อตอนปลายปี 2019 ซึ่งผมไปเที่ยวที่เมืองไทปิง แม้อาจจะชื่อไม่คุ้นหูคนไทยแต่เมืองไทปิงก็มีสุสานทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ได้ไปชมเช่นกัน โดยบรรยากาศของสุสานทหารที่เมืองไทปิงนั้นค่อนข้างเงียบสงบเลยทีเดียวและลักษณะก็จะค่อนข้างจะเล็ก ถ้าหากเทียบกับสุสานทหารดอนรักที่จังหวัดกาญจนบุรี ผมว่าสุสานทหารที่บ้านเรามีลักษณะกว้างขวางกว่ามาก ส่วนสุสานทหารในมาเลเซียจะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งซึ่งจะมีคนดูแลคอยตัดหญ้าอยู่ตลอดทำให้ทางเดินและพื้นที่ของสุสานค่อนข้างจะเป็นระเบียบสวยงาม นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมกันได้แบบสบายๆ
สุสานทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เมืองไทปิงก็จะเป็นทหารจากฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งจากมาเลเซีย อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และอังกฤษ ซึ่งในเวลานั้นประเทศเหล่านี้คือประเทศในเครือจักรภพ โดยภายในสุสานก็จะมีป้ายชื่อของทหารที่เสียชีวิตอยู่บริเวณป้ายสุสาน แต่บางป้ายก็ไม่มีชื่อแต่จะบอกยศและตำแหน่งของทหารผู้นั้นพร้อมกับสัญชาติว่ามาจากประเทศอะไร นอกจากจุดของสุสานแล้วก็จะมีในส่วนของไม้กางเขนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของศาสนาคริสต์ เพราะทหารที่เสียชีวิตนั้นส่วนใหญ่จะเป็นชาวคริสต์ นอกจากนั้นแล้วข้อมูลการท่องเที่ยวในเมืองไทปิงก็ได้แนะนำสุสานทหรสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรมาชมสักครั้งหากมาที่เมืองไทปิงซึ่งหากเข้าไปชมแล้วก็ควรที่จะให้เกียรติแก่ผู้เสียชีวิตด้วยการเข้าชมในกิริยาที่สำรวมและสุภาพ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ที่วายชนม์ไปแล้วนั่นเอง
สุสานทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
แห่งเมืองไทปิง ประเทศมาเลเซีย
พื้นที่ภายในสุสานค่อนข้างดูเป็นระเบียบ
ส่วนบรรยากาศก็ค่อนข้างเงียบสงบเลยทีเดียว
สุสานแห่งนี้จะเป็นบรรดาทหารฝ่ายสัมพันธมิตร
ทั้งจากมาเลเซีย อินเดีย อังกฤษ ออสเตรเลีย
บริเวณด้านหน้าของสุสานจะเขียนชื่อสถานที่
และช่วงปีที่เกิดเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2
ไม้กางเขนที่ตั้งอยู่ภายในสุสาน
สัญลักษณ์ที่สำคัญของศาสนาคริสต์
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
24 พฤษภาคม 2564
EP.55 รถบัสกลางคืนมาเลเซีย
การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะเป็นการเดินทางที่มีมาอย่างยาวนานและมีต่อเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางด้วยรถบัส เรือโดยสาร รถไฟรวมไปถึงเครื่องบินต่างก็เป็นตัวเลือกการเดินทางให้แก่ผู้โดยสาร ส่วนผมตั้งแต่ที่ออกเดินทางและหันมาเป็นแบคแพคเกอร์แบบเต็มตัวก็ทำให้ได้มีโอกาสใช้ระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น โดยขนส่งสาธารณะที่ได้มีโอกาสใช้บ่อยมากที่สุดก็คือ รถบัส ซึ่งแม้ว่าในเมืองไทยผมอาจจะไม่ได้มีโอกาสนั่งรถบัสมากนัก แต่ในต่างแดนผมได้มีโอกาสใช้การเดินทางด้วยรถบัสค่อนข้างบ่อยเลยทีเดียว
โดยทริปล่าสุดของผมก็คือการเดินทางไปที่ประเทศมาเลเซียซึ่งเป็นเพื่อนบ้านทางตอนใต้ของไทย การเดินทางในมาเลเซียถือว่าค่อนข้างครอบคลุมและสะดวกสบายครับไม่ว่าจะเดินทางด้วยรถบัส รถไฟหรือเครื่องบินก็มีให้บริการทั้งหมดแถมมาตรฐานการให้บริการก็อยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่คนมาเลเซียจะมีรถยนต์ส่วนตัวใช้กัน แต่ก็มีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่เดินทางด้วยขนส่งสาธารณะเป็นหลักซึ่งการเดินทางด้วยรถบัสก็เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมจากชาวมาเลเซียอยู่พอสมควร
สาเหตุที่การเดินทางด้วยรถบัสที่มาเลเซียได้รับความนิยมจากคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เพราะรถบัสของมาเลเซียค่อนข้างมีมาตรฐานดูสะอาดและที่สำคัญราคาไม่แพงแถมยังมีเส้นทางที่ครอบคลุมไปทั่วพื้นที่ของมาเลเซียในฝั่งตะวันตก ซึ่งทริปล่าสุดของผมคือไปเที่ยวมาเลเซียโดยผมข้ามพรมแดนตรงสุไหงโกลกไปยังรันเตาปันยังซึ่งตรงจุดนี้ก็มีสถานีขนส่งด้วย ผมไปถึงสถานีขนส่งรันเตาปันยังก็ช่วงเย็นๆ ตอนแรกว่าจะรอรถไปโกตาบารูแต่รถเมล์ไม่มี สุดท้ายก็เปลี่ยนแผนและซื้อตั๋วรถบัสไปยังเมืองกวนตัน
รถบัสจากรันเตาปันยังไปที่เมืองกวนตันราคาอยู่ที่ 55 ริงกิตตีเป็นเงินไทยก็ราวๆ 440 บาทใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบ 7 ชั่วโมง โดยรถบัสที่ผมนั่งไปออกช่วงเวลากลางคืนซึ่งจะมีทั้งรถบัสชั้นเดียวและรถบัส 2 ชั้น โดยคันที่ผมนั่งไปคือรถบัสชั้นเดียว ส่วนบรรยากาศบนรถถือว่าดูสะอาดใช้ได้ แอร์เย็นฉ่ำ เบาะที่นั่งสามารถปรับเอนได้โดยที่นั่งจะเป็นแบบนั่งคู่ทั้งหมด ส่วนที่ชาร์จแบตมือถืออาจจะมีหรือไม่มีก็ไม่ทราบได้เพราะผมก็ไม่ได้มองหาตรงจุดนี้เลย ซึ่งตอนแรกที่ผมนั่งออกจากรันเตาปันยัง ผู้โดยสารยังมีไม่มาก ตอนแรกก็คิดในใจว่าคงได้นั่งแบบสบายๆแต่ที่ไหนได้รถบัสมีจอดแวะรับผู้โดยสารไปเรื่อยๆตามสถานีต่างๆสุดท้ายที่นั่งก็เต็ม แต่ก็นี่แหละครับเสน่ห์ของการเดินทางในรูปแบบแบกเป้เที่ยวด้วยตนเองที่เราจะได้ซึมซับบรรยากาศต่างๆในแบบที่ไปกับทัวร์หาบรรยากาศแบบนี้ไม่ได้
รถบัสที่วิ่งตอนกลางคืนของประเทศมาเลเซีย
คันนี้คือคันที่ผมนั่งจากรันเตาปันยังไปที่เมืองกวนตัน
ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบ 7 ชั่วโมง
รถบัส 2 ชั้นก็มีให้บริการเช่นกัน โดยรถบัสระหว่างเมืองและระหว่างรัฐของมาเลเซีย
มีเส้นทางที่ครอบคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ในฝั่งตะวันตกของประเทศ
บรรยากาศบนรถบัส ตอนแรกๆที่ออกจากสถานี
ผู้โดยสารมีไม่มาก แต่พอวิ่งไปเรื่อยๆก็มีรับผู้โดยสารตลอดทาง
จนสุดท้ายที่นั่งก็เต็ม แต่ก็นี่แหละเสน่ห์ของการเดินทาง
เบาะที่นั่งค่อนข้างนิ่มและปรับเอนได้
ผมว่ารถบัสของมาเลเซียค่อนข้างมีมาตรฐานที่ดี
ที่สำคัญราคาก็ไม่แพงด้วย
แอร์อยู่ด้านบนซึ่งค่อนข้างเย็นพอสมควร
ส่วนไฟไม่สามารถเปิดได้
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
2 สิงหาคม 2565
EP.57 บรรยากาศหน้าสถานีขนส่ง
เมืองกวนตันในช่วงเวลาตี 4
เวลาที่ผมออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อหาประสบการณ์และนำเรื่องราวที่ได้พบเจอมาถ่ายทอดให้ทุกคนได้ชมกันในรูปแบบของทั้งรูปภาพ บทความและคลิปวีดีโอ ผมจะรู้สึกมีความสุขทุกครั้ง คงเป็นเพราะผมกลายเป็นคนที่เสพติดการเดินทางไปแล้วจึงทำให้เมื่อได้ออกเดินทางจึงมีความสุขและตื่นเต้นในทุกๆรอบ ซึ่งการเดินทางของผมก็มักจะเป็นแนวแบกเป้เที่ยวโดยเน้นการใช้บริการขนส่งสาธารณะเป็นหลักซึ่งยานพาหนะที่ผมได้มีโอกาสได้ใช้บริการบ่อยที่สุดก็คือ รถบัส
การเดินทางด้วยรถบัสเป็นการเดินทางที่ได้รับความนิยมจากผู้โดยสารและนักเดินทางอย่างมาก สาเหตุก็เพราะเป็นยานพาหนะที่วิ่งอยู่บนท้องถนนซึ่งเป็นการสัญจรหลักในยุคปัจจุบัน โดยการเดินทางด้วยรถบัสในปัจจุบันก็จะมีครอบคลุมไปทุกประเทศอยู่แล้วและมักจะมีเดินรถอยู่หลายรอบ ส่วนนักเดินทางที่ไม่ได้เน้นความหรูหราและมีเงินอะไรมากมายแบบผมมักจะเดินทางด้วยรถบัสบ่อยครั้งและหากต้องการเซฟเงินค่าที่พักก็มักจะเลือกใช้บริการรถบัสที่วิ่งในตอนกลางคืนอยู่เสมอ
สำหรับรถบัสกลางคืนมักจะเริ่มให้บริการตั้งแต่หลัง 6 โมงเย็นเป็นต้นไปและเป็นรถบัสที่มักจะเดินทางกันแบบข้ามคืนซึ่งการเดินทางแบบนี้ก็ช่วยประหยัดเงินค่าที่พักไปได้อย่างน้อยก็ 1 คืนเต็มๆอย่างทริปล่าสุดของผมก็คือการไปท่องเที่ยวในมาเลเซีย ผมมีโอกาสนั่งรถบัสตอนกลางคืนจากรันเตาปันยังไปที่เมืองกวนตัน โดยรถบัสใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบๆ 7 ชั่วโมง แต่ถึงกระนั้นเมื่อมาถึงสถานีขนส่งเมืองกวนตันก็อยู่แค่ในช่วงเวลาประมาณตี 3 กว่าๆเท่านั้น
เมื่อรถบัสมาถึงสถานีขนส่งกวนตัน สิ่งที่ผมสัมผัสได้นั่นก็คือความเงียบงันในช่วงเวลากลางดึกซึ่งมันก็ไม่แปลกครับ ตอนนั้นเป็นเวลาใกล้ๆจะตี 4 ตัวสถานีขนส่งยังไม่ได้เปิดให้บริการ ดังนั้นผมจึงใช้เวลาร่วมๆ 2-3 ชั่วโมงเดินสำรวจบรรยากาศบริเวณหน้าสถานีขนส่งซึ่งก็แน่นอนว่าช่วงกลางดึกแบบนี้บรรยากาศก็จะดูเงียบเชียบ แต่ก็มีแสงไฟสาดส่องพอให้เห็นบรรยากาศรอบๆ ส่วนพวกรถยนต์มีผ่านสัญจรมาไม่มากนักโดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นรถบัสที่วิ่งตอนกลางคืนที่มาเข้าจอดที่สถานีขนส่งรวมถึงพวกรถบรรทุกสินค้าต่างๆที่วิ่งผ่านไปมาหรือบางคันก็จะแวะเข้ามาจอดที่สถานีขนส่งก่อนออกเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง
ผมนั่งรถบัสจากรันเตาปันยังมาที่เมืองกวนตัน
รถบัสใช้เวลาเดินทางเกือบ 7 ชั่วโมง
ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณเกือบๆตี 4 สถานียังไม่เปิด
ผมจึงเดินสำรวจบรรยากาศรอบๆสถานีเป็นการฆ่าเวลา
ถนนหน้าสถานีขนส่งเมืองกวนตัน
ไฟค่อนข้างสว่างพอสมควร
โดยมีรถยนต์วิ่งผ่านบ้างแต่ไม่มากนัก
จริงๆแล้วสามารถเข้าไปรอในตัวสถานีขนส่งได้
แต่ผมเลือกที่จะเดินสำรวจบรรยากาศจากด้านหน้าสถานี
ช่วงกลางดึกแบบนี้ รถยนต์ที่ผ่านสัญจรไปมามีไม่มาก
ส่วนใหญ่จะเป็นรถบัสที่วิ่งกลางคืนและพวกรถบรรทุก
ซึ่งบางคันก็แวะมาจอดที่สถานีขนส่งก่อนออกเดินทางต่อ
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
6 สิงหาคม 2565
EP.59 ฟู้ดคอร์ทเมืองอลอสตาร์
ฟู้ดคอร์ท คือ ศูนย์อาหารที่มักจะตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า แต่ปัจจุบันฟู้ดคอร์ทก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไปตามท้องถนน ผมเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบเข้าไปทานอาหารในฟู้ดคอร์ทเพราะมีราคาที่เป็นมาตรฐาน สะอาด มีของให้เลือกทานหลากหลายและส่วนมากรสชาติอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี ผมไปเที่ยวมาเลเซียตอนช่วงก่อนโควิดคือ ปลายปี 2019 ตอนนั้นตระเวนเที่ยวแถวโซนชายฝั่งตะวันตกของมาเลเซียทั้งที่ อลอสตาร์ ไทปิงรวมไปถึงสุไหงเปตานี แต่เที่ยวหลักๆเน้นๆคือ เมืองอลอสตาร์ที่เป็นเมืองเอกของรัฐเคดาห์
จะว่าไปแล้วเมืองอลอสตาร์ก็มีสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย ความโดดเด่นของที่นี่คือเป็นแหล่งอู่ข้าวอู่น้ำของมาเลเซียเพราะในรัฐเคดาห์มีการเพาะปลูกทำนากันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน นอกจากนั้นเมืองอลอสตาร์ก็ตั้งไม่ห่างจากด่านชายแดนปาดังเบซาร์เท่าไหร่ เท่าที่จำได้ผมนั่งรถไฟจากด่านพรมแดนปาดังเบซาร์มาที่อลอสตาร์ใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้นเอง นอกจากนั้นเมืองนี้ยังมีความผสมผสานในด้านวัฒนธรรมได้อย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็นแบบมุสลิมหรือจะเป็นวัฒนธรรมแบบจีนและอินเดียก็มีให้เห็นในเมืองแห่งนี้
สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของแต่ละเชื้อชาติก็คือด้านอาหาร ผมยอมรับตรงๆเลยว่าเวลาไปเที่ยวมาเลเซียผมทานอาหารทั้งของมาเลย์ จีนและอินเดีย แต่ชอบอาหารจีนมากที่สุดซึ่งในเมืองอลอสตาร์ก็มีฟู้ดคอร์ทที่รวบรวมอาหารจีนโดยเฉพาะ โดยจะมีผู้คนมานั่งทานกันอย่างมากมายในช่วงกลางคืนเพราะที่นี่จะเน้นขายแค่ในช่วงมื้อเย็นไปจนถึงค่ำ ผมเดินไปเรื่อยๆก็ไปเจอกับฟู้ดคอร์ทแห่งนี้พอดีซึ่งด้วยความที่เอียนกับรสชาติของอาหารมาเลย์ ทำให้ผมไม่พลาดที่จะแวะเข้าไปสำรวจบรรยากาศและหาของกินแบบจีนมานั่งทานให้อิ่มท้อง
โดยจากที่ได้เดินสำรวจจนทั่วก็พบว่า ฟู้ดคอร์ทที่เมืองอลสตาร์มีของกินที่หลากหลายไม่ได้มีเฉพาะอาหารจีนอย่างเดียว แต่ยังมีทั้งอาหารแบบมาเลย์รวมไปถึงอาหารไทยซึ่งที่เด็ดกว่านั้นก็คือมีการเขียนภาษาไทยกำกับไว้ด้วย ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะในเมืองอลอสตาร์และภายในรัฐเคดาห์จะมีคนพูดไทยได้พอสมควร ทั้งที่เป็นชาวสยามหรือเป็นคนจีนที่พอพูดไทยได้ สุดท้ายเมนูที่ผมสั่งมาก็คือ ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตกแบบไทยๆแต่รสชาติแบบคนจีนทำซึ่งแน่นอนครับว่าอร่อยสู้เมืองไทยไม่ได้ ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยของหวานคือน้ำแข็งใสสไตล์มาเลเซีย
ฟู้ดคอร์ทแห่งเมืองอลอสตาร์ในรัฐเคดาห์
ที่แห่งนี้เน้นขายในช่วงกลางคืน
ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายจีนซึ่งจะมานั่งทานกันพอสมควร
อาหารที่นี่ส่วนใหญ่เป็นอาหารจีน
แต่ก็มีอาหารมาเลย์และอาหารไทยให้เลือกทานเช่นกัน
และที่สำคัญมีเขียนภาษาไทยกำกับไว้ด้วย
ของหวานก็มีขายเช่นกัน โดยจะเป็นเมนูน้ำแข็งใส
ผมก็ได้สั่งมาทานเช่นกัน แต่น้ำแข็งใสที่มาเลย์
แตกต่างจากที่เมืองไทยอย่างชัดเจน
เมนูพวกลูกชิ้นปิ้งและไส้กรอก
อย่าคิดว่าประเทศมุสลิมแบบมาเลเซียจะไม่มีเมนูหมูขาย
หากคุณมาโซนย่านคนจีนจะได้ทานหมูกันแบบจุใจเลยทีเดียว
ผัดหมี่ ผัดมาม่า ราคาไม่แพงชามนึงไม่เกิน 40 บาท
ผมสังเกตุว่าหลายร้านมีภาษาไทยกำกับ
บ่งบอกได้ว่าที่นี่มีคนพอพูดไทยได้กันพอสมควร
ข้าวราดแกงสไตล์แบบจีน มีเมนูให้เลือกหลากหลาย
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
10 สิงหาคม 2565
EP.61 นั่งรถเมล์เข้าเมืองกวนตัน
ปกติแล้วพวกสถานีขนส่งสาธารณะต่างๆไม่ว่าจะเป็น สถานีขนส่ง สถานีรถไฟรวมไปถึงสนามบิน สถานที่เหล่านี้มักจะตั้งอยู่นอกเมืองซึ่งจะต้องหารถรับจ้างเพื่อเดินทางต่อไปยังบริเวณใจกลางเมือง ผมเป็นคนที่เดินทางบ่อยและมักจะใช้บริการรถสาธารณะเป็นหลัก ทำให้การที่ต้องหารถที่จะเดินทางเข้าใจกลางเมืองเป็นสิ่งที่ผมทำอยู่บ่อยๆไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในประเทศหรือเดินทางไปยังต่างประเทศ
ทริปไปต่างประเทศครั้งล่าสุดของผมก็คือ การเดินทางไปที่ประเทศมาเลเซีย แน่นอนครับว่าผมเน้นเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ สำหรับเมืองแรกของมาเลเซียที่ผมได้แวะไปคือเมืองกวนตันที่ตั้งอยู่ในรัฐปะหัง สำหรับเมืองกวนตันผมว่าคนไทยเราไม่ค่อยคุ้นหูและตอนที่ไปได้แวะไปพักก็แทบไม่เจอคนไทยเลยสักคน ส่วนเรื่องการเดินทางผมว่าที่เมืองกวนตันก็ไม่ได้เดินทางยากเย็นอะไร เพราะนี่คือเมืองหลักของรัฐปะหังทำให้การเดินทางเข้าสู่ย่านใจกลางเมืองเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายดาย
สำหรับการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองกวนตันสามารถทำได้ด้วยการใช้รถรับจ้างสาธารณะซึ่งจะมีแท็กซี่จอดอยู่อย่างมากมายภายในสถานีขนส่งที่เมืองกวนตัน ผมขอบอกหน่อยว่าสถานีขนส่งเมืองกวนตันถือว่าค่อนข้างใหญ่และดูสะอาดพอสมวร โดยที่ระยะทางจากสถานีขนส่งไปที่ย่านใจกลางเมืองจะอยู่ 10 กิโลเมตร ใครที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วก็เลือกนั่งแท็กซี่แต่ถ้าใครจะเรียกแกร็บก็สามารถทำได้เช่นกัน
ส่วนอีกทางเลือกนึงที่เป็นการเดินทางที่ประหยัดเงินมากที่สุดและผมก็ใช้วิธีนี้แหละในการเดินทางเข้าสู่ย่านใจกลางเมืองนั่นก็คือ การนั่งรถเมล์ โดยรถเมล์ที่ให้บริการจากสถานีขนส่งไปยังย่านใจกลางเมืองจะเป็นรถเมล์สาย 303 ส่วนราคาค่าโดยสารจะอยู่ที่ 2 ริงกิตหรือแค่ 16 บาทเท่านั้นโดยที่รถเมล์จะใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 20 นาที แต่การนั่งรถเมล์ที่นี่ต้องตรวจสอบเวลาเดินรถให้ดี เพราะว่ารถเมล์ที่จะเดินทางเข้าเมืองไม่ได้มีแบบถี่ๆหลายรอบ โดยจะมีให้บริการทุกๆ 1-2 ชั่วโมงและรถเมล์รอบสุดท้ายจะอยู่ที่ประมาณ 1 ทุ่มกว่าๆ
รถเมล์สาย 303 เป็นรถเมล์ที่ให้บริการจากสถานีขนส่งเมืองกวนตัน
เข้าสู่ย่านใจกลางเมืองกวนตัน
จุดที่นั่งรอรถเมล์ซึ่งค่อนข้างสะอาดและกว้างขวาง
แต่ช่วงที่ผมรอรถเมล์มีผมเป็นผู้โดยสารเพียงคนเดียว
ตารางเดินรถซึ่งรถเมล์จะให้บริการวันละ 10 รอบ
โดยจะมาทุกๆ 1-2 ชั่วโมง
บรรยากาศบนรถเมล์ ซึ่งรถเมล์ของมาเลเซีย
ไม่มีระบบใช้กระเป๋ารถเมล์เดินเก็บเงินเหมือนเมืองไทย
ตั๋วรถเมล์ซึ่งราคาจะอยู่ที่ 2 ริงกิต
หรือประมาณ 16 บาทเท่านั้น
รถเมล์จะใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 20 นาที
โดยจะมาจอดตรงแถวๆตรงย่านชุมชนในเมืองกวนตัน
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
22 สิงหาคม 2565
EP.62 ย่านไชน่าทาวน์เมืองกัวลาตรังกานู
ประเทศจีนคือหนึ่งในประเทศมหาอำนาจในยุคปัจจุบัน นอกจากนั้นแล้วยังมีพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้างใหญ่และยังเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกซึ่งด้วยการที่มีผู้คนเยอะนี่แหละ ทำให้คนจีนหลายชีวิตไม่ได้เกิดมาอย่างสุขสบายหลายชีวิตต้องปากกัดตีนถีบและก็มีอีกหลายชีวิตที่ตัดสินอพยพข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังดินแดนอื่นๆเพื่อแสวงหาคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าซึ่งในปัจจุบันคนจีนไปอาศัยอยู่ในหลากหลายประเทศแทบทุกพื้นที่ของโลกกันเลยทีเดียว
สำหรับประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้นครับที่มีกลุ่มชาวจีนอพยพมาอยู่กันเป็นจำนวนมากและในเมืองไทยก็มีย่านชุมชนคนจีนขนาดใหญ่ที่หลายคนรู้จักกันดีก็คือ ย่านเยาวราช ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่างมาเลเซียก็มีคนจีนเข้าไปอาศัยและสร้างเนื้อสร้างตัวกันเป็นจำนวนไม่น้อย ทำให้ปัจจุบันคนเชื้อสายจีนได้กลายเป็นพลเมืองของประเทศมาเลเซียไปโดยปริยายและเป็นกลุ่มคนสำคัญที่มีส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของมาเลเซียให้เจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
แต่คนจีนในมาเลเซียก็ไม่ได้มีความสุขสบายและได้อภิสิทธิ์เหมือนกับพวกที่อาศัยในเมืองไทยซึ่งสาเหตุก็มาจากนโยบายภูมิบุตรที่ทางมาเลเซียได้กำหนดขึ้นมาเพื่อให้คนท้องถิ่นเชื้อสายมลายูมีอภิสิทธิ์มากกว่าคนเชื้อสายอื่นๆ แต่ถึงกระนั้นคนเชื้อสายจีนในมาเลเซียก็ยังคงมีความสามัคคีกลมเกลียวและรวมตัวกันเป็นชุมชนอย่างแข็งแกร่ง แม้จะถูกกีดกันและจำกัดสิทธิ์ในหลายๆเรื่อง แต่พวกเขาก็ไม่ย่อท้อและยังคงดำเนินชีวิตในแต่ละวันไปตามปกติ
ผมไปเที่ยวมาเลเซียแต่ละครั้งก็มักชอบไปทานอาหารในโซนย่านคนจีนซึ่งอาหารส่วนใหญ่จะรสชาติถูกปากซึ่งในแต่ละเมืองของมาเลเซียก็จะมีย่านคนจีนกันทุกเมืองอยู่แล้วอย่างทริปล่าสุด ผมได้ไปเที่ยวที่เมืองกัวลาตรังกานูก็ได้ไปสัมผัสบรรยากาศในย่านไชน่าทาวน์ซึ่งที่นี่เขาจะจัดให้เป็นจุดท่องเที่ยวด้วย ส่วนบรรยากาศแม้อาจจะไม่คึกคักเหมือนที่ปีนังหรือกัวลาลัมเปอร์แต่ก็ถือว่ามีเสน่ห์ไม่น้อย เพราะจะมีทั้งอาคารเก่าๆสไตล์จีน ศาลเจ้าจีน ตามตรอกเล็กๆก็จะมีภาพสตรีทอาร์ตเท่ห์ๆ รวมถึงยังมีพวกร้านค้า ร้านอาหารและโรงแรมตั้งเรียงราย ทำให้ปัจจุบันย่านไชน่าทาวน์จะเป็นอีกโซนที่คึกคักเพราในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวมาเดินชมบรรยากาศและถ่ายรูปกับอาคารบ้านเรือนและภาพสตรีทอาร์ตกันอย่างมากมาย
ย่านไชน่าทาวน์ของเมืองกัวลาตรังกานู
จะมีซุ้มประตูที่ค่อนข้างโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์
ช่วงเวลาที่น่ามาเดินชมมากที่สุดก็คือ ช่วงเย็น
เพราะอากาศไม่ร้อนเดินกันได้แบบชิวๆเพลินๆ
ศาลเจ้าจีน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนเชื้อสายจีนศรัทธากันอย่างมาก
ข้างในจะมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมให้ได้สักการะกัน
ร้านคาเฟ่เก๋ๆในย่านไชน่าทาวน์
ด้านบนจะมีภาพแกเลอรี่ให้ได้ชมกันด้วย
โรงแรมตั้งอยู่ติดกับเซเว่นอีเลฟเว่น
แต่เซเว่นที่มาเลเซียจะไม่เหมือนบ้านเรา
เพราะว่าไม่ได้บริหารโดยกลุ่มซีพีออลล์
แม้ว่าจะเป็นย่านไชน่าทาวน์แต่ก็มีสินค้ามุสลิมตั้งขาย
บริเวณตรอกเล็กๆในย่านไชน่าทาวน์
จะมีภาพสตรีทอาร์ตเท่ห์ๆให้ผู้คนได้ไปถ่ายรูปกัน
อาคารบ้านเรือนทรงจีนตั้งกันอย่างเรียงราย แม้ว่าจะไม่คึกคักเท่ากับที่ปีนังหรือกัวลาลัมเปอร์
แต่ก็เป็นจุดท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งเมืองกัวลาตรังกานูพอสมควร
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
29 สิงหาคม 2565
EP.63 สถานีขนส่งเมืองกัวลาตรังกานู
สถานีขนส่ง คือ จุดจอดรถบัส รถแท็กซี่และรถรับจ้างอีกหลากหลายชนิดซึ่งจะมีอยู่กันแทบทุกเมืองและทุกประเทศ ซึ่งการเดินทางครั้งล่าสุดของผมก็อยู่ที่เมืองกัวลาตรังกานูในประเทศมาเลเซีย ส่วนใหญ่ผมไม่ได้เดินทางออกนอกเมืองสักเท่าไหร่ซึ่งหลักๆก็จะเดินเล่นแค่ในเมืองถ้าเดินหลงก็กลับมาตั้งต้นใหม่ที่สถานีขนส่ง ซึ่งสถานีขนส่งที่กัวลาตรังกานูผมว่าค่อนข้างมีความคึกคัก เพราะในแต่ละวันจะมีผู้โดยสารมารอขึ้นรถบัสกันอยู่ตลอดแทบกทุกเวลา
สำหรับสถานีขนส่งของเมืองกัวลาตรังกานู ไม่ได้เป็นสถานีใหญ่เหมือนที่ KL Sentral ในกัวลาลัมเปอร์ บรรยากาศผมว่าไม่แตกต่างจากสถานีขนส่งตามต่างจังหวัดของบ้านเรา แต่สถานีขนส่งที่เมืองไทยดูจะใหญ่กว่าด้วยซ้ำไป โดยบรรยากาศของสถานีขนส่งกัวลาตรังกานูจะมีจุดที่เป็นอาคารลักษณะ 2 ชั้นซึ่งชั้นล่างจะมีผู้คนเดินไปมากันอยู่ตลอด เพราะมีจุดของศูนย์อาหารและจุดจำหน่ายตั๋วโดยสารและจุดที่นั่งรอรถบัสอยู่บริเวณเดียวกัน
ส่วนบรรยากาศชั้นบนจะเป็นพื้นที่ของร้านค้าซึ่งส่วนมากจะขายเสื้อผ้าแต่ผมเดินดูแล้วบรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงาครับ ผมจำได้ว่าตอนที่ผมแวะมาที่กัวลาตรังกานูในช่วงก่อนโควิด พื้นที่ชั้นล่างยังดูคึกคักกว่าตอนที่ผมไปครั้งล่าสุด เพราะจะมีพวกจุดจำหน่ายตั๋วโดยสารของบริษัทต่างๆเปิดให้บริการ แต่พอปี 2022 ที่ผมกับไปอีกรอบกลับพบว่าจุดจำหน่ายตั๋วโดยสารเหลือให้บริการแค่ช่องเดียว ส่วนจุดอื่นๆก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักทั้งจุดจอดรถแท็กซี่ที่แทบจะไม่ม่ีผู้โดยสารใช้บริการ ขณะที่บรรยากาศรอบๆก็จะเป็นโซนร้านขายมือถือและร้านค้าต่างๆที่ตั้งกันอย่างเรียงราย
สถานีขนส่งเมืองกัวลาตรังกานู เป็นสถานีขนส่งหลัก
ของเมืองกัวลาตรังกานู บรรยากาศค่อนข้างคึกคัก
เพราะจะมีรถบัสมาจอดรับส่งผู้โดยสารกันอยู่ตลอด
จุดจำหน่ายตั๋วโดยสาร ปัจจุบันเหลือให้บริการแค่จุดเดียว
จุดของศูนย์อาหารจะอยู่ชั้นล่าง
อาหารที่ขายจะเป็นอาหารมุสลิมทั้งหมด
จุดจอดรถแท็กซี่ แต่ปัจจุบันผมเห็นคนมาเลย์
ไม่ค่อยใช้บริการกันแล้ว เพราะว่ามีแกร็บ
ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากกว่า
ที่นั่งพักและจุดรอรถของบรรดาผู้โดยสาร
ผมเคยมาที่สถานีขนส่งแห่งนี้ตอนก่อนช่วงโควิด
ตอนนั้นจะดูคึกคักมากกว่านี้ แต่ปัจจุบันสภาพก็อย่างที่เห็น
บรรยากาศรอบๆสถานีขนส่งจะมีพวกร้านค้าและร้านขายมือถือ
บริเวณชั้น 2 จะเป็นโซนของร้านขายเสื้อผ้า
แต่บรรยากาศก็ค่อนข้างเงียบเหงา
ถ่ายภาพให้เห็นมุมกว้างของสถานีขนส่งกัวลาตรังกานู
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
1 กันยายน 2565
EP.64 โซนขายอาหารฮาลาล
เมืองกัวลาตรังกานู
อาหารฮาลาล ชื่อนี้ผมเชื่อว่าหลายท่านน่าจะพอเคยได้ยินชื่อกันมาพอสมควร โดยอาหารฮาลาลก็คือ อาหารอะไรก็ได้ที่มีการรับรองว่าบรรดาคนที่นับถือศาสนาอิสลามหรือชาวมุสลิมสามารถรับประทานได้ ซึ่งประเภทอาหารฮาลาลก็เป็นที่แน่นอนครับว่าจะไม่มีเนื้อหมูเป็นส่วนประกอบเด็ดขาดซึ่งเป็นไปตามหลักของศาสนาอิสลามที่ไม่ทานเนื้อหมูกัน โดยในเมืองไทยก็จะมีอาหารฮาลาลวางขายกันอยู่หลายแห่งซึ่งส่วนมากก็จะอยู่ตามโซนที่มีบรรดาพ่อแม่พี่น้องคนมุสลิมอาศัยอยู่กันค่อนข้างเยอะ
สำหรับประเทศมาเลเซียที่ผมเดินทางไปท่องเที่ยวในทริปล่าสุดก็เป็นหนึ่งในประเทศมุสลิม ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้นแล้วอาหารฮาลาลจึงจำเป็นอย่างมากต่อการบริโภคของผู้คนในประเทศ โดยในหลากหลายเมืองก็จะมีอาหารฮาลาลวางขายอย่างเช่นที่เมืองกัวลาตรังกานูก็มีโซนขายอาหารฮาลาลให้ได้เห็นกันพอสมควร โดยจุดที่น่าสนใจจะอยู่ตรงบริเวณริมแม่น้ำตรังกานูโดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนที่จะมีผู้คนท้องถิ่นออกมาเลือกซื้อของกินที่เป็นเมนูฮาลาล
โซนขายอาหารฮาลาลที่เมืองกัวลาตรังกานูจะเริ่มขายกันตั้งแต่ช่วงเย็นไปจนถึงมืดค่ำ บรรยากาศก็ดูคึกคักดีเพราะจะมีผู้คนท้องถิ่นที่เป็นมุสลิมมาเดินกันพอสมควร เมนูอาหารก็มีหลากหลายครับไม่ว่าจะเป็นของคาวหรือของหวานทั้งในส่วนของข้าวราดแกง น้ำดื่มที่มีสีสันต่างๆ เมนูพวกปิ้งย่าง ขนมขบเคี้ยวที่เป็นเมนูท้องถิ่นของมาเลเซีย ตลอดจนพวกเมนูจากต่างชาติทั้งจากไทยและอาหารเกาหลี โดยที่ผมเดินสำรวจไปจนครบทุกร้านก็พบว่าเมนูก็ไม่ได้แตกต่างกันมากจนได้มีโอกาสลองชิมก็พบว่าอาหารของมาเลย์นั้นความอร่อยสู้เมนูอาหารไทยไม่ได้ แต่ถึงยังไงก็ตามทุกการเดินทางไปในต่างประเทศ ผมจะต้องเน้นทานอาหารท้องถิ่นทุกครั้งเพื่อให้เข้าถึงและซึมซับความเป็นท้องถิ่นของแต่ละประเทศ
โซนขายอาหารฮาลาลของเมืองกัวลาตรังกานู
จะตั้งขายอยู่บริเวณริมแม่น้ำตรังกานู
และจะขายตั้งแต่เย็นไปจนถึงมืดค่ำ
บรรยากาศค่อนข้างคึกคักโดยมีร้านอยู่หลายร้าน
มีหลากหลายเมนู คนที่มาเดินส่วนใหญ่ก็คือกลุ่มคนมุสลิม
เมนูข้าวราดแกงของทางมาเลเซียมีเมนูหลากหลายดี
เมนูหลักๆก็จะมีพวกไก่ ปลาและก็เนื้อ
โต๊ะและเก้าอี้พลาสติกที่ตั้งวางเอาไว้ให้แก่ลูกค้า
ที่ต้องการนั่งทานอาหารพร้อมกับชมบรรยากาศยามค่ำคืน
เมนูมาม่าและข้าวโพดคลุกเนย
เมนูเครื่องดื่มซึ่งมีหลากหลายสีสัน
รสชาติก็จะแตกต่างกันออกไป
เมนูประเภทปิ้งย่างและของทอดต่างๆ
เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่าไม่ได้ต่างจากเมืองไทยมากนัก
ส้มตำก็มีขาย โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 50 บาท
บริเวณฝั่งตรงข้ามจะเป็นพื้นที่ของสะพานข้ามคลอง
และเดินไปไม่ไกลก็จะเป็นย่านไชน่าทาวน์
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
5 กันยายน 2565
EP.65 ภาพแกะสลักบนกำแพง
รูปเต่าทะเล
ภาพศิลปะบนกำแพงจะมีชื่อเรียกกันบบเท่ห์ๆก็คือ ภาพสตรีทอาร์ต ซึ่งเป็นศิลปะแขนงหนึ่งซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการออกแบบตกแต่งวาดลวดลายลงบนกำแพงที่ว่างเปล่า โดยจะเปลี่ยนกำแพงว่างเปล่าให้กลายเป็นกำแพงที่มีสีสันและกลายเป็นจุดเช็คอินที่ผู้คนมักจะมาถ่ายรูปกัน ปัจจุบันสตรีทอาร์ตได้รับความนิยมขยายไปทุกพื้นที่ของโลก เมืองไทยก็มีภาพสตรีทอาร์ตให้ได้ชมกันอยู่หลายแห่งซึ่งก็ไม่ต่างจากที่ประเทศมาเลเซียซึ่งที่นี่ก็จะมีพวกภาพสตรีทอาร์ตให้ได้ชมกันอย่างมากมาย
ผมไปเที่ยวมาเลเซียครั้งล่าสุดคือเดือนกรกฎาคม โดยไปที่เมืองกัวลาตรังกานูซึ่งที่เมืองนี้มีภาพสตรีทอาร์ตซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวที่ยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งที่ทางเวปท่องเที่ยวและหนังสือไกด์บุ๊กได้แนะนำให้ควรไปชม สำหรับภาพสตรีทอาร์ตของเมืองกัวลาตรังกานูจะตั้งอยู่ในย่านไชน่าทาวน์โดยจะตั้งซ่อนตัวอยู่ภายในพื้นที่ตรอกเล็กๆซึ่งต้องพยายามสังเกตุให้ดีๆ ส่วนบรรยากาศภายในตรอกก็จะพบเห็นกับภาพสตรีทอาร์ตมากมายซึ่งภาพที่เห็นจะเป็นภาพแกะสลักรูปของบรรดาเต่าทะเล
สาเหตุที่มีการทำภาพแกะสลักบนกำแพงให้เป็นรูปของเต่าทะเลก็มาจากการที่รัฐตรังกานูเป็นเสมือนที่อยู่อาศัยที่สำคัญของบรรดาเต่าทะเลที่มักจะมาวางไข่อยู่บริเวณชายหาดต่างๆของรัฐตรังกานู ส่วนภาพต่างๆที่ได้เห็นก็จะเป็นภาพของเต่าทะเลหลากหลายสายพันธุ์ที่สามารถพบเห็นได้ภายในรัฐตรังกานู นอกจากนั้นยังมีข้อมูลเกี่ยวกับเต่าทะเลสายพันธุ์ต่างๆ ลักษณะของไข่เต่า รวมถึงข้อความที่ชวนให้ตระหนักถึงความสำคัญในการอนุรักษ์เต่าทะเลและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ปัจจุบันตรอกเล็กๆแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองกัวลาตรังกานูซึ่งในแต่ละวันมักจะมีนักท่องเที่ยวทั้งคนมาเลย์และคนต่างชาติมาถ่ายรูปและชมภาพแกะสลักรูปเต่าทะเลกันเป็นจำนวนมาก
ภาพแกะสลักบนกำแพงรูปเต่าทะเลที่เมืองกัวลาตรังกานู
จะตั้งอยู่บริเวณตรอกเล็กๆในย่านไชน่าทาวน์
ถึงแม้จะเป็นแค่ตรอกเล็กๆแต่ปัจจุบันก็มีการทำภาพแกะสลัก
ของเต่าทะเล ทำให้พื้นที่บริเวณนี้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวยอดนิยม
ภาพแกะสลักบนกำแพงทุกภาพจะเป็นภาพของเต่าทะเล
ซึ่งเป็นสัตว์ที่พบเห็นได้เยอะมากในรัฐตรังกานู
นอกจากภาพเต่าทะเลบนกำแพงแล้ว
บริเวณทางเท้าก็มีภาพเต่าทะเลให้ได้ชมเช่นกัน
ข้อมูลของเต่าทะเลสายพันธู์ต่างๆซึ่งจะบอกทั้งน้ำหนัก
ขนาดตัวรวมไปถึงอาหารและแหล่งที่อยู่อาศัย
ลักษณะของไข่เต่าซึ่งจะมีหลากหลายขนาด
ภาพข้อห้ามต่างๆที่ไม่ควรทำรวมไปถึงภาพที่เชิญชวน
ให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
11 กันยายน 2565
EP.66 สวนสาธารณะเมือง
กัวลาตรังกานู
สวนสาธารณะ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนทุกเพศทุกวัยและยังถือว่าเป็นพื้นที่โซนสีเขียวที่ปลอดซึ่งอบายมุขทั้งหลายแหล่ เวลาว่างๆผมก็ชอบไปตามสวนสาธารณะแม้จะไม่ได้ไปออกกำลังกายแต่ก็ชอบที่จะไปมองดูวิถีชีวิตผู้คนหลากหลายวัยที่มาทำกิจกรรมต่างๆภายในสวนสาธารณะ ซึ่งก็ได้เห็นทั้งกลุ่มคนมาวิ่งออกกำลังกาย คนที่มานั่งพักผ่อนจับกลุ่มพูดคุยกันซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ตลอดตามสวนสาธารณะไม่ว่าจะแห่งหนใดในโลก
ตอนที่ผมไปเที่ยวที่เมืองกัวลาตรังกานูที่ประเทศมาเลเซียก็พลาดไม่ได้ครับที่จะต้องไปแวะชมสวนสาธาณะประจำเมือง โดยสวนสาธารณะแห่งนี้ไม่ได้มีประตูทางเข้าแบบชัดเจนแบบเมืองไทย โดยจะเป็นลักษณะพื้นที่กว้างๆที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำตรังกานูซึ่งจะมีทั้งโซนที่อยู่ริมแม่น้ำและโซนลานกว้าง โดยโซนริมแม่น้ำจะเป็นจุดที่ผู้คนจะไปนั่งพักผ่อนรับลมชมวิวและพูดคุยกัน โดยมีวิวของสะพานแขวนเมืองกัวลาตรังกานูเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นที่อยู่ตรงหน้า
ส่วนจุดของพื้นที่ลานกว้างจะเป็นจุดที่บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองมักจะพาบุตรหลานมาขี่รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า จักรยานไฟฟ้าซึ่งจะมีพ่อค้านำมาตั้งไว้เพื่อให้ได้เช่ากัน ส่วนราคาก็ไม่น่าจะแพงมาก เพราะผมเห็นมีผู้ปกครองหลายคนเช่ารถให้ลูกหลานขี่เล่นกันอย่างสนุกสนาน โดยผมใช้เวลานั่งดูวิถีชีวิตผู้คนท้องถิ่นบริเวณสวนสาธารณะประมาณ 1 ชั่วโมงพร้อมกับเก็บภาพบรรยากาศต่างๆที่ได้พบเห็นซึ่งนี่ก็คือวิธีการท่องเที่ยวเดินทางของผมที่มักจะต้องหาโอกาสไปดูชีวิตคนท้องถิ่นให้ได้ทุกครั้งเวลาที่ไปยังต่างประเทศ
สวนสาธารณะประจำเมืองกัวลาตรังกานูมีชื่อว่า
Pesisir Payang ซึ่งเป็นคำท้องถิ่นของมาเลเซีย
จุดชมวิวบริเวณพื้นที่สวนสาธารณะ
พื้นที่ทางเดินริมแม่น้ำตรังกานู
สะพานแขวน หนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองกัวลาตรังกานู
โดยสามารถยกเปิดปิดได้ซึ่งมักจะมีผู้คนมาถ่ายรูปกันพอสมควร
พื้นที่ลานกว้างจะมีพ่อค้านำจักรยานไฟฟ้า
มาให้ได้เช่าขี่เล่นกัน
นอกจากจักรยานไฟฟ้าแล้วก็มีพวกรถสามล้อ ซึ่งเหมาะสำหรับครอบครัว
พื้นที่ลานกว้างจะเห็นบรรดาเด็กๆขี่รถเล่นกันอย่างสนุกสนาน
โดยมีบรรดาผู้ปกครองคอยยืนเฝ้าดูอยู่ห่างๆ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
19 กันยายน 2565
EP.69 วัดเทียนหัว
มาเลเซีย เป็นหนึ่งในประเทศที่มีพรมแดนติดกับไทยซึ่งในประเทศมาเลเซียเองก็จะมีพลเมืองที่เป็นประชากรหลักๆของประเทศทั้งสิ้น 3 เชื้อชาติด้วยกัน โดยกลุ่มเชื้อชาติที่เป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศก็คือ กลุ่มชาวมลายูที่นับถือศาสนาอิสลาม นอกจากนั้นก็จะมีอีก 2 กลุ่มเชื้อชาติอันได้แก่ กลุ่มเชื้อสายจีนและกลุ่มเชื้อสายอินเดีย โดยปัจจุบันมาเลเซียใช้นโยบายภูมิบุตรนั่นจึงทำให้กลุ่มชาวมลายูซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศเป็นกลุ่มคนที่มีสิทธิ์มีเสียงมากที่สุด
ขณะที่กลุ่มคนเชื้อสายจีนและเชื้อสายอินเดียแม้ปัจจุบันอาจจะไม่ได้ถูกกดขี่หรือจำกัดสิทธิมากเหมือนในอดีต แต่ก็ยังมีการถูกจำกัดสิทธิในบางเรื่องหลักๆเลยก็คือการเข้ารับราชการ ผมไปเที่ยวมาเลเซียครั้งล่าสุดก็ไม่ได้ไปเที่ยวยังเมืองดังๆอย่างที่กัวลาลัมเปอร์ ปีนังหรือมะละกา แต่ไปเที่ยวที่กัวลาตรังกานูซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกของมาเลเซียที่เมืองกัวลาตรังกานูเป็นอีกหนึ่งเมืองที่พลเมืองส่วนมากเป็นกลุ่มคนมุสลิม ดังนั้นพวกสถานที่ต่างๆวัฒนธรรมต่างๆก็จะเป็นแนวมุสลิมไปเกือบทั้งหมด แต่ผมก็สำรวจพบว่ายังมีชุมชนคนจีนอาศัยอยู่เช่นกันและสิ่งที่บ่งบอกความเป็นจีนได้เป็นอย่างดีก็คือย่านไชน่าทาวน์รวมไปถึงวัดเทียนหัว
สำหรับวัดเทียนหัวเป็นวัดสไตล์จีนโดยมีชื่อคล้ายกับวัดในกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งวัดเทียนหัวของเมืองกัวลาตรังกานูก็ถูกสร้างโดยกลุ่มชาวจีนไหหลำซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาวประมง โดยใช้วัสดุจากเมืองจีนมาเป็นโครงสร้างในการก่อสร้างวัดเทียนหัวและได้กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของบรรดาคนเชื้อสายจีนที่ทำมาหากินในเมืองกัวลาตรังกานู แต่ในปี 2003 ที่ดินของวัดเกือบจะถูกยึดโดยกลุ่มพรรคอิสลามในมาเลเซีย แต่กลุ่มคนเชื้อสายจีนได้ทำการประท้วงกันอย่างหนักจนที่สุดการจะยึดที่ดินจึงถูกล้มเลิกไปและวัดเทียนหัวก็กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนเชื้อสายจีนและเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองกัวลาตรังกานู
ส่วนบรรยากาศภายในวัดเทียนหัวนั้นต้องยอมรับว่าแม้จะเป็นวัดที่มีพื้นที่ไม่กว้างใหญ่มาก แต่ก็มีบรรยากาศที่ดีเพราะว่าตั้งอยู่ติดกับริมแม่น้ำตรังกานูซึ่งเมื่อไปยืนบริเวณแถวๆริมน้ำก็จะได้สัมผัสกับลมที่พัดค่อนข้างจะเย็นสบาย ขณะที่บรรยากาศของวัดก็จะถูกแต่งแต้มด้วยสีแดงซึ่งเป็นสีมงคลตามความเชื่อของคนจีนภายในมีศาลที่คนมักจะมาเคารพสักการะและมีรูปของกวนอูหนึ่งในเทพเจ้าที่คนจีนนับถือ ขณะที่บริเวณริมแม่น้ำจะมีรูปปั้นแกะสลักของเจ้าแม่กวนอิมตั้งอยู่อย่างโดดเด่นรวมไปถึงบรรดารูปปั้น 12 นักษัตรไล่ไปตั้งแต่ปีชวดไปจนถึงปีกุนให้ได้ชมกันอีกด้วย
วัดเทียนหัว ตั้งอยู่ในเมืองกัวลาตรังกานู
โดยมีชื่อคล้ายกับวัดจีนในกรุงกัวลาลัมเปอร์
บริเวณทางเข้าด้านหน้าซึ่งวัดเทียนหัวเป็นวัดจีนขนาดเล็ก
แต่มีบรรยากาศที่ดี เพราะตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำตรังกานู
โครงสร้างและวัสดุต่างๆภายในวัดถูกนำเข้ามาจากเมืองจีน
โดยเมื่อปี 2003 ที่ดินของวัดเกือบถูกยึดจากกลุ่มพรรคอิสลาม
แต่มีการประท้วงครั้งใหญ่ ทำให้แผนการยึดที่ดินก็ถูกล้มเลิกไป
ทางเดินเพื่อเข้าไปชมบรรยากาศด้านภายในของวัด
ภายในจะมีศาลเจ้าแบบจีนให้คนได้มากราบสักการะ
รวมถึงมีภาพของ กวนอู เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์
รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังติดกับริมแม่น้ำ
โดยเป็นรูปปั้นแกะสลักซึ่งหินก็นำเข้ามาจากเมืองจีน
รูปปั้นของ 12 นักษัตรซึ่งไล่ไปตั้งแต่ปีชวดจนถึงปีกุน
บรรยากาศด้านหลังวัดจะติดกับแม่น้ำตรังกานู
ซึ่งจุดบริเวณนี้จะเป็นท่าเรือ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
11 ตุลาคม 2565
EP.87 บรรยากาศยามเย็น
ริมแม่น้ำตรังกานู
แม่น้ำตรังกานูเป็นแม่น้ำสายสำคัญของรัฐตรังกานูในประเทศมาเลเซีย โดยจะมีจุดกำเนิดมาจากทะเลสาบเคนเยียร์และไหลผ่านเมืองหลวงของรัฐตรังกานูซึ่งก็คือ เมืองกัวลาตรังกานู โดยเมื่อประมาณเดือนกรกฎาคมของปี 2022 ผมมีโอกาสได้เดินทางไปที่เมืองกัวลาตรังกานู ซึ่งเมืองนี้อาจจะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักของมาเลเซียและนักท่องเที่ยวต่างชาติก็มาเที่ยวกันไม่มาก แต่ยิ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักและไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาเท่าไหร่ยิ่งทำให้ผมเกิดความสนใจมากขึ้นอย่างทันทีทันใด
สำหรับบรรยากาศของเมืองกัวลาตรังกานูก็ดูไม่แตกต่างจากเมืองอื่นๆของมาเลเซียเท่าไหร่นัก แม้ประชากรหลักๆจะเป็นคนเชื้อสายมลายูแต่ก็มีวัฒนธรรมแบบจีนให้ได้เห็นกันอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้แล้วก็มีแม่น้ำตรังกานูซึ่งผมได้เกริ่นเอาไว้ในบรรทัดแรก โดยจุดของแม่น้ำตรังกานูนี่แหละครับถือว่าเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของเมืองกัวลาตรังกานูโดยเฉพาะในช่วงเวลาเย็นก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินมักจะมีบรรดาผู้คนท้องถิ่นมานั่งชมบรรยากาศกันเป็นจำนวนมาก
โดยจุดชมวิวแม่น้ำตรังกานูจะมีทางค่อนข้างยาวตั้งแต่จุดของสวนสาธารณะและลากยาวไปจนถึงบริเวณพื้นที่ตลาดกลางคืน ผมได้มานั่งดูบรรยากาศแถวๆที่เขาขายของกินกันซึ่งจากที่ได้สังเกตุดูก็พบว่าจะมีแต่คนเชื้อสายมลายูต่างพาครอบครัวมานั่งพักผ่อนกันเต็มไปหมด บางคนก็ซื้อของกินมานั่งกินไปด้วยและชมวิวไปด้วยซึ่งบรรยากาศริมแม่น้ำตรังกานูในทุกๆเย็นก็จะมีความคึกคักแบบนี้เหมือนกันไปหมด เพราะว่าตลาดกลางคืนเขาจะขายกันทุกคืนทำให้ผู้คนต่างมาซื้อของกินและนั่งชมวิวแม่น้ำกันเยอะ ส่วนเมนูต่างๆที่เขาขายเท่าที่ผมได้เห็นก็จะเป็นอาหารฮาลาลสไตล์มุสลิมไปเสียทั้งหมด
แม่น้ำตรังกานู เป็นแม่น้ำสายสำคัญของรัฐตรังกานู
ซึ่งมีจุดกำเนิดมาจากทะเลสาบเคนเยียร์
บริเวณริมแม่น้ำตรังกานูถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่เป็นไฮไลท์
ของเมืองกัวลาตรังกานู โดยเฉพาะการชมพระอาทิตย์ตกดิน
บรรยากาศจะเต็มไปด้วยผู้คนไปตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ
ไปจนถึงช่วงหัวค่ำซึ่งจะมีตลาดกลางคืนตั้งอยู่ใกล้ๆ
กลุ่มคนท้องถิ่นที่จะมานั่งพักผ่อนชมบรรยากาศบริเวณนี้
ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนเชื้อสายมลายู
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
30 มกราคม 2566
EP.110 ถ้ำบาตู
ประเทศมาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านของไทยและมีพรมแดนติดกับไทยเหมือนกับพม่า ลาวและกัมพูชานะครับ แต่วัฒนธรรมต่างๆของมาเลเซียก็ดูแตกต่างจากไทยเป็นอย่างมาก สืบเนื่องมาจากมาเลเซียมีประชากรในประเทศถึง 3 เชื้อชาติคือ มลายู จีนและอินเดีย ทำให้มันจะมีการบ่งบอกถึงวัฒนธรรมที่ดูหลากหลาย โดยเชื้อชาติอินเดียหรือชาวทมิฬก็มีวัฒนธรรมของตนเองและสิ่งที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมและอารยธรรมของพวกเขาได้เป็นอย่างดีก็คือสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของมาเลเซียอย่าง ถ้ำบาตู
ถ้ำบาตูนอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของมาเลเซียยังเป็นสถานที่ที่บ่งบอกเอกลักษณ์และสถานที่ที่ประกอบพิธีทางความเชื่อของศาสนาฮินดูซึ่งลักษณะของถ้ำบาตูก็จะเป็นถ้ำภูเขาหินปูนซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่า 400 ล้านปี ความโดดเด่นของถ้ำบาตูก็คือการที่จะได้เห็นสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนาฮินดู โดยจุดไฮไลท์เด่นๆก็จะมีรูปปั้นของพระขันธกุมารที่สูงที่สุดในโลก โดยมีความสูงถึง 42.7 เมตรซึ่งรูปปั้นจะประดิษฐอยู่ด้านหน้าของถ้ำ นอกจากนั้นจุดของบันได้ทางขึ้นไปยังถ้ำยังมีการทาสีเป็นสีสันต่างๆให้ดูดใสซึ่งก็เป็นไปตามความเชื่อของศาสนาฮินดูนั่นเอง
โดยในปัจจุบันถ้ำบาตูได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกในแต่ละวันเป็นจำนวนมากซึ่งการเดินทางมายังถ้ำบาตูก็เป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกสบายเพราะมีรถไฟฟ้าจาก KL Sentral เชื่อมต่อมาถึงสถานีถ้ำบาตูกันเลยทีเดียว ส่วนช่วงที่ผมเดินทางไปเป็นเดือนมีนาคมซึ่งอากาศค่อนข้างร้อนส่วนการแต่งตัวก็จะเหมือนการเข้าวัดพระแก้วของบ้านเราตรงที่ต้องแต่งกายให้ดูสุภาพ เพราะถ้ำบาตูเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนาฮินดูจึงต้องแต่งกายให้ดูสุภาพเพื่อให้เกียรติแก่สถานที่ ส่วนใครที่ชอบในเรื่องการขอโชคขอพรก็ไม่ต้องห่วงครับ เพราะที่ถ้ำบาตูมีจุดให้ได้กราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในถ้ำเพื่อขอพรอยู่เป็นจำนวนมาก
ถ้ำบาตู เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของมาเลเซีย
โดยตั้งอยู่ในรัฐสลังงอร์ซึ่งไม่ไกลจากกรุงกัวลาลัมเปอร์มากนัก
การเดินทางไปยังถ้ำบาตูในปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
เพราะมีรถไฟฟ้าจาก KL Sentral เชื่อมต่อถึงสถานีถ้ำบาตู
บรรยากาศบนรถไฟฟ้าของมาเลเซีย
บันไดทางเดินขึ้นไปยังถ้ำบาตูเป็นบันไดหลากสี
ซึ่งได้มีการทาสีสันสดใสตามความเชื่อของทางฮินดู
ภายในถ้ำจะพบกับรูปปั้นเป็นจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นพระศิวะ พระแม่อุมาและรูปปั้นอื่นๆอีกมากมาย
บรรยากาศภายในถ้ำบาตูซึ่งค่อนข้างกว้างใหญ่ ซึ่งเป็นถ้ำภูเขาหินปูนมีอายุไม่ต่ำกว่า 400 ล้านปี
ในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
แวะเวียนมาเที่ยวชมถ้ำบาตูกันเป็นจำนวนมาก
บริเวณด้านนอกถ้ำจะเป็นจุดจำหน่ายของกราบไหว้
ของบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อทางศาสนาฮินดู
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
9 สิงหาคม 2566
EP.114 ที่พักสไตล์แคปซูล
ในกรุงกัวลาลัมเปอร์
กรุงกัวลาลัมเปอร์ คือ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซียซึ่งด้วยความที่เป็นเมืองหลวงจึงทำให้จะมีความเจริญและความทันสมัยซึ่งก็ไม่แตกต่างจากเมืองหลวงของแต่ละประเทศครับ เพราะเมืองหลวงก็เปรียบดั่งหน้าตาของประเทศซึ่งภายในเมืองหลวงก็มักจะมีสถานที่สำคัญมากมายและสิ่งที่ต้องมีอยู่คู่กับเมืองหลวงก็คือ สถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งมักจะมีไว้เพื่อเป็นแลนด์มาร์กของประเทศและเป็นแหล่งรายได้เข้าสู่ประเทศนั่นเอง
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวภายในกรุงกัวลาลัมเปอร์ก็มีอย่างมากมายครับและด้วยความที่มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่เยอะจึงทำให้พวกโรงแรมที่พักผุดขึ้นมาอย่างมากมาย โดยที่พักในกรุงกัวลาลัมเปอร์ก็มีหลากหลากระดับและมีหลายราคา ส่วนตัวผมเองเป็นนักเดินทางประเภทที่มีงบจำกัดทำให้มักจะเลือกที่พักในราคาประหยัดเป็นตัวเลือกแรกเสมอซึ่งการไปเที่ยวที่กัวลาลัมเปอร์ของผมในครั้งล่าสุดคือ เดือนมีนาคม โดยผมเลือกที่พักแบบห้องนอนรวมซึ่งจะมีราคาค่อนข้างถูกกว่าการพักในห้องแบบส่วนตัว
โดยที่พักที่ผมได้เลือกพักมีชื่อว่า Space Hotel Kuala Lumpur ซึ่งเป็นห้องพักแบบนอนรวมและตั้งอยู่ในย่านไชน่าทาวน์ซึ่งถือว่าเป็นย่านทำเลทองที่มักจะมีผู้คนไปพักกันอย่างมากมาย โดย Space Hotel มีลักษณะเป็นโฮสเทลเหมือนที่อื่นๆแต่จะแตกต่างตรงที่นอนของผู้เข้าพักจะมีลักษณะเป็นเตียงนอนสไตล์แคปซูลซึ่งค่อนข้างได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศแถบโซนเอเชีย
สำหรับเตียงนอนแบบแคปซูลดูจะมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าห้องนอนรวมแบบทั่วๆไป เพราะว่าจะมีการเปิดปิดด้วยระบบคีย์การ์ด โดย Space Hotel จะออกแบบตัวแคปซูลให้เป็นเหมือนยานอวกาศซึ่งสอดคล้องกับชื่อของที่พัก ส่วนด้านภายนตัวแคปซูลจะมีหมอนและผ้าห่มพร้อมกับระบบเปิดปิดไฟซึ่งเป็นลูกเล่นเฉพาะตัวของที่นอนสไตล์แคปซูล นอกจากนี้ก็จะมีจุดของช่องเก็บของขนาดเล็ก ส่วนจุดของล็อคเกอร์จะตั้งอยู่ภายในห้องพักซึ่งใช้การเปิดปิดด้วยระบบคีย์การ์ดเช่นกัน โดยราคาที่พักต่อคืนของ Space Hotel Kuala Lumpur จะอยู่ที่ประมาณ 500 บาทซึ่งเป็นเรื่องปกติของที่พักสไตล์แคปซูลที่จะมีราคาสูงกว่าโฮสเทลทั่วๆไป
Space Hotel Kuala Lumpur เป็นที่พักแบบนอนรวม
โดยเตียงนอนจะมีลักษณะเป็นแคปซูลซึ่งมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
จุดของล็อคเกอร์ซึ่งเวลาจะเปิดก็ต้องใช้คีย์การ์ด
แตะไปที่บริเวณหน้าล็อคเกอร์
ลักษณะของที่นอนสไตล์แคปซูลซึ่งปัจจุบันกำลัง
ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มประเทศโซนเอเชีย
บริเวณภายในของเตียงนอนซึ่งจะมีลูกเล่นให้
แขกที่มาพักได้เพลิดเพลินอย่างเช่น จุดเปิดไฟซึ่งมีสีสันสดใส
โดยภายในแคปซูลจะมีหมอน ผ้าห่ม กระจกส่องหน้า
สนนราคาต่อคืนอยู่ที่ราวๆ 500 บาท
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
8 กันยายน 2566
EP.120 ตึกแฝดปิโตรนาส
ถ้าหากจะถามถึงสัญลักษณ์หรือแลนด์มาร์กที่มีชื่อเสียงและโด่งดังมากที่สุดของประเทศมาเลเซีย ผมว่าน่าจะมีหลายท่านที่นึกถึงตึกแฝดปิโตรนาสเป็นอันดับแรกๆ เพราะนี่คือสัญลักษณ์ที่มักจะได้รับการโปรโมทจากการท่องเที่ยวของมาเลเซียอยู่เสมอแถมยังตั้งอยู่ในพื้นที่ของเมืองหลวงอย่างกรุงกัวลาลัมเปอร์นั่นจึงทำให้หลายคนจดจำตึกแฝดปิโตรนาสได้ค่อนข้างติดตาและมองว่านี่คือสัญลักษณ์ที่สำคัญของประเทศมาเลเซีย
สำหรับตึกแฝดปิโตรนาสในครั้งหนึ่งเคยถูกจารึกสถิติว่าเป็นตึกที่มีความสูงที่สุดในโลกในช่วงระหว่างปี 1998 - 2003 ก่อนที่จะถูกทำลายสถิติโดยตึกไทเป 101 ของไต้หวัน โดยตึกแฝดปิโตรนาสถูกก่อสร้างขึ้นโดยความร่วมมือกันของทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้และมาเลเซียซึ่งความสูงของตึกแฝดปิโตรนาสจะอยู่ที่ 451.9 เมตรและมีอยู่ทั้งสิ้น 88 ชั้นซึ่งบริเวณด้านตรงกลางจะเป็นสะพานหรือทางเดินเชื่อมต่อกันระหว่าง 2 ตึก นอกจากนี้รูปแบบของลวดลายก็จะเป็นศิลปะแบบอิสลามซึ่งเป็นศาสนาหลักของมาเลเซีย
ปัจจุบันตึกแฝดปิโตรนาสคือสัญลักษณ์และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของกรุงกัวลาลัมเปอร์และประเทศมาเลเซีย โดยส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมักจะมาชมกันในยามค่ำคืนเพราะจะมีความสวยงามมากกว่าในช่วงกลางวันซึ่งการเดินทางมาชมตึกแฝดปิโตรนาสก็ถือว่าง่ายและสะดวกอย่างมากครับเพราะสามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี KLCC และเดินตามป้ายบอกทางมาเรื่อยๆก็จะถึงซึ่งในทุกๆค่ำคืนจะมีผู้คนทั้งชาวมาเลเซียและชาวต่างชาติมาถ่ายรูปและชมบรรยากาศกันเป็นจำนวนมาก
ตึกแฝดปิโตรนาสเป็นสัญลักษณ์ของมาเลเซีย โดยตั้งอยู่ในเมืองหลวงที่กรุงกัวลาลัมเปอร์
บริเวณรอบๆของตึกแฝดปิโตรจะมีลานน้ำพุ
ซึ่งในยามค่ำคืนจะมีการเปิดไฟสีสันสวยงามดูสดใส
น้ำพุเริงระบำในยามค่ำคืนซึ่งช่วงเวลากลางคืน
จะเป็นช่วงไฮไลท์ที่เหมาะในการมาชมตึกแฝดปิโตรนาส
ผู้คนจำนวนมากต่างมาชมตึกแฝดปิโตรนาสในยามค่ำคืน
ซึ่งมีทั้งคนมาเลเซียและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
บริเวณทางเข้าห้าง Suria KLCC ซึ่งจะตั้งอยู่
บริเวณชั้นล่างของตึกแฝดปิโตรนาส
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
19 ตุลาคม 2566
EP.122 สถานีขนส่งรันเตาปันยัง
รันเตาปันยัง คือ เมืองชายแดนของมาเลเซียและมีพรมแดนติดกับอำเภอสุไหงโกลกของประเทศไทยซึ่งการที่เป็นเมืองชายแดนก็ย่อมแน่นอนว่าจะต้องมีด่านตรวจคนเข้าเมืองซึ่งที่รันเตาปันยังก็มีด่าน ตม.แถมในแต่ละวันก็มีผู้คนเดินทางเข้าออกระหว่างฝั่งไทยกับฝั่งมาเลเซียกันเป็นจำนวนมากซึ่งจากการที่ผมสังเกตุดูแล้วค่อนข้างจะเป็นด่านสากลที่มีคนข้ามพรมแดนกันเยอะไม่แพ้ด่านตรงปาดังเบซาร์กันเลยทีเดียว
สำหรับบทความนี้ผมคงไม่ขอเขียนถึงด่านพรมแดน แต่จะมาเขียนถึงสถานีขนส่งรันเตาปันยังซึ่งระยะทางจากด่านตรวจคนเข้าเมืองกับสถานีขนส่งถือว่าอยู่ใกล้กันมากและระยะทางที่ผมกะดูแล้วก็ค่อนข้างจะใกลกันมากและเดินไปไม่เกิน 300 เมตรซึ่งการที่มีสถานีขนส่งอยู่ใกล้ๆกับด่านพรมแดนอย่างนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีแก่นักเดินทางรวมไปถึงผู้คนอีกมากมาย
ผมได้เดินทางข้ามด่านจากสุไหงโกลกไปที่รันเตาปันยังเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมของปี 2022 ซึ่งบรรยากาศที่สถานีขนส่งนับว่าค่อนข้างคึกคัก เพราะมีคนมาเลย์จำนวนมากและคนไทยอีกจำนวนหนึ่งได้มาใช้บริการที่สถานีขนส่งในการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆซึ่งที่สถานีขนส่งรันเตาปันยังมีรถบัสให้บริการอยู่หลายบริษัทและมีเส้นทางไปทั้งที่กัวลาลัมเปอร์ กวนตัน กัวลาตรังกานู มะละกา รวมไปถึงยะโฮบาห์รู
ส่วนบรรยากาศอื่นๆที่ผมได้เดินสำรวจดูก็พบว่าจะมีจุดของที่นั่งพักของผู้โดยสาร ห้องน้ำและห้องละหมาด นอกจากนั้นก็ยังจุดของร้านอาหารซึ่งจะเป็นร้านอาหารสไตล์ท้องถิ่นมาเลย์ที่เป็นอาหารฮาลาล ส่วนบริเวณรอบๆสถานีขนส่งจะมีปั๊มน้ำมันอยู่ 2 แห่งรวมถึงพวกร้านค้าเล็กๆรวมไปถึงร้านรับฝากรถยนต์ซึ่งในแต่ละวันผู้คนจำนวนมากเดินทางข้ามพรมแดนกันไปมาและก็จะมานั่งรถบัสที่สถานีขนส่งรันเตาปันยังเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆในประเทศมาเลเซีย
สถานีขนส่งรันเตาปันยัง เป็นสถานีที่ตั้งอยู่ใกล้กับ
ด่านตรวจคนเข้าเมืองรันเตาปันยัง
จุดจำหน่ายตั๋วโดยสารซึ่งมีหลายบริษัท และมีรถบัสเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆในมาเลเซีย
จุดที่นั่งพักของผู้โดยสารซึ่งในแต่ละวัน จะมีผู้คนมาใช้บริการที่สถานีขนส่งกันเป็นจำนวนมาก
ร้านอาหารภายในสถานีขนส่งรันเตาปันยัง
ซึ่งจะเป็นร้านอาหารท้องถิ่นและเป็นพวกอาหารฮาลาล
ปั๊มน้ำมันปิโตรนาสตั้งอยู่ใกล้ๆกับสถานีขนส่ง ซึ่งราคาน้ำมันที่มาเลเซียค่อนข้างถูก โดยขายลิตรละ 16 บาท
สัญลักษณ์ประจำสถานีขนส่งรันเตาปันยัง
โดยเมืองรันเตาปันยังเป็นเมืองชายแดนและตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน
ด่านพรมแดนกับสถานีขนส่งจะอยู่ใกล้กันมาก
และเดินไม่เกิน 300 เมตรก็ถึงกันแล้ว
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
31 ตุลาคม 2566
EP.142 ย่านลิตเติลอินเดียแห่งเกาะปีนัง
ประเทศมาเลเซีย ประกอบไปด้วยประชากร 3 เชื้อชาติหลักๆซึ่งก็คือ กลุ่มคนที่เป็นมุสลิมซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศและยังมีกลุ่มคนเชื้อสายจีนรวมไปถึงกลุ่มคนเชื้อสายอินเดีย โดยกลุ่มที่เป็นคนเชื้อสายอินเดียมักจะเป็นคนที่มาจากทางตอนใต้ของอินเดียซึ่งก็มักจะเป็นพวกบรรดาชาวทมิฬ โดยที่พวกเขาต่างก็มีภาษาพูดเป็นของตนเองและมีวัฒนธรรมที่เก่าแก่ซึ่งชาวทมิฬในอินเดียต่างก็ได้มีการอพยพถิ่นฐานไปยังประเทศต่างๆโดยที่มาเลเซียก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีชาวทมิฬไปอาศัยกันอยู่อย่างมากมาย
ปัจจุบันมีการคาดการณ์กันว่ามีชาวทมิฬมาอาศัยอยู่ในมาเลเซียกันพอสมควรคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ประมาณร้อยละ 7 ซึ่งพวกเขาอพยพถิ่นฐานกันมานานหลายปีและก็ตั้งรกรากจนกลายเป็นพลเมืองของมาเลเซียไปโดยปริยายซึ่งการที่มีคนอินเดียเชื้อสายทมิฬมาอยู่ในมาเลเซีย ทำให้สามารถพบเห็นวัฒนธรรมที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของพวกเขาโดยจุดที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดก็คงหนีไม่พ้นพื้นที่ย่านลิตเติลอินเดียซึ่งจะเป็นจุดที่เหมือนศูนย์รวมของบรรดาชาวทมิฬที่อาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซีย
ย่านลิตเติลอินเดียในประเทศมาเลเซียก็มีอยู่ในหลากหลายเมืองทั่วประเทศ แต่จุดใหญ่ๆที่นักท่องเที่ยวจะรู้จักกันก็จะเป็นในพื้นที่ของทั้งกรุงกัวลาลัมเปอร์และพื้นที่ในเกาะปีนัง สำหรับย่านลิตเติลอินเดียของเกาะปีนังจัดว่าเป็นอีกหนึ่งโซนที่มีเอกลักษณ์และยังเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวของเกาะปีนังอีกด้วยซึ่งเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผมก็ได้มีโอกาสไปสำรวจบรรยากาศของย่านลิตเติลอินเดียในเกาะปีนังซึ่งต้องขอบอกว่าบรรยากาศก็เหมือนกับเดินอยู่ในประเทศอินเดียอย่างไงอย่างงั้นเลยทีเดียว
สำหรับบรรยากาศของย่านลิตเติลอินเดียในเกาะปีนังจะเป็นเหมือนชุมชนขนาดใหญ่ของบรรดาคนเชื้อสายอินเดียที่อาศัยอยู่ในมาเลเซีย โดยบรรยากาศจะเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารซึ่งจะเป็นสไตล์แบบอินเดีย ผมเดินสำรวจไปเรื่อยๆก็ได้เห็นทั้งร้านขายผ้า ร้านขายพวกจิวเวลรี่และเครื่องประดับ อาหารขึ้นชื่อของทางอินเดียทั้งซาโมซ่าหรือพวกข้าวแกงสไตล์อินเดีย นอกจากนั้นผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็จะเป็นกลุ่มคนอินเดียซะส่วนใหญ่ โดยถึงแม้ว่าในปัจจุบันทางมาเลเซียังมีการใช้นโยบายภูมิบุตรที่ยังกดขี่คนเชื้อสายอินเดียอยู่พอสมควร แต่การที่มีย่านลิตเติลอินเดียก็เปรียบเสมือนสิ่งที่บ่งบอกถึงอัตลักษณ์ของพวกคนเชื้อสายอินเดียที่แม้จะอพยพมาอยู่ในมาเลเซียหลายปี แต่พวกเขาก็ยังไม่ลืมเลือนรากเหง้าและวัฒนธรรมของตนเอง
ย่านลิตเติลอินเดียในเกาะปีนังเป็นจุดที่มีคนเชื้อสายอินเดีย
ทำมาหากินและอยู่อาศัยกันพอสมควร
เมื่อเดินเข้าไปในย่านลิตเติลอินเดียจะเจอกับบรรยากาศ
ที่เสมือนกับว่ากำลังเดินอยู่ในประเทศอินเดีย
ร้านขายเสื้อผ้าซึ่งมีสีสันฉูดฉาดดูสดใส
โดยที่บางร้านอาจจะมีการเปิดเพลงสไตล์อินเดียจนดังสนั่น
ร้านนี้ขายพวกของไหว้หรือของที่เอาไว้สักการะ
บรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของทางฮินดู
ซาโมซ่า ขนมขึ้นชื่อของทางอินเดียก็มีขายเช่นกัน
แต่เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง
ชามาซาลาอีกหนึ่งเมนูเครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงของอินเดีย
ก็มีขายอยู่ในย่านลิตเติลอินเดียของที่เกาะปีนัง
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
25 มีนาคม 2567
EP.143 แพขนานยนต์ข้ามฟาก
ปีนัง - บัตเตอร์เวิร์ธ
การเดินทางไปยังเกาะปีนังของประเทศมาเลเซียที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือการนั่งเรือหรือจะเรียกว่าแพขนานยนต์ก็ได้ สาเหตุก็เพราะว่าการเดินทางด้วยวิธีนี้เป็นการเดินทางที่มีราคาถูกที่สุด โดยผมได้ใช้บริการแพขนานยนต์ข้ามฟากจากฝั่งบัตเตอร์เวิร์ธไปยังฝั่งปีนังและเที่ยวจากปีนังกลับไปที่บัตเตอร์เวิร์ธ โดยในบทความนี้ผมจะเน้นเขียนเกี่ยวกับการเดินทางจากฝั่งปีนังมายังฝั่งบัตเตอร์เวิร์ธ
สำหรับการเดินทางด้วยแพขนานยนต์จากฝั่งปีนังมายังฝั่งบัตเตอร์เวิร์ธจะมีราคาค่าโดยสารเพียงแค่ 2 ริงกิตหรือประมาณ 14 บาทแต่การจ่ายเงินจะไม่สามารถจ่ายด้วยเงินสดได้โดยจะต้องจ่ายผ่านแอพหรือไม่ก็บัตรเดบิตเท่านั้น ส่วนรอบการเดินทางจะมีให้บริการอยู่หลายรอบ โดยที่รอบแรกจะเริ่มให้บริการประมาณช่วงเช้า 7 โมงกว่า ขณะที่ในรอบสุดท้ายก็ประมาณ 4 ทุ่มกว่า
ผมเลือกเดินทางในช่วงเวลาประมาณบ่าย 2 โมงก็สังเกตุเห็นว่าแม้จะเป็นการเดินทางในช่วงวันธรรมดาแต่ก็มีผู้โดยสารมาใช้บริการกันอย่างมากมาย เพราะแพขนานยนต์นี้สามารถรองรับได้ทั้งคนเดินเท้ารวมไปถึงมอเตอร์ไซค์ซึ่งจะมีการแบ่งจุดกันอย่างชัดเจน โดยด้านในจะเป็นห้องแอร์ปรับอากาศซึ่งห้องนี้จัดไว้เฉพาะคนเดินเท้าเท่านั้น ส่วนผู้ที่ขี่มอเตอร์ไซค์ก็จะต้องจอดมอเตอร์ไซค์อยู่ด้านนอกแต่ถ้าใครอยากจะเข้ามานั่งด้านในก็สามารถทำได้เช่นกัน
ส่วนเวลาที่ใช้ในการเดินทางก็ไม่นานนัก โดยเมื่อแพขนานยนต์จอดเทียบท่าถึงฝั่งบัตเตอร์เวิร์ธเรียบร้อยก็จะเห็นว่ามีผู้โดยสารอีกจำนวนหนึ่งที่กำลังรอขึ้นแพขนานยนต์เพื่อจะข้ามไปยังฝั่งปีนัง โดยเมื่อผมเดินทางมาถึงฝั่งบัตเตอร์เวิร์ธผมก็ได้สำรวจบรรยากาศซึ่งก็ได้เดินเข้าไปที่ปีนังเซ็นทรัลซึ่งก็เปรียบเสมือนห้างสรรพสินค้ารวมไปถึงได้เดินไปที่จุดจำหน่ายตั๋วโดยสารของที่สถานีบัตเตอร์เวิร์ธซึ่งจุดนี้ผู้โดยสารสามารถซื้อตั๋วเดินทางไปยังสถานีต่างๆได้ไม่ว่าจะเป็น ปาดังเบซาร์ อลอสตาร์รวมไปถึงสุไหงเปตานี
ทางเดินที่เกาะปีนังซึ่งเป็นจุดที่จะไปขึ้นแพขนานยนต์ข้ามฟาก
เพื่อไปยังฝั่งบัตเตอร์เวิร์ธ
จุดจำหน่ายตั๋วโดยสารที่ฝั่งเกาะปีนัง
โดยไม่รับเป็นเงินสดซึ่งต้องจ่ายผ่านแอพหรือบัตรเดบิตเท่านั้น
จุดที่นั่งรอของผู้โดยสาร
แพขนานยนต์ข้ามฟากจากฝั่งปีนังไปยังฝั่งบัตเตอร์เวิร์ธ
จะให้บริการทั้งคนเดินเท้าและผู้ที่ขับขี่มอเตอร์ไซค์
จุดที่นั่งของผู้โดยสารภายในแพขนานยนต์
ซึ่งด้านภายในจะเป็นห้องแอร์ปรับอากาศ
ผู้ที่ขี่มอเตอร์ไซค์จะต้องจอดรถตรงด้านนอก
บรรยากาศระหว่างทางที่อยู่บนแพขนานยนต์
เมื่อแพขนานยนต์จอดเทียบท่าที่ฝั่งบัตเตอร์เวิร์ธ
ผมก็ได้เดินสำรวจบรรยากาศที่ห้างปีนัง เซ็นทรัล
จุดจำหน่ายตั๋วโดยสารที่สถานีบัตเตอร์เวิร์ธ
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
4 เมษายน 2567
EP.146 ห้างสรรพสินค้า (เกือบ) ร้าง
ที่เมืองสุไหงเปตานี
เมืองสุไหงเปตานีเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในรัฐเคดาห์ของประเทศมาเลเซีย โดยเป็นเมืองที่ไม่ค่อยที่จะคุ้นหูทั้งชาวไทยรวมไปถึงผู้คนจากชาติอื่นๆทั่วโลก เพราะสุไหงเปตานีไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวของมาเลเซียนั่นจึงทำให้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก แต่สำหรับผมแล้วการได้ไปเยือนเมืองที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวคือสิ่งที่ผมมักจะทำเป็นประจำเวลาได้เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ โดยเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาผมก็ได้แวะไปเที่ยวที่สุไหงเปตานีมาเช่นกัน
ผมพักที่สุไหงเปตานี 1 คืนซึ่งช่วงระยะเวลาสั้นๆผมก็พยายามหาโอกาสสำรวจเมืองสุไหงเปตานีให้ได้มากที่สุด โดยหนึ่งในจุดที่ผมได้ไปเดินสำรวจก็คือ ห้างสรรพสินค้าที่ชื่อว่า SP Plaza ซึ่งเป็นห้างขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง โดยจากการที่ผมได้เดินสำรวจดูก็พบว่าบรรยากาศของห้าง SP Plaza ค่อนข้างที่จะดูเงียบเหงาและวังเวงแบบสุดๆซึ่งดูไม่ต่างอะไรจากห้างร้าง เพราะแทบไม่มีผู้คนมาเดินซึ่งสิ่งที่ทำให้ยังดูแตกต่างจากห้างที่ร้างไปแล้วคือการที่ห้าง SP Plaza ยังคงเปิดดำเนินการเป็นปกติ
ส่วนบรรยากาศภายในห้างก็ต้องยอมรับว่าเงียบเหงาเป็นอย่างมาก แต่ถึงแทบจะไม่มีคนมาเดินก็ยังมีพวกร้านค้าเปิดขายอยู่เป็นบางร้านซึ่งก็จะเป็นพวกร้านขายเสื้อผ้าและร้านขายรองเท้า ส่วนสาเหตุสำคัญที่ทำให้ห้างแห่งนี้กลายเป็นห้างที่เกือบจะร้างนั่นก็เป็นเพราะว่าที่เมืองสุไหงเปตานีได้มีการสร้างห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากห้าง SP Plaza มากนักนั่นทำให้ทั้งพ่อค้าแม่ค้าและลูกค้าต่างย้ายกันไปที่ห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ซึ่งใหญ่กว่าและทันสมัยมากกว่า นอกจากนั้นยังมีเรื่องของเศรษฐกิจของมาเลเซียที่มีปัญหา ทำให้ทั้งผู้ค้าและผู้บริโภคต่างก็ไม่มีทุนทรัพย์ที่มากพอในการที่จะมาค้าขายหรือจับจ่ายซื้อสินค้า
ห้างสรรพสินค้า SP Plaza ตั้งอยู่ในเมืองสุไหงเปตานี โดยเคยเป็นห้างใหญ่ที่สุดของเมือง
ห้างจะมีทั้งหมด 4 ชั้นซึ่งสภาพปัจจุบันกลายเป็นห้างเกือบร้าง
ผมเดินสำรวจบรรยากาศภายในห้างก็พบว่า
ร้านค้าแต่ละร้านมีการปิดตัวไปเป็นจำนวนมาก
แต่ละชั้นบรรยากาศก็จะเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดทุกชั้น
บรรยากาศสุดเงียบเหงาและวังเวงซึ่งระหว่างที่ผม
เดินสำรวจก็แทบจะไม่เจอผู้คนมาเดินซื้อของเลย
ห้าง SP Plaza กลายเป็นห้างที่เกือบร้างเพราะถูกทดแทน ด้วยห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก
แต่ก็ยังมีร้านค้าบางร้านที่ยังคงเปิดขายของเป็นปกติ
ซึ่งจะเป็นพวกร้านขายเสื้อผ้าและร้านขายรองเท้า
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
29 เมษายน 2567
EP.148 สระว่ายน้ำโคโรเนชั่น
เมืองไทปิง เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในรัฐเปรักของประเทศมาเลเซีย โดยเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 ของรัฐเปรักโดยเป็นรองเพียงแค่เมืองอิโปห์เท่านั้น ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวมา 2 ครั้งแล้วซึ่งครั้งแรกคือปี 2019 ก่อนช่วงโควิดแพร่ระบาด ขณะที่ครั้งล่าสุดก็คือ เดือนเมษายนที่เพิ่งผ่านมานี่เอง โดยที่เมืองไทปิงเคยเป็นเมืองที่เคยมีการทำเหมืองแร่ในประเทศมาเลเซียและมีคนจีนอพยพเข้ามาอาศัยอยู่มากพอสมควร ขณะที่สภาพอากาศก็มักจะมีฝนตกค่อนข้างบ่อยเนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ฝนตกชุก
การไปเที่ยวไทปิงครั้งล่าสุดของผมมีเวลาเพียงแค่ 2 คืน ผมจึงพยายามใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุดโดยสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมได้ไปสำรวจก็จะเน้นไปแถวโซนยอดเขาบูกิต ลารุตซึ่งจะเป็นจุดที่มีแหล่งท่องเที่ยวอยู่มากมาย โดยหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมได้ไปลงสำรวจมาก็คือ สระว่ายน้ำโคโรเนชั่น ซึ่งว่ากันว่าเป็นสระว่ายน้ำที่เก่าแก่ที่สุดของมาเลเซียเลยทีเดียว โดยสระว่ายน้ำแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1937 โดยมีการตั้งชื่อสระเพื่อเป็นเกียรติให้แก่พิธีราชาภิเษากของพระเจ้าจอร์จที่ 6 โดยในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยถูกใช้เป็นสถานที่พักผ่อนของบรรดาชาวอังกฤษและชาวยุโรป
ส่วนในยุคปัจจุบันสระว่ายน้ำโคโรเนชั่นเป็นสระว่ายน้ำสาธารณะที่ทุกคนสามารถมาใช้บริการได้ โดยจะมีค่าเข้าอยู่ที่ 5 ริงกิตสำหรับผู้ใหญ่ (35 บาท) และ 3 ริงกิตสำหรับเด็ก (21 บาท) โดยจะเปิดให้บริการตั้งแต่วันอังคารถึงวันอาทิตย์และหยุดทุกวันจันทร์ ส่วนช่วงเวลาเปิดก็ตั้งแต่ 8 โมงเช้าไปจนถึง 6 โมงเย็นซึ่งจากการที่ผมได้เดินเข้าไปสำรวจมาก็ถือว่าสระว่ายน้ำโคโรเนชั่นมีบรรยากาศที่ค่อนข้างดี โดยมีพวกต้นไม้รายรอบซึ่งให้ความสดชื่นแก่ผู้เข้ามาใช้บริการ รวมทั้งยังมีทั้งสระผู้ใหญ่และสระเด็ก ส่วนความลึกของสระผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 1.95 เมตร นอกจากนั้นยังมีจุดของห้องอาบน้ำและล็อกเกอร์เอาไว้ใส่ของ
ทางเข้าด้านหน้าของสระว่ายน้ำโคโรเนชั่น
ซึ่งอยู่ติดกับทางเดินขึ้นเขาบูกิต ลารุต
สระว่ายน้ำโคโรเนชั่นถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1937
และยังเป็นสระว่ายน้ำที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศมาเลเซีย
ความลึกของสระผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 1.95 เมตร
โดยภายในจะมีไลฟ์การ์ดอย่างน้อย 1 คนคอยดูแลความเรียบร้อย
จุดนี้จะเป็นสระว่ายน้ำของเด็กซึ่งบรรยากาศโดยรอบ
จะเต็มไปด้วยต้นไม้ซึ่งให้ความสดชื่นได้เป็นอย่างดี
ห้องสำหรับอาบน้ำแต่งตัว นอกจากนั้นยังมีล็อกเกอร์
ซึ่งจะมีราคาค่าใช้ล็อกเกอร์อีก 1 ริงกิต
บริเวณด้านหน้าทางเข้าจะมีของขายแก่ผู้มาใช้บริการ
ทั้งห่วงยาง ชุดว่ายน้ำรวมถึงพวกเครื่องดื่มต่างๆ
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
8 พฤษภาคม 2567
EP.149 สถานีรถไฟเก่าเมืองไทปิง
ผมไปเที่ยวมาเลเซียก็เมื่อช่วงประมาณกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมานี่เอง โดยเมืองที่ผมได้ไปเที่ยวก็ตั้งอยู่ในรัฐเปรักทั้ง 2 เมืองก็คือ อิโปห์และไทปิง โดยที่เมืองไทปิงผมเจอฝนตกตลอดเพราะที่นี่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ฝนตกค่อนข้างจะชุก แต่ถึงฝนจะตกบ่อยแต่ในเมืองไทปิงก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่างมากมายทั้งสถานที่ที่เกี่ยวกับธรรมชาติรวมไปถึงสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ สถานีรถไฟเก่า
สำหรับสถานีรถไฟเก่าในเมืองไทปิงมีที่ตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน โดยสถานีรถไฟแห่งนี้ในอดีตเคยทำหน้าที่ให้บริการแก่บรรดาผู้โดยสารมานานไม่ต่ำกว่า 100 ปี โดยถูกสร้างขึ้นในปี 1890 ก่อนที่ในปี 2014 จะถูกแทนที่ด้วยสถานีรถไฟแห่งใหม่ซึ่งก็คือสถานีที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน แต่ถึงแม้ว่าสถานีรถไฟเก่าของเมืองไทปิงจะถูกยกเลิกใช้งานไปแล้ว แต่ร่องรอยของอดีตก็ยังสามารถพบเห็นได้อยู่โดยเฉพาะในส่วนของอาคารสถานี
สำหรับบรรยากาศของสถานีรถไฟเก่าของเมืองไทปิงที่ผมได้ไปสำรวจมาก็พบว่าตัวอาคารจะเป็นไม้ทั้งหมดซึ่งดูมีความคลาสสิคและมีเอกลักษณ์ของความเป็นตะวันตกเข้ามาผสมผสานเพราะในสมัยอดีตมาเลเซียถูกปกครองโดยบรรดาชาวอังกฤษ โดยสิ่งที่พบเห็นได้ในปัจจุบันก็จะมีจุดของห้องทำการของเจ้าหน้าที่ประจำสถานี จุดจำหน่ายตั๋ว พื้นที่ชานชาลาซึ่งปัจจุบันปิดไม่ให้ใครเข้าไป
ขณะที่ในสภาพปัจจุบันของสถานีรถไฟเก่าเมืองไทปิงก็เต็มไปด้วยร้านอาหารต่างๆมากมายซึ่งมาเช่าพื้นที่ของสถานีในการค้าขาย โดยอาหารก็จะเป็นแนวฮาลาลที่เน้นเจาะกลุ่มชาวมุสลิมซึ่งจะมีขายกันทั้ง 2 ฝั่ง แต่ถึงแม้ว่าบรรยากาศจะดูเปลี่ยนแปลงไปแต่อาคารไม้ที่ดูคลาสสิคของสถานีรถไฟเก่าเมืองไทปิงก็ยังคงเป็นเอกลักษณ์อยู่ไม่เสื่อมคลายและปัจจุบันพื้นที่ของสถานีรถไฟเก่าเมืองไทปิงก็เป็นหนึ่งในสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของเมืองไทปิงซึ่งมักจะมีผู้คนมาถ่ายรูป เพราะในอดีตที่นี่เคยเป็นสถานีรถไฟหลักของเมืองไทปิงนั่นเอง
สถานีรถไฟเก่าเมืองไทปิง ถูกสร้างขึ้นในปี 1890
และถูกให้บริการเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 100 ปี
จุดจำหน่ายตั๋วโดยสารยังสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน
ตัวอาคารสถานีสร้างจากไม้ซึ่งมีความคลาสสิคอยู่ไม่น้อย
ปัจจุบันพื้นที่ของสถานีรถไฟเก่าเมืองไทปิง มีพวก
ร้านอาหารมาตั้งขายอยู่หลายร้าน
ร้านอาหารส่วนใหญ่จะเป็นอาหารฮาลาล
ซึ่งจะมีขายทั้ง 2 ฝั่งของถนน
สถานีรถไฟเก่าจะตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟแห่งใหม่
ซึ่งสถานีรถไฟที่ใช้งานในปัจจุบันเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2014
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
15 พฤษภาคม 2567
EP.154 มัสยิดกาปิตัน เคลิง
ประเทศมาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามนั่นจึงทำให้สามารถพบเห็น มัสยิด ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาได้อยู่ทั่วทุกประเทศ โดยผมเดินทางไปมาเลเซียทีไรก็มักจะแวะเข้าไปชมมัสยิดอยู่เสมอซึ่งถึงแม้ผมจะเป็นคนศาสนาพุทธ แต่ก็สามารถเข้าชมบรรยากาศของมัสยิดได้โดยไม่มีปัญหา โดยหนึ่งในมัสยิดที่ผมได้เข้าไปชมบรรยากาศด้านภายในมาก็คือ มัสยิดกาปิตัน เคลิง ที่ตั้งอยู่ในเมืองจอร์จทาวน์บนเกาะปีนัง
มัสยิดกาปิตัน เคลิง ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยผู้สร้างก็คือกลุ่มพ่อค้าชาวอินเดียที่นับถือศาสนาอิสลาม นอกจากนั้นมัสยิดกาปิตัน เคลิงยังถือว่าเป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดของเกาะปีนังอีกด้วย โดยคำว่ากาปิตันมาจากกลุ่มชุมชนชาวอินเดีย ส่วนคำว่าเคลิงในปัจจุบันถือว่าเป็นคำหยาบซึ่งเป็นคำเรียกชาวอินเดียในมาเลเซียซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสถานะทางสังคมต่ำที่สุด
โดยบรรยากาศจากที่ผมไปได้ไปสำรวจก็พบว่าสถาปัตยกรรมก็จะถูกสร้างตามความเชื่อของหลักศาสนาอิสลาม ด้านภายในมีพื้นหินอ่อนสีขาวและมีเพดานสูง นอกจากนั้นยังมีบรรดาเด็กๆที่มาเรียนศาสนาและศึกษาคัมภีร์อัลกุรอ่านโดยมีครูสอนศาสนามาคอยดูแลอยู่ไม่ห่างรวมไปถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่แวะเวียนเข้ามาชมบรรยากาศของมัสยิดกาปิตัน เคลิงกันอย่างต่อเนื่องซึ่งในแต่ละวันจะมีผู้คนมาแวะชมกันอย่างมากมาย เพราะเปิดให้เข้าชมฟรีแถมยังมีบริการไกด์พูดภาษาอังกฤษที่คอยให้ข้อมูลเกี่ยวกับมัสยิด
มัสยิดกาปิตัน เคลิง ตั้งอยู่ในเมืองจอร์จทาวน์ของเกาะปีนัง
โดยเป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดของปีนัง
โดยมัสยิดถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มพ่อค้าชาวอินเดีย ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามและสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19
ประวัติของมัสยิดกาปิตัน เคลิงจะมีให้อ่านอยู่
บริเวณประตูทางเข้าออก
เด็กๆมานั่งเรียนศาสนารวมทั้งมาศึกษาคัมภีร์อัลกุรอ่าน
บ่อน้ำประจำมัสยิดซึ่งผมสังเกตุว่าจะเป็นจุดที่
ชาวมุสลิมจะมาใช้ชำระร่างกายทั้งมือและเท้า
บรรยากาศด้านภายในของมัสยิดซึ่งอนุญาตให้ถ่ายรูปได้
แต่ไม่อนุญาตให้มีการบันทึกวีดีโอ
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
17 มิถุนายน 2567
EP.155 ตรอกคอนคูบายน์
เมืองอิโปห์ เป็นเมืองหลวงของรัฐเปรักซึ่งตั้งอยู่ในประเทศมาเลเซีย โดยจากคำบอกเล่าของคนที่เคยไปเที่ยวเมืองอิโปห์หลายคนมักจะบอกกันว่ามีบรรยากาศคล้ายๆกับที่ ปีนัง เพียงแต่ความโด่งดังอาจจะไม่ได้ดังเท่ากับที่ปีนัง โดยเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาผมก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวที่เมืองอิโปห์เป็นครั้งแรกซึ่งผมก็อยากจะไปเห็นกับตาของตนเองว่าที่อิโปห์จะคล้ายกับที่ปีนังเหมือนอย่างที่หลายคนร่ำลือกันเอาไว้หรือเปล่า
โดยจากการที่ผมได้ไปเที่ยวและพักอยู่ที่เมืองอิโปห์ประมาณ 2-3 วันก็สังเกตุได้ว่าอิโปห์ไม่ได้ถึงกับคล้ายกับที่ปีนังไปเสียทั้งหมด สิ่งที่อาจจะดูคล้ายก็มีเพียงแค่ภาพสตรีทอาร์ตที่อยู่บนกำแพงแต่ก็ไม่ได้มีคนมาถ่ายรูปกันมากมายเท่าไหร่ ส่วนจุดอื่นๆที่น่าสนใจของเมืองอิโปห์ก็มีอยู่ไม่น้อย โดยหนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่ผู้คนต้องไม่พลาดหากมาเที่ยวที่เมืองอิโปห์ก็คือ ตรอกคอนคูบายน์ ซึ่งเปรียบเสมือนจุดเช็คอินยอดนิยมของเมืองกันเลยทีเดียว
สำหรับตรอกคอนคูบายน์ในสมัยอดีตเป็นโซนที่มีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะในยุคก่อนบริเวณตรอกคอนคูบายน์เคยเป็นโซนที่พวกบรรดาเจ้าสัวเชื้อสายจีนใช้เป็นจุดสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่บรรดาเหล่าเมียน้อยและเมียเก็บซึ่งเมื่อมีเหล่าบรรดาเมียน้อยมาอยู่ในโซนเดียวกัน ทำให้พื้นที่ของตรอกคอนคูบายน์กลายเป็นแหล่งค้าประเวณีหรือ ซ่อง ที่มีชื่อเสียงของเมืองอิโปห์และไม่ได้มีเฉพาะการค้าบริการทางเพศเท่านั้น แต่พวกอบายมุขต่างๆก็ถูกค้าขายกันอย่างเสรีในพื้นที่นี้ไม่ว่าจะเป็นพวกฝิ่นรวมไปถึงแอลกอฮอลล์
แต่ในภายหลังพื้นที่ของตรอกคอนคูบายน์ก็ถูกปราบปรามอย่างหนักและในที่สุดพื้นที่ที่เคยเป็นย่านโคมแดงและเป็นแหล่งรวมอบายมุขก็ค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา ก่อนที่ทางภาครัฐจะทำการปรับปรุงพื้นที่เสียใหม่และกลายมาเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองอิโปห์ โดยในปัจจุบันตรอกคอนคูบายน์กลายเป็นโซนที่มีการขายสินค้าต่างๆไม่ว่าจะเป็นของกินและของใช้ต่างๆซึ่งมีอยู่อย่างมากมาย โดยถึงแม้พื้นที่จะดูค่อนข้างเล็กแต่ในทุกๆวันก็จะมีนักท่องเที่ยวมาเดินเที่ยวชมและซื้อของกันอย่างมากมาย ทำให้ภาพลักษณ์ของตรอกคอนคูบายน์ที่เคยเป็นแหล่งอบายมุขก็ถูกลบทิ้งและกลายเป็นจุดท่องเที่ยวชื่อดังที่เต็มไปด้วยความสดใสและบรรยากาศที่ดูคึกคัก
ตรอกคอนคูบายน์เป็นจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองอิโปห์
ซึ่งบรรยากาศจะเป็นตรอกเล็กๆแต่มีผู้คนมาเดินอย่างมากมาย
ประวัติของตรอกคอนคูบายน์ซึ่งในสมัยอดีตเคยเป็น แหล่งอบายมุขที่มีการค้าฝิ่นแอลกอฮอลล์รวมไปถึงการค้าประเวณี
ปัจจุบันภาพลักษณ์ที่เคยไม่ดีถูกลบทิ้งไปหมดแล้ว
โดยถูกแทนที่ด้วยการขายของกินและของใช้แบบทั่วๆไป
ในแต่ละวันจะมีผู้คนมาเดินเที่ยวที่ตรอกคอนคูบายน์
กันพอสมควรโดยจะคึกคักอย่างมากในช่วงวันเสาร์อาทิตย์
พวกเครื่องประดับต่างๆที่ขายกันในตรอกคอนคูบายน์
มีราคาที่ไม่สูงมากนัก
ขนมหวานของทางมาเลเซีย โดยจากที่ผมสังเกตุดู
ก็เห็นว่าน่าจะเป็นพวกลอดช่อง
ตรอกคอนคูบายน์ในปัจจุบันเป็นหนึ่งในจุดเช็คอินที่สำคัญ
โดยถ้าหากมาเที่ยวที่เมืองอิโปห์ก็ไม่ควรพลาดที่จะมาเดินชม
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
23 มิถุนายน 2567
EP.162 นั่งรถบัสสาย 29
รันเตาปันยัง - โกตาบารู
เส้นทางการข้ามพรมแดนจากไทยไปยังมาเลเซียทางบกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ ด่านพรมแดนตรงปาดังเบซาร์ในพื้นที่อำเภอสะเดาของจังหวัดสงขลา ขณะที่เส้นทางซีกตะวันออกจากด่านพรมแดนสุไหงโกลกในจังหวัดนราธิวาสไปยังด่านรันเตาปันยังของมาเลเซีย แม้ว่าอาจไม่ได้รับความนิยมมากเท่ากับตรงด่านปาดังเบซาร์แต่ในทุกๆวันก็มีคนในพื้นที่ทั้งชาวไทยและชาวมาเลเซียข้ามพรมแดนกันอย่างต่อเนื่อง
โดยผมได้ใช้เส้นทางดังกล่าวเพื่อข้ามไปท่องเที่ยวยังประเทศมาเลเซียเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมานี่เองและเมื่อเข้าไปยังพื้นที่ของประเทศมาเลเซียก็จะมาอยู่ในจุดของสถานีขนส่งรันเตาปันยังซึ่งเปรียบเสมือนเมืองด่านหน้าสุดหากข้ามพรมแดนมาจากสุไหงโกลก โดยทริปในครั้งล่าสุดของผมก็คือการท่องเที่ยวในเมืองโกตาบารูและจะเดินทางไปต่อที่กัวลาลัมเปอร์ซึ่งเมืองโกตาบารูตั้งอยู่ห่างจากรันเตาปันยังประมาณ 1 ชั่วโมงและตัวเลือกการเดินทางที่ประหยัดเงินมากที่สุดก็คือ การนั่งรถบัส
สำหรับรถบัสโดยสารหรือจะเรียกว่ารถเมล์ก็ได้จะเป็นรถโดยสารสาธารณะที่มีให้บริการในเส้นทางระหว่างรันเตาปันยังและโกตาบารูซึ่งจะมีให้บริการอยู่หลายรอบ โดยรถบัสที่ให้บริการในเส้นทางนี้ได้กลับมาวิ่งให้บริการอีกครั้งหลังจากที่หยุดให้บริการไปนานพอสมควรจากช่วงสถานการณ์ไวรัสโควิด 19 แพร่ระบาดซึ่งการที่มีรถบัสกลับมาวิ่งให้บริการอีกครั้งก็เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่จะเดินทางไปมาระหว่างไทยกับมาเลเซียและไม่ต้องไปเสียเงินแพงๆในการนั่งแท็กซี่หรือเรียกแกร็บคาร์
ส่วนรถบัสที่ให้บริการในเส้นทางระหว่างรันเตาปันยังกับโกตาบารูจะเป็นรถบัสสาย 29 และอย่างที่ผมเขียนไว้ตรงบรรทัดด้านบนที่รถบัสจะมีให้บริการอยู่หลายรอบซึ่งรอบแรกจะเริ่มให้บริการในช่วงเวลา 06.45 น. ส่วนรอบสุดท้ายจะเป็นช่วงเวลา 17.15 น. ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรถบัสที่เดินทางจากรันเตาปันยังหรือรถที่มาจากโกตาบารู ส่วนอัตราค่าโดยสารจะอยู่ที่ 4.70 ริงกิตซึ่งตีเป็นเงินไทยก็ตกประมาณ 37 บาทโดยรถบัสจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงซึ่งเมื่อถึงจุดหมายปลายทางรถบัสก็จะไปจอดที่สถานีขนส่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองโกตาบารู
รถบัสสาย 29 เป็นรถที่ให้บริการในเส้นทางระหว่าง
รันเตาปันยัง - โกตาบารู
บรรยากาศบนรถซึ่งบริษัทรถที่ให้บริการก็คือ
Mutiara Rentas Desa
เส้นทางที่รถบัสวิ่งผ่านซึ่งจะอยู่ในพื้นที่รัฐกลันตันทั้งหมด
เมื่อผ่านจุดของวงเวียนจะมีป้ายบอกพิกัดว่าจะไปที่ไหนบ้าง
ซึ่งมีทั้งตุมปัตรวมไปถึงโกตาบารู
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะมาถึง
สถานีขนส่งซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองโกตาบารู
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
26 สิงหาคม 2567
EP.163 ยอดเขาบูกิต ลารุต
ยุคสมัยปัจจุบันเริ่มมีผู้คนจำนวนมากหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้นและนั่นจึงทำให้การออกกำลังกายได้รับความนิยมเป็นอย่างมากซึ่งในช่วงเช้าๆกับช่วงเย็นจะพบเห็นบรรยากาศของผู้คนที่มาออกกำลังกายกันเป็นจำนวนมากทั้งตามสวนสาธารณะ ฟิตเนส หรือบริเวณริมทางเท้าก็จะเป็นจุดที่เจอคนมาวิ่งออกกำลังกายด้วยเช่นกัน ขณะที่ในสังคมชนบทที่มีภูเขาป่าไม้และธรรมชาติก็จะมีผู้คนไปออกกำลังกายเช่นขึ้นและการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมในต่างจังหวัดก็จะเป็นการเดินหรือวิ่งขึ้นเขา
สำหรับในประเทศมาเลเซียก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มียอดเขาป่าไม้ธรรมชาติอยู่พอสมควร โดยที่ในเมืองไทปิงก็เป็นเมืองที่ถูกโอบล้อมไปด้วยภูเขาและมีธรรมชาติอันสวยงาม โดยหนึ่งในสถานที่ที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองไทปิงก็คือ ยอดเขาบูกิต ลารุตหรือในภาษาอังกฤษจะถูกเรียกกันว่า เนินเขาแม็กซ์เวลล์ โดยยอดเขาแห่งนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเลราวๆ 1,250 เมตรและมักจะมีพื้นที่ที่ค่อนข้างชุ่มฉ่ำนั่นก็เพราะว่าเมืองไทปิงมีฝนตกค่อนข้างจะชุก
ผมได้มีโอกาสเดินขึ้นยอดเขาบูกิต ลารุตอยู่ประมาณ 2 ครั้งแต่ก็ไม่เคยเดินขึ้นไปถึงยอดเขาด้านบนสุดเสียทีเนื่องจากการที่จะเดินขึ้นไปพิชิตยอดเขาบูกิต ลารุตต้องใช้เวลาในการเดินประมาณ 4 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำเพราะจากจุดเริ่มต้นไปยังยอดเขาด้านบนสุดจะมีระยะทาง 14 กิโลเมตร แต่ถึงแม้ทางเดินขึ้นไปจะค่อนข้างไกลและทั้งสูงและบางจุดก็มีความชันแต่ก็ยังมีหลายคนที่ต้องการเดินพิชิตขึ้นไปสู่ยอดเขาด้านบนสุดให้ได้ เนื่องจากบริเวณจุดด้านบนจะมีบรรยากาศที่สวยงามเนื่องจากในอดีตได้มีกลุ่มชาวอังกฤษขึ้นไปสร้างที่พักตากอากาศเอาไว้ในสมัยที่อังกฤษยังเป็นเจ้าอาณานิคมของมาเลเซีย
ส่วนในปัจจุบันยอดเขาบูกิต ลารุตกลายเป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวและเป็นจุดยอดนิยมที่ผู้คนท้องถิ่นมักจะมาออกกำลังกายซึ่งส่วนมากก็คือ การเดินขึ้นสู่ยอดเขา แต่ก็มีผู้คนไม่มากนักที่จะเดินไปจนถึงยอดด้านบนสุดแต่ถึงกระนั้นก็มีผู้ที่สามารถเดินพิชิตยอดเขาบูกิต ลารุตได้มาหลายคนแล้ว ส่วนผมเคยมีความคิดที่จะเดินขึ้นไปจนถึงยอดด้านบนสุดเหมือนกัน แต่เมื่อเดินไปได้สักพักก็ต้องขอยอมแพ้เพราะเส้นทางค่อนข้างไกลรวมทั้งยังมีอุปสรรคจากสายฝนที่ตกโปรยปรายลงมาซึ่งเป็นเรื่องที่จะเจอกันได้เป็นปกติเมื่อมาที่ยอดเขาบูกิต ลารุต
แผนที่เส้นทางการเดินขึ้นสู่ยอดเขาบูกิต ลารุต
ซึ่งระหว่างทางสามารถพบเจอกับนกหลากหลายสายพันธุ์
จุดสตาร์ทอยู่ที่ตรงนี้ซึ่งในแต่ละวันจะมีผู้คนมากมาย
มาเดินพิชิตยอดเขาแต่ส่วนมากจะเดินเอาแค่เท่าที่ไหวมากกว่า
ประวัติของยอดเขาบูกิต ลารุตซึ่งในอดีตได้มีการ
สร้างบ้านพักตากอากาศไว้บริเวณจุดด้านบนของยอดเขา