เวียดนาม


 EP.11 สวนสาธารณะย่านฟามงูเหลา

ฟามงูเหลา คือ ถนนสายหนึ่งที่ตั้งอยู่ในกรุงโฮจิมินห์ของประเทศเวียดนาม ถนนย่านนี้จะอยู่ที่แถวเขต 1 ซึ่งจะเป็นย่านที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้ถนนฟามงูเหลาถือว่ามีความคึกคักเต็มไปด้วยร้านอาหาร ผับบาร์ต่างๆและโรงแรมที่ต่างเปิดเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ตอนผมไปเที่ยวโฮจิมินห์ครั้งแรกผมก็มักมาตั้งหลักที่ย่านฟามงูเหลา เพราะเปรียบเสมือนกับ ถนนข้าวสารของเวียดนาม นักท่องเที่ยวต่างชาติก็มักมารวมตัวอยู่กันแถวๆนี้เยอะ 

อีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ในย่านฟามงูเหลาก็คือ สวนสาธารณะ โดยเป็นสวนสาธารณะที่พื้นที่อาจไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นจุดรวมของผู้คนไม่ว่าจะเป็นคนเวียดนามเองหรือจะเป็นนักท่องเที่ยว ส่วนกิจกรรมที่จะพบเห็นได้บริเวณสวนสาธารณะในย่านฟามงูเหลา จากเท่าที่ผมไปเดินสำรวจมาก็ไม่ได้แตกต่างจากเมืองไทยมากนักมีทั้งผู้คนมาวิ่งมาเดินออกกำลังกาย รวมทั้งมาเล่นแบดมินตัน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการเตะลูกขนไก่ โดยจะมีพวกพ่อค้าแม่ค้านำมาตั้งขาย การเล่นก็เหมือนเตะตะกร้อโดยจะมีผู้เล่นล้อมวงประมาณ 3-4 คนขึ้นไปโดยมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ผมว่ามันน่าสนใจดีแต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ลองเตะถ้ากลับไปเที่ยวโฮจิมินห์ในโอกาสหน้าผมไม่พลาดแน่นอน

โดยผมได้เก็บบรรยากาศทั้งในช่วงกลางวัน ตอนเย็นและตอนหัวค่ำ ตอนเย็นจะมีผู้คนมาออกกำลังกายเยอะที่สุด ส่วนตอนหัวค่ำจะมีกลุ่มสมาชิกชมรมการต่อสู้ ถ้าเดาดูแล้วน่าจะเป็นพวกกังฟูไม่ก็คาราเต้หรือเทควันโด้อย่างใดอย่างหนึ่งมาฝึกฝนกัน ดูจากหน้าตาของแต่ละคนก็ยังเป็นวัยรุ่นวัยเรียนกันทั้งนั้น แต่การออกกำลังกายทุกอย่างดีหมด ผมเองก็ออกกำลังกายบ้างแต่ไม่บ่อยนัก แต่สวนสาธารณะคือสถานที่ที่ผมชอบไปพอสมควรอย่างน้อยไม่ได้ไปออกกำลังกายก็ออกไปนั่งชมบรรยากาศต่างๆดูผู้คนทำกิจกรรมกันก็สร้างความเพลิดเพลินได้ไม่น้อย สวนสาธารณะย่านฟามงูเหลาจึงเหมือนกับจุดนัดพบของชาวเมืองโฮจิมินห์ที่หลงรักในการเล่นกีฬาหรือจะมานั่งคุยกันชมวิถีชีวิตของผู้คนก็เพลินพอสมควรเลยทีเดียว


คนเวียดนามมาออกกำลังกายกันที่
สวนสาธาณะย่านฟามงูเหลา

ตีแบดมินตัน

เตะลูกขนไก่ เสียดายที่ผมไม่ได้มีโอกาสลอง

อีกมุมนึงของสวนสาธารณะ มีเก้าอี้ให้นั่งพอสมควร

ต้นไม้ใหญ่ที่คอยให้ร่มเงา

มีบึงน้ำตั้งอยู่กลางสวนสาธารณะ

ผู้คนมาเดินออกกำลังกาย

กลุ่มผู้หญิงที่เข้ามาออกกำลังกาย

มีเครื่องออกกำลังกายมากมาย

ช่วงหัวค่ำได้เห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่น
มาทำกิจกรรมกันดูแล้วเหมือนเป็นฝึกวิชาการต่อสู้

มีหลากหลายวัยและดูมีความพร้อมเพรียงกัน
พอสมควรเลยทีเดียว


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
20 กุมภาพันธ์ 2564



EP.12 เฝอประธานาธิบดี


คำว่า เฝอประธานาธิบดี ที่ผมได้จั่วหัวเอาไว้ไม่ใช่เป็นชื่อชนิดของเฝอที่เป็นอาหารประจำชาติของประเทศเวียดนาม แต่เป็นชื่อร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงโฮจิมินห์ของเวียดนามซึ่งมีเมนูหลักก็คือ เฝอ โดยตามชื่อภาษาอังกฤษจะมีชื่อว่า PHO2000 ซึ่งที่มาของการตั้งชื่อร้านแบบนี้ก็มาจากการที่ในยุคปี 2000 ในเวลานั้นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคือ บิล คลินตันได้มาเยือนประเทศเวียดนาม โดยนอกจากจะมาเข้าพบกับประธานาธิบดีของเวียดนามแล้ว บิล คลินตันยังถือโอกาสไปชิมรสชาติอาหารสไตล์เวียดนามแท้ๆอย่าง เฝอ อีกด้วย ซึ่งร้านที่นายคลินตันเข้าไปนั้นก็คือร้านเฝอที่ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนแถวๆตลาดเบนถั่น นับตั้งแต่นั้นมาร้านแห่งนี้จึงกลายเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เพราะการที่มีคนระดับประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเคยเข้ามารับประทานอาหารย่อมทำให้ชื่อเสียงของร้านโด่งดังกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

ส่วนบรรยากาศในร้านผมว่าค่อนข้างธรรมดาไม่ได้มีการตกแต่งขายไอเดียอะไรมากเป็นพิเศษ นอกจากจะนำรูปที่นายบิล คลินตันเคยเข้ามานั่งทานเฝอเมื่อปี 2000 มาติดโชว์ ขณะที่ตัวร้านก็ตั้งอยู่บริเวณด้านบนชั้น 2 เพราะด้านล่างเป็นพื้นที่ของร้านกาแฟ ลักษณะภายในก็ดูแคบลงถนัดตาเนื่องจากในแต่ละวันจะมีลูกค้าเข้ามารับประทานอาหารเป็นจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่เท่าที่ผมมองดูจากสายตาก็จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถือโอกาสมาเที่ยวยังกรุงโฮจิมินห์ก็ต้องแวะมาทานเฝอที่ร้าน PHO2000 ขณะที่เมนูก็มีไม่มากหลักๆก็จะเป็นเฝอเนื้อ เฝอไก่ และก็มีปอเปี๊ยะทอดไว้คอยบริการให้แก่ลูกค้า ส่วนรสชาติผมว่าค่อนข้างธรรมดาเอาจริงๆพวกร้านอื่นๆที่อร่อยกว่ายังมีอีกมากมายนักอีกทั้งราคาของเมนูเฝอที่นี่ก็จะแพงกว่าที่อื่นอย่างที่ผมไปสั่งผมเลือกทานเฝอเนื้อชามนึงก็ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่า 120 บาทเข้าไปแล้วซึ่งผมเองก็ไม่ได้แปลกใจนัก เพราะว่าร้าน PHO2000 เน้นขายชื่อเสียงของร้านมากกว่าเรื่องของบรรยากาศรวมถึงรสชาติ อาจจะพูดได้ว่าเป็นร้านที่โอเวอร์เรทเกินจริงก็คงจะว่าได้


ร้าน PHO2000 ตั้งอยู่หัวมุมถนนใกล้ๆตลาดเบนถั่น

เข้ามาแล้วต้องเดินขึ้นไปชั้นที่ 2 เพราะ
ชั้นล่างเป็นร้านกาแฟ

เมนูยอดฮิตของทางร้านก็คือ เฝอเนื้อ

พนักงานมีหลายคน ขณะเดียวกันลูกค้าก็เข้ามาอย่าง
ต่อเนื่องแบบไม่ขาดสาย

ลูกค้าส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ
โดยกลุ่มทัวร์จีนจะเยอะมากเป็นพิเศษ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
23 กุมภาพันธ์ 2564



EP.18 ประติมากรรมริมแม่น้ำหาน


ประติมากรรม คือ งานศิลปะแขนงหนึ่งที่เกี่ยวกับ การปั้น การแกะสลัก หลายคนมีความชื่นชอบและสนใจในงานศิลป์ด้านนี้ ทำให้มีผู้ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปะติมากรรมอย่างมากมายบนโลกใบนี้ ส่วนตัวผมนั้นแทบไม่มีความรู้ในเรื่องศิลปะไม่ว่าจะเป็นงานเขียน การวาดหรือการปั้นแกะสลักต่างๆ แต่ผมกลับชอบที่จะไปชมงานเหล่านี้ทั้งตามนิทรรศการต่างๆที่จัดแสดงในอาคารหรือจะเป็นงานศิลป์ที่หาพบได้ทั่วไปตามข้างถนนที่เรียกกันแบบรวมๆว่า สตรีทอาร์ต เพราะเมื่อได้ชมงานศิลปะผมมีความเชื่อลึกๆว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้อารมณ์เย็นและสงบลง แม้จะอยู่ในความเครียดแค้นอารมณ์โกรธจากไหนมาแต่เมื่ได้มองมามาเห็นมาสัมผัส ความรู้สึกต่างๆก็จะดูสดชื่นขึ้นอารมณ์โมโหก็จะหายไปเอง

สำหรับงานประติมากรรม ปกติแล้วสามารถชมกันได้ทุกที่ทั่วโลกในเมืองไทยก็มีให้เห็นมากมายตามสถานที่ต่างๆง่ายสุดคือ การเดินเข้าวัดก็จะสามารถพบเห็นพวกงานประติมากรรมได้เป็นจำนวนมาก ส่วนที่ประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนของไทยที่เวียดนามก็มีงานประติมากรรมให้ได้ชมเช่นกัน แถมงานพวกนี้ตั้งอยู่ริมถนนสามารถชมกันได้ตลอด 24 ชั่วโมงแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะสถานที่ตั้งของประติมากรรมพวกนี้อยู่ริมแม่น้ำหานในเมืองดานังซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของเวียดนาม โดยจุดของแม่น้ำหานจะมีความสวยงามอย่างมากเมื่อถึงตอนกลางคืน เพราะจะมีการเปิดไฟสร้างสีสันเห็นสะพานมังกรพ่นน้ำได้อย่างชัดเจน หลายคนที่มาเที่ยวดานังจึงมักไม่พลาดที่จะมาถ่ายรูปและชมบรรยากาศของสะพานมังกรบริเวณริมแม่น้ำหานในบรรยากาศช่วงเวลายามค่ำคืน

แตถ้าหากมาเดินในตอนกลางวันที่อากาศร้อน ผมต้องบอกไว้ก่อนเลยว่ากลางคืนนั้นสวยกว่าเยอะ ส่วนกลางวันนั้นบรรยากาศดูธรรมดาเอามากๆ แต่ถ้าใครอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศการมาเดินตอนกลางวันก็มีสิ่งน่าสนใจเช่นกันอย่าง งานประติมากรรมซึ่งมีรูปปั้นในลักษณะต่างๆมากมายหลายรูปและเห็นได้ชัดเจนได้มากกว่าเวลากลางคืน งานประติมากรรมเหล่านี้ผมเองก็ไม่ทราบข้อมูลว่าใครเป็นคนสร้าง แต่เมื่อมีการนำมาวางไว้บริเวณทางเดินริมแม่น้ำหานก็ดันกลายเป็นหนึ่งในจุดเช็คอินแห่งใหม่และเป็นจุดที่น่าสนใจของเมืองดานังเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแห่ง ซึ่งรูปปั้นเหล่านี้ก็มีในลักษณะหลายท่าทางเป็นการบ่งบอกถึงความหมายที่รูปปั้นรูปนั้นสื่อออกมา ผมใช้เวลาไม่นานนักในการเดินชม ส่วนหนึ่งเพราะอากาศค่อนข้างร้อนและอบอ้าวทำให้การเดินชมอาจเป็นไปแบบรีบๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า รูปปั้นต่างๆที่ตั้งอยู่บริเวณแม่น้ำหานนั้นมีความสวยงามและบ่งบอกถึงฝีมือของผู้สร้างได้เป็นอย่างดีว่าน่าจะเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านงานประติมากรรมค่อนข้างสูงเลยทีเดียว


ประติมากรรมริมแม่น้ำหาน

มีรูปปั้นในลักษณะท่าทางต่างๆ

รูปปั้นผู้หญิงดูแล้วมีความงดงามไม่น้อย

รูปนก ดูแล้วอาจจะเป็นอินทรี

รูปปั้นต่างๆบ่งบอกความหมายในตัวได้เป็นอย่างดี

มีรูปปั้นต่างๆมากมาย
แต่ผมถ่ายรูปมาไม่หมด เพราะรีบเดินเนื่องจากอากาศร้อน

บรรยากาศสะพานมังกรและแม่น้ำหาน
ในช่วงเวลากลางวัน


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
21 มีนาคม 2564



EP.20 บรรยากาศเมืองหวุงเต่า

หากไปถามชาวเมืองโฮจิมินห์ในประเทศเวียดนามว่า สถานที่พักผ่อนหย่อนใจในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ของพวกคุณคือที่ใด คำตอบที่ออกมาก็คงจะคล้ายๆกันนั่นก็คือ เมืองหวุงเต่า ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ห่างจากกรุงโฮจิมินห์ไม่ไกลนักการเดินทางสามารถไปได้ทั้งทางรถและทางเรือ แต่ถ้าหากต้องการความสะดวกรวดเร็วและความสบายการเดินทางด้วยเรือโดยสารถือว่าเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์อย่างมาก สำหรับการเดินทางด้วยเรือจากท่าเรือในกรุงโฮจิมินห์ไปที่เมืองหวุงเต่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 2 ชั่วโมง ซึ่งสิ่งที่แตกต่างจากการนั่งรถโดยสารก็คือไม่ต้องปวดหัวกับเสียงแตรบนท้องถนน ส่วนบรรยากาศระหว่างทางผมว่าไม่ค่อยสวยเท่าไหร่แม้ว่าผมจะพยายามกวาดสายตามองหามุมสวยๆแต่กลับพบว่าไม่มีเลย ดังนั้นผมจึงหวังว่าบรรยากาศที่เมืองหวุงเต่าอาจจะสวยก็ได้ซึ่งเมื่อมาถึงที่ก็ไม่มีผิดหวังเพราะบรรยากาศของที่หวุงเต่านั้นค่อนข้างโอเคเลยทีเดียว

เมื่อเดินทางมาถึงท่าเรือหวุงเต่าก็จะเจอรูปอนุสาวรีย์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองและพอขึ้นไปที่ฝั่งก็จะเจอพวกแท็กซี่และมอเตอร์ไซค์คอยดักถามหาลูกค้า ผมพยายามที่จะปฏิเสธไปเรื่อยๆแต่ก็มีแอบๆถามราคาดูบ้างเพราะบางทีเผื่อเดินไปเกิดหลงขึ้นมาอย่างน้อยถ้าราคาค่าโดยสารไปยังที่พักไม่แพงนักก็อาจจะมาใช้บริการรถรับจ้างพวกนี้ได้ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจนั่งมอเตอร์ไซค์ไปที่พักเนื่องจากเพราะสัมภาระที่เยอะและแดดที่ร้อนจัดของเมืองหวุงเต่า พอถึงที่พักและเก็บของเสร็จก็ออกมาเดินสำรวจเมือง ผมพักที่หวุงเต่าประมาณ 2 คืนเท่านั้นแต่กลับพบว่าตนเองชื่นชอบเมืองนี้พอสมควร ส่วนหนึ่งเพราะที่หวงเต่าเป็นเมืองชายทะเล แม้ว่าทะเลจะไม่สวยเหมือนที่เมืองไทยแต่บรรยากาศถือว่าค่อนข้างดีที่สำคัญไม่มีการมาวางเตียงผ้าใบให้เกะกะรกทางเดินและอีกอย่างคือ เสียงแตรที่เคยได้ยินจนชินในเวียดนามนั้นไม่ค่อยที่จะมีมากนักที่หวุงเต่า สาเหตุก็คงเพราะว่าการจราจรที่นี่ไม่แออัดจอแจเหมือนที่เมืองอื่นๆการบีบแตรจึงไม่ได้ยินตลอดเวลาเหมือนเมืองใหญ่ๆของเวียดนาม

สำหรับบรรยากาศของที่เมืองหวุงเต่าไฮไลท์หลักๆก็คือชายทะเลและผมพบว่าช่วงเย็นจะมีชาวเมืองคนท้องถิ่นออกมาเล่นน้ำทะเลกันเต็มไปหมด ทำให้บรรยากาศดูคึกคักอย่างมาก ส่วนสถานที่เที่ยวอื่นๆก็มีการนั่งกระเช้าลอยฟ้าข้ามทะเลซึ่งคล้ายๆกับที่เมืองญาจาง รวมทั้งยังมีจุดที่เป็นรูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่ซึ่งเมื่อเดินขึ้นไปยังด้านบนสุดก็จะเห็นวิวของเมืองหวุงเต่าได้แบบ 360 องศา นอกจากนั้นก็จะมีทั้งในส่วนของวัดสไตล์เวียดนามให้ได้เข้าชม ส่วนเรื่องของที่พักและร้านอาหารก็มีให้เลือกมากมาย เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยวและส่วนหนึ่งเอาไว้รองรับคนที่เดินทางมาจากกรุงโฮจิมินห์ การบริการต่างๆจึงมีอยู่แบบครบวงจรซึ่งถ้าจะให้เปรียบเปรยแบบง่ายๆกับเมืองไทย ถ้าหากโฮจิมินห์คือกรุงเทพฯ หวุงเต่าก็คล้ายๆกับพัทยา เพราะเดินทางไม่ไกลนักและเป็นเมืองชายทะเลเหมือนกัน นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะคนท้องถิ่นก็จะมาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์กันเยอะมาก แต่สิ่งที่อาจจะดูแตกต่างจากพัทยาก็คงเป็นที่ความเงียบสงบเหมาะแก่การมาพักผ่อนอย่างแท้จริง


บรรยากาศเมืองหวุงเต่า

นั่งเรือจากโฮจิมินห์มาหวุงเต่า
แต่บรรยากาศระหว่างทางไม่ค่อยสวยเท่าไหร่

ท่าเรือเมืองหวุงเต่า

สัญลักษณ์ประจำเมืองหวุงเต่า
ป้ายด้านหน้าเป็นคำเตือนเกี่ยวกับเรื่องหอยนางรม

ผู้ใหญ่พาเด็กมาวิ่งเล่นบริเวณลานกว้าง

วัดสไตล์เวียดนาม

มีชาวเวียดนามมากราบไหว้และทำบุญ

บรรยากาศช่วงสายๆบริเวณริมทะเล

ปลาที่ถูกคัดแยก

ชาวประมงช่วยกันคัดแยกปลาที่จับมาได้

อาชีพหลักของชาวเมืองหวุงเต่า
คือ การทำประมง

ร้านอาหารสไตล์ท้องถิ่นที่หวุงเต่า

ผมสั่งเฝอมา แต่ลำบาก
โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสาร

เมืองหวุงเต่ายามค่ำคืน

มีชาวเมืองออกมาทำกิจกรรม
กันค่อนข้างเยอะ

กลุ่มผู้หญิงมารวมตัวกันเต้น
ดูแล้วก็เพลินดีเหมือนกัน

สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่ง
รูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่

มีรูปปั้นเกี่ยวกับทางศาสนาคริสต์

บันไดทางขึ้น

รูปปั้นระหว่างทางที่เดินขึ้นไป

เดินถึงด้านบนสุดก็เจอบรรยากาศแบบนี้

มองเห็นวิวสวยๆของทะเลที่หวุงเต่า

ภาพนี้ได้คุยกับสาวเวียดนามที่มาเที่ยวเหมือนกัน
เธอบอกว่าคล้ายๆกับพัทยา

เดินกลับจากชมรูปปั้นพระเยซูเสร็จ
ระหว่างทางแดดร้อนมากเพราะเป็นช่วงเที่ยง

มีกระเช้าลอยฟ้าข้ามทะเลให้บริการ
เหมือนกับที่เมืองญาจาง

ชายทะเลหวุงเต่าในช่วงเย็น
มีชาวเมืองมาเล่นน้ำกันเยอะมาก

มีเรือประมงจอดกันเรียงราย

เดินทางกลับลาก่อนหวุงเต่า
มีโอกาสจะกลับไปเที่ยวอีกแน่นอน


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
28 มีนาคม 2564



EP.21 ทะเลทรายแห่งเวียดนาม


ถ้าหากพูดถึงคำว่า ทะเลทราย ผมเชื่อว่าหลายๆท่านน่าจะนึกไปถึงพื้นที่อันแห้งแล้งดูเวิ้งว้างเต็มไปด้วยผืนทะเลทรายท่ามกลางแสงแดดของดวงอาทิตย์ที่ร้อนระอุโดยจะนึกไปถึงว่า ดินแดนของทะเลทราย จะต้องอยู่ในย่านตะวันออกกลางหรือไม่ก็ทางทวีปแอฟริกาตอนเหนือซึ่งก็ถือว่าเป็นความคิดที่ถูกเพราะในย่านตะวันออกกลางหรือแอฟริกาตอนเหนืออย่าง อียิปต์ แอลจีเรียหรือโมร็อคโกก็มีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นทะเลทราย แต่ถ้าหากบอกว่าทะเลทรายที่อยู่ใกล้ๆบ้านเราหลายๆคนก็อาจจะคาดไม่ถึงหรือนึกไม่ออกว่ามันอยู่ที่ใดกันแน่ โดยทะเลทรายที่อยู่ใกล้ๆกับเมืองไทยนั้นต้องบอกเลยว่ามีอยู่จริงและอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนของไทยอย่าง เวียดนาม โดยทะเลทรายจะตั้งอยู่ในเมืองฟานเที้ยตซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโฮจิมินห์ไปประมาณ 200 กิโลเมตร แต่ในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเรียกกันว่า มุยเน่ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ชื่อเมืองแต่มาจากชื่อของผืนแผ่นดินที่ยื่นลงไปในทะเล แต่ไปๆมาๆชื่อมุยเน่กลายเป็นชื่อเรียกของตัวเมืองซะอย่างนั้น ทำให้ถูกเรียกกันมาอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน

สำหรับทะเลทรายที่มุยเน่จะมีอยู่ 2 ที่นั่นก็คือ ทะเลทรายแดง กับทะเลทรายขาว สำหรับการไปเที่ยวชมทะเลทรายก็สามารถเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่ไปเที่ยวเองหรือจะเป็นวิธียอดนิยมอย่างการนั่งรถจิ๊บเป็นกลุ่มโดยจะเป็นการเที่ยวแบบครึ่งวัน จริงๆแล้วตอนที่ผมไปมุยเน่ผมเช่ามอเตอร์ไซค์จากที่พักกะจะขี่ไปเที่ยวด้วยตนเอง แต่กลับเกิดอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ล้มจนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งจริงๆผมจะยกเลิกแผนการเที่ยวทั้งหมดแล้วแต่คิดว่าไหนๆก็มาแล้วก็ตัดสินใจซื้อทัวร์โดยการนั่งรถจิ๊บไปแบบครึ่งวัน สำหรับทั้ง 2 ทะเลทรายค่อนข้างมีความแตกต่างทะเลทรายแดงจะมีเอกลักษณ์คือเม็ดทรายที่เป็นสีแดงโดยเกิดจากสนิมเหล็ก แต่โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าไม่ค่อยสวยเท่าไหร่และดูเป็นทรายแบบหยาบๆ ส่วนทะเลทรายขาวนั้นอันนี้ถือว่าสวยงามกกว่าและไฮไลท์เด่นก็คือเวลามาชมในตอนพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าหรือพระอาทิตย์ตกดินจะได้เห็นแสงจากดวงอาทิตย์ตัดสะท้อนกับผืนทะเลทรายซึ่งมีความสวยงามอย่างมากหลายๆคนที่ได้เห็นก็มักไม่พลาดที่จะหยิบทั้งมือถือและกล้องถ่ายรูปมาถ่ายภาพบรรยากาศของแสงจากดวงอาทิตย์ที่ตัดสะท้อนกับผืนทะเลทราย

ส่วนกิจกรรมอื่นๆที่มีในขณะที่เที่ยวชมทะเลทรายทั้ง 2 แห่งก็คือ การนั่งรถเอทีวีตะลุยผืนทรายแต่เท่าที่ผมสังเกตุราคามาแล้วถือว่าค่อนข้างแพงเอาเรื่องกับการได้ลองขี่หรือนั่งรถเอทีวีซึ่งไม่ถึง 30 นาทีด้วยซ้ำและอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตคือการเล่นสไลเดอร์โดยจะมีพวกแม่ค้านำสไลเดอร์มาขายให้แก่นักท่องเที่ยวอันนี้ราคาไม่แพงมากเล่นได้หลายรอบ โดยความสนุกจะอยู่ที่การนั่งแผ่นรองสไลเดอร์จากที่สูงและปล่อยตัวลงมายังด้านล่าง แต่ทั้ง 2 กิจกรรมผมไม่ได้ลองเพราะอย่างที่ทราบกันคือได้รับบาดเจ็บก่อนที่จะมาเที่ยวทะเลทราย 1 วัน จึงได้แต่มองคนอื่นเล่นกันไป และสำหรับใครที่ซื้อทัวร์รถจิ๊บมาเที่ยวทะเลทรายที่มุยเน่แบบผมนอกจากจะได้มาชมทะเลทรายทั้ง 2 แห่งแล้วยังได้ไปเที่ยวหมู่บ้านชาวประมงเพราะที่มุยเน่นั้นชาวบ้านส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพชาวประมงและอีก 1 สถานที่ที่ได้ไปคือ แฟรี่สตรีมหรือลำธารสายเล็กๆที่มีชั้นหินและชั้นทรายสวยงามโดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินลุยผ่านลำธารแห่งนี้ได้ แต่สถานที่ทั้งหมดผมก็ได้เพียงแต่ยืนมองหรือนั่งดูเท่านั้น ช่างน่าเสียดายจริงๆที่มาบาดเจ็บเสียก่อน ยังไงเสียโอกาสก็ยังมีเสมอผมก็หวังว่าหากเปิดประเทศอีกครั้งก็จะกลับไปเที่ยวชมความงามของทะเลทรายที่มุยเน่อีกรอบให้จงได้


ทะเลทรายแห่งเวียดนาม

ทะเลทรายขาว วันที่ผมไปมีนักท่องเที่ยว
มาเที่ยวกันพอสมควร

ทะเลทรายแดง

เม็ดทรายที่ทะเลทรายแดง
ไม่ค่อยสวยเท่ากับที่ทะเลทรายขาว

บรรยากาศรอบๆของทะเลทรายแดง

มองเห็นวิวทะเลสาบ

กิจกรรมที่มีให้ทำหนึ่งในนั้นก็คือ
นั่งแผ่นรองสไลเดอร์

หรือจะเป็นการนั่งรถเอทีวีตะลุยทะเลทราย
แต่ราคาค่อนข้างแพงเอาเรื่อง

ทะเลทรายขาวในช่วงยามบ่าย
รูปเงาที่เห็นคือ ผมเอง

บรรยากาศด้านหน้าของทะเลทรายขาว

หากซื้อทัวร์มาเที่ยวเหมือนอย่างผม
ท่านจะได้ชมบรรยากาศของหมู่บ้านชาวประมงด้วย


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
31 มีนาคม 2564


EP.25 พิพิธภัณฑ์สงครามกรุงโฮจิมินห์

สงครามมีแต่ความสูญเสีย สงครามสร้างความความเสียหายทั้งทางร่างกายและทางจิตใจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้ชนะหรือฝ่ายผู้แพ้ ผมเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการเรียนรู้ในด้านประวัติศาสตรซึ่งเหตุการณ์จากในอดีตนั้นเรื่องของสงครามเป็นสิ่งที่จะสามารถได้ยินและได้รับฟังมาบ่อยครั้ง ในอดีตจะมีสงครามใหญ่ๆก็อย่างเช่นสงครามโลกครั้งที่ 2 และครั้งที่ 2 และยังมีสงครามยิบย่อยอีกเป็นจำนวนมาก โดยสงครามในอดีตที่เป็นสมรภูมิที่น่าจะคุ้นเคยสำหรับชาวไทยเป็นอย่างดีก็คงหนีไม่พ้น สงครามเวียดนาม ซึ่งเป็นสงครามที่เกิดขึ้นในย่านอาเซียนโดยจะเป็นในยุคของสงครามเย็นระหว่างฝ่ายโลกเสรีประชาธิปไตยที่นำโดยสหรัฐอเมริกา กับ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งนำโดยสหภาพโซเวียต สงครามเย็นก็จะเปรียบเสมือนสงครามตัวแทนทั้งฝ่ายอเมริกาและโซเวียตจะไม่ปะทะหรือเข้ารบกันเอง แต่จะอยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนชาติตัวแทนของตนเองเสียมากกว่า

สงครามเวียดนามก็คือสงครามตัวแทนเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็น โดยจะเป็นการรบระหว่างฝ่ายเวียดนามด้วยกันเอง โดยจะมีการแบ่งฝ่ายคือ ฝ่ายเวียดนามเหนือหรือเวียดกงจะมีสหภาพโซเวียตคอยสนับสนุน ขณะที่อีกฝ่ายเวียดนามใต้ซึ่งจะมีสหรัฐอเมริกาคอยสนับสนุน ซึ่งสุดท้ายผลการรบคือฝ่ายเวียดนามเหนือเป็นฝ่ายชนะและทำให้โลกรู้ว่าอเมริกาต้องมาพ่ายแพ้การต่อสู้แบบกองโจร โดยหลังจากสงครามก็สร้างความเสียหายอย่างหนักแก่ประเทศเวียดนามส่งผลทั้งด้านร่างกายและทางด้านจิตใจซึ่งมันเป็นเรื่องที่สร้างบาดแผลในใจแก่ชาวเวียดนามหลายคน ทำให้ปัจจุบันคนเวียดนามจึงเลือกที่จะเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีขึ้นซึ่งจะไปในทางสร้างสรรค์และร่วมมือกันในการพัฒนาชาติ

ขณะเรื่องราวของสงครามเวียดนามก็ได้ถูกบันทึกในความทรงจำแต่สิ่งที่จะสะท้อนออกมาได้ดีนั่นก็คือการสร้างพิพิํธภัณฑ์เกี่ยวกับสงครามขึ้นมาซึ่งในกรุงโฮจิมินห์ได้มีพิพิธภัณฑ์ที่สะท้อนเรื่องราวของยุคสงครามเวียดนามและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกซึ่งจะเดินทางมาเข้าชมในแต่ละวันอย่างไม่ขาดสาย โดยในส่วนของพิพิธภัณฑ์ก็จะจัดแสดงเรื่องราวของสงครามเวียดนามอย่างละเอียดมีข้อมูลที่ครบถ้วน รวมถึงยังมีภาพเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นสมัยสงคราม ภาพความโหดร้ายที่ชาวเวียดนามต้องเจอทั้งการถูกทำร้ายร่างกายและการถูกฆ่า รวมถึงผลกระทบของสงครามที่ส่งผลมาถึงตัวพวกเขาในยุคปัจจุบันบางคนตาบอดมองไม่เห็น บางคนพิการแขนขา บางคนก็ได้รับบาดเจ็บจากระเบิดจนกลายเป็นผู้พิการซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นบาดแผลทางร่างกายและจิตใจแก่ชาวเวียดนามที่อยู่ในช่วงสงครามอย่างมาก

ผมใช้เวลาเดินชมพิพิธภัณฑ์สงครามอยู่ประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงได้เห็นทั้งอาวุธที่ใช้กันจริงๆในช่วงสงครามเวียดนาม ยานพาหนะต่างๆทั้งเฮลิคอปเตอร์และรถถัง รวมถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามแต่ที่น่าหดหู่ที่สุดก็คงเป็นภาพของชาวเวียดนามโดยเฉพาะกลุ่มของฝ่ายเวียดนามเหนือที่หลายคนถูกฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหดบางคนถูกทรมานทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส บางรายก็เป็นเด็กเล็กแต่ก็ถูกกระทำอย่างทารุณ ภาพเหตุการณ์พวกนี้ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่รู้สึกหดหู่ใจแต่ผมลองสังเกตุนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาชมหลายๆคนเมื่อมองภาพพวกนี้ก็มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักและน่าจะรู้สึกหดหู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งจากเหตุการณ์ในอดีตที่ชาวเวียดนามต้องเผชิญกับภาพวะของสงครามมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในยุคปัจจุบันชาวเวียดนามต่างก็มีความมุ่งมั่นและความขยันจากที่ผมได้สังเกตุมาพวกเขาเลือกที่จะเรียนรู้เรื่องราวในอดีตและพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกและมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาประเทศชาติสู่ความเจริญไม่ว่าจะเป็นในปัจจุบันหรืออนาคต


พิพิธภัณฑ์สงครามกรุงโฮจิมินห์

ภาพเหตุการณ์ในยุคสงครามเวียดนาม
พร้อมคำอธิบายทั้งภาษาเวียดนามและภาษาอังกฤษ

ภาพเหตุการณ์การทิ้งระเบิด
จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก

ภาพประเทศที่สนับสนุนฝ่ายเวียดนามเหนือ
ภาพนี้เป็นประเทศคิวบาที่มีผู้นำอย่างฟิเดล คาสโตร

ภาพเชลยศึกฝ่ายเวียดนามเหนือ
ถูกฝ่ายทหารอเมริกันจับกุมตัว

ทหารอเมริกันถือซากศพของเชลยศึกฝ่ายเวียดนามเหนือ

ทหารอเมริกันโจมตีกองกำลังของเวียดนามเหนือ
มีการเผาทำลายข้าวของจนพินาศ

ภาพประวัติศาสตร์เด็กหญิงวัย 9 ขวบ
ในสภาพเปลือยกายกำลังร้องไห้หนีภัยสงคราม

อาวุธปืนที่ใช้ในสงครามเวียดนาม

ปืนกล

อาวุธปืนที่ใช้ในสงคราม

ปืนบาซูก้า

ภาพศพของเชลยศึกที่ถูกหั่นตัดตอน
ถูกทิ้งอยู่บนเรือ

ภาพของเชลยศึกที่เสียชีวิต
ดูทีไรก็หดหูุ่ใจ

ทหารฝ่ายเวียดนามใต้จับตัว
เชลยศึกฝ่ายเวียดนามเหนือและกำลังจะฆ่าทิ้ง

เฮลิคอปเตอร์หนึ่งในยานพาหนะ
ที่ใช้ในสงครามเวียดนาม

เฮลิคอปเตอร์ตั้งอยู่โซนด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์

รถถังหนึ่งในยานพาหนะที่มีอานุภาพ
การโจมตีค่อนข้างรุนแรง

รถถังที่เคยถูกใช้ในสงครามเวียดนาม


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
14 เมษายน 2564



EP.29 โฮสเทลยอดนิยมแห่งเมืองดานัง

การเดินทางท่องเที่ยวในต่างแดนของผมนั้น ผมจะมีปณิธานตั้งไว้เสมอว่า พยายามกินง่ายอยู่ให้ง่ายทำตัวกลมกลืนกับคนท้องถิ่นและซึมซับวัฒนธรรมของแต่ละชาติให้ได้มากที่สุดซึ่งการตั้งเป้าหมายแบบนี้ก็ทำให้ผมสามารถประหยัดงบประมาณและเซฟเงินค่าใช้จ่ายในแต่ละทริปได้พอสมควร โดยเฉพาะในเรื่องของการหาที่พักซึ่งปกติเวลาผมไปเที่ยวต่างประเทศผมก็มักไปคนเดียว ดังนั้นการจะเลือกที่หลับที่นอนในแต่ละคืนผมจึงไม่เน้นความหรูหราอลังการในราคาหลักพันอัพขึ้น แต่จะเน้นในราคาที่ไม่เกิน 500 บาทต่อคืนซึ่งช่วงแรกๆผมก็คิดว่าคงน่าจะเป็นโรงแรมหรือเกสต์เฮาส์ราคาถูกๆนี่แหละ แต่การได้ออกได้เดินทางไปยังต่างประเทศทำให้ผมได้มารู้จักกับที่พักในสไตล์แบบประหยัดที่เขานิยมเรียกกันว่า โฮสเทล

โฮสเทล ก็คือที่พักยอดนิยมของบรรดาชาวแบ็คแพ็คเกอร์ โดยที่พักประเภทนี้มีจุดเริ่มต้นจากประเทศเยอรมันที่มีไอเดียทำที่พักเพื่อรองรับพวกบรรดานักเดินทางที่รอนแรมมาไกล ส่วนปัจจุบันโฮสเทลกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายซึ่งคนที่จะมาพักก็มักจะเป็นนักท่องเที่ยวจากฝั่งตะวันตกอย่างพวกฝรั่งหัวทอง แต่ปัจจุบันก็มีนักท่องเที่ยวจากโซนอื่นๆมาพักมากยิ่งขึ้นอย่างเช่นคนเอเชียหัวดำอย่างเราๆและนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มาพักก็มักจะเป็นคนที่แบกเป้เที่ยวเป็นส่วนใหญ่และที่พักประเภทนี้มักมีราคาถูกแต่จะต้องแชร์หรือนอนรวมกับผู้อื่นที่เราไม่รู้จัก โดยตอนที่ผมไปเที่ยวที่เมืองดานังซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของประเทศเวียดนาม ผมก็มองหาที่พักประเภทโฮสเทลไว้ก่อนเนื่องจากต้องการประหยัดงบไว้ใช้จ่ายในส่วนอื่น แต่ด้วยความเป็นเมืองท่องเที่ยวทำให้ราคาที่พักของเมืองนี้จะสูงอยู่พอสมควร ผมเองก็ไม่ได้จองที่พักเอาไว้เรียกได้ว่าเจอที่ไหนก็กะจะวอล์คอินเข้าไปถามเลย สุดท้ายก็มาเจอกับโฮสเทลที่มีชื่อว่า The Vietnam Hostel (เดอะเวียดนามโฮสเทล) ซึ่งทำเลที่ตั้งถือว่าดีมากๆเพราะอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำหานซึ่งจะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูปและเช็คอินกัน เรียกได้ว่าเดินออกมาไม่กี่ก้าวก็จะเจอแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองดานังพอดิบพอดี

ผมวอล์คอินเข้าไปถามพนักงานก็ได้คำตอบว่าสามารถเข้าพักได้เลย เพราะปกติโฮสเทลมักจะว่างอยู่ตลอดเนื่องจากมีการเช็คอินเช็คเอาท์กันตลอดเวลา เนื่องจากคนที่มาพักส่วนมากจะอยู่กันไม่นานนัก สำหรับ The Vietnam Hostel จัดได้ว่าเป็นโฮสเทลที่ถูกสร้างขึ้นไม่นานโดยผมไปพักเมื่อเดือนพฤศจิกายนของปี 2018 ก็ได้ทราบจากพนักงานว่าที่นี่เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่กี่ปีทำให้บรรยากาศของโฮสเทลค่อนข้างดูใหม่และมีความทันสมัย ส่วนเจ้าของนั้นคือชาวอิตาลีที่มาทำธุรกิจในเวียดนามโดยเขามีไอเดียในการออกแบบที่ดูค่อนข้างสร้างสรรค์ ตัวของโฮสเทลมี 3 ชั้นโดยชั้นล่างสุดจะทำเป็นเคาน์เตอร์บาร์ซึ่งเป็นจุดไว้สำหรับจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มมีเก้าอี้ให้นั่งแบบสบายๆซึ่งตั้งอยู่ทั้งด้านในและด้านนอก มีเมนูอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายชนิดนอกจากนั้นยังมีลิฟท์ไว้บริการสำหรับผู้ที่ชอบในความสะดวกสบาย ส่วนชั้น 2 และ 3 จะถูกจัดทำเป็นห้องพักหลักๆก็จะเป็นห้องนอนรวมโดยจะถูกสรรเป็นล็อคมีชั้นบนและชั้นล่างและมีผ้าม่านปิดเพื่อความเป็นส่วนตัวของคนที่มาพัก ส่วนห้องน้ำจะอยู่ตรงกลางโดยแบ่งส่วนของห้องอาบน้ำและห้องสุขาแบบชัดเจน ขณะเดียวกันก็มีตู้เย็นและจุดบริการน้ำดื่มฟรีให้แขกที่เข้ามาพัก ส่วนใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัวก็จะมีในส่วนของห้องพักแบบส่วนตัวด้วยเช่นกันแต่ในส่วนนี้ผมไม่ทราบว่าลักษณะเป็นเช่นไร ส่วนเรื่องราคาก็อาจจะดูแพงกว่าโฮสเทลในที่อื่นๆเนื่องจาก The Vietnam Hostel นั้นได้เปรียบในเรื่องของทำเลที่ตั้งและความใหม่ทันสมัยของตัวที่พักซึ่งสนนราคาอยู่ที่ประมาณ 350 บาทต่อคืนสำหรับห้องนอนรวม


The Vietnam Hostel โฮสเทลยอดนิมยมแห่งเมืองดานัง

ถ่ายรูปจากบริเวณด้านหน้าของที่พัก
สังเกตุได้ว่าจะมีสายไฟระโยงระยางเต็มไปหมด

เคาเตอร์บาร์ จุดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม
โดยมีเมนูให้เลือกหลากหลาย

สามารถเลือกนั่งมุมนั่งทานได้ตามใจชอบ

ใครที่ชอบบรรยากาศด้านนอก
ทางโฮสเทลก็มีที่นั่งให้บริการเช่นเดียวกัน

บันไดทางขึ้นลง ออกแบบได้ดูเก๋และสร้างสรรค์ดี

ใครที่ชอบความสะดวกสบาย
ก็มีลิฟท์ไว้คอยบริการเช่นกัน

จุดของห้องนอนรวมถูกแบ่งเป็นล็อคมี 2 ชั้น
และมีผ้าม่านปิดเพื่อความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น

พื้นที่ตรงส่วนกลางมีโต๊ะและเก้าอี้
ไว้สำหรับนั่งเล่นหรือนั่งทำงานได้

มีตู้เย็นและตู้กดน้ำดื่มไว้บริการฟรีให้แก่ผู้ที่มาพัก


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
26 เมษายน 2564


EP.32 สีสันเมืองเกิ่นเทอยามค่ำคืน

ประเทศเวียดนามมีเมืองท่องเที่ยวหลักๆอยู่ตามแต่ละภาคซึ่งแบ่งเป็นได้ดังนี้ ทางตอนเหนือมี ฮานอย ทางตอนกลางมีดานัง ส่วนทางตอนใต้มีกรุงโฮจิมินห์ ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติก็จะรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่เมื่อเวียดนามเน้นส่งเสริมในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ทำให้มีอีกหลายเมืองที่น่าสนใจที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยเมืองอย่าง ญาจาง ดาลัท ฮอยอัน ซาปา ต่างก็เป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว บางเมืองถึงกับมีสนามบินระหว่างประเทศและอีกหนึ่งเมืองที่สำคัญและมีสนามบินระหว่างประเทศให้บริการก็คือ เมืองเกิ่นเทอ ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของเวียดนามและเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง

สำหรับเมืองเกิ่นเทอ ถ้าจะให้ผมพูดตรงๆก็คือ อาจยังไม่เป็นที่นิยมหรือคุ้นหูของคนไทยมากนักแม้เมืองนี้จะอยู่ห่างจากกรุงโฮจิมินห์ในระยะทางไม่ไกลนักโดยมีความห่างอยู่ประมาณ 169 กิโลเมตร แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวชาวไทยไปกันน้อย แต่ปัจจุบันนั้นเกิ่นเทอได้กลายเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นเนื่องจากมีสนามบินระหว่างประเทศมาตั้งแต่ปี 2011 โดยมีบินตรงจากเมืองไทยทำให้การเดินทางในปัจจุบันสะดวกมากยิ่งขึ้น สำหรับจุดขายของเมืองเกิ่นเทอก็คือ การนั่งเรือชมบรรยากาศของตลาดน้ำโดยจะมีเฉพาะแค่ในตอนเช้าซึ่งผมยอมรับว่าไม่ได้ไปดูเนื่องจากตื่นไม่ทัน เพราะการจะไปชมนั้นจะต้องออกจากที่พักตั้งแต่เช้ามืดโดยตลาดจะเริ่มวายก็สัก 8-9 โมงเช้า เพราะฉะนั้นหากตื่นสายก็จะพลาดเช่นเดียวกับผม นอกจากนั้นก็จะมีในส่วนของหมู่บ้านทำกระดาษสา พิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าความเป็นมาของเมืองเกิ่นเทอ แต่สำหรับในช่วงกลางคืนผมว่าเมืองเกิ่นเทอค่อนข้างจะมีความคึกคักเป็นอย่างมากทั้งๆที่ผมเดินเที่ยวตอนกลางวันบรรยากาศดูเงียบๆจืดๆแต่เมื่อพระอาทิตย์ตกดินบรรยากาศกลับกลายเป็นมีสีสันขึ้นมาทันทีทันใด

เมื่อเข้าสู่ช่วงหัวค่ำพวกบรรดาชาวเมืองเกิ่นเทอจะออกมาทำกิจกรรมต่างๆไม่ว่าจะเป็นการซื้อของกิน การรับประทานอาหารตามร้านอาหารต่างๆที่มีอยู่มากมาย พ่อค้าแม่ค้านำของมาขายกลายเป็นแหล่งรวมสตรีทฟู้ดในสไตล์เวียดนามและอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือบริเวณริมแม่น้ำซึ่งจะมีสะพานคนเดินสำหรับชื่อของสะพานผมก็ไม่แน่ใจและไม่มีข้อมูลตรงจุดนี้ แต่จากที่ได้สังเกตุก็เห็นว่าสะพานค่อนข้างมีความสวยงามรูปแบบการออกแบบได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตกแบบเต็มๆ ส่วนตรงกลางของสะพานจะมีสิ่งก่อสร้างรูปทรงคล้ายดอกบัว บางคนจึงเรียกว่า สะพานดอกบัวซึ่งจะมีการประดับไฟสวยงามเลยทีเดียว ผมเดินทางในเวียดนามมาหลายเมืองก็มักสังเกตุได้ว่าเวียดนามมักจะเน้นในเรื่องของลานสาธารณะซึ่งเขาจะประดับไฟอย่างสวยงามในเวลากลางคืนซึ่งผมไปที่ไหนก็มักจะเจอและผู้คนในแต่ละเมืองก็มักออกมาทำกิจกรรมต่างๆทั้งการนั่งพักผ่อน ชมไฟสวยๆหรือการออกกำลังกาย ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีนะเพราะสถานที่ต่างๆที่เคยรกร้างก็ถูกพัฒนาให้กลายเป็นแลนด์มาร์คประจำเมืองและเป็นจุดดึงดูดให้ทั้งคนท้องถิ่นและชาวต่างชาติให้ได้มาดื่มด่ำกับบรรยากาศอันสวยงาม


สีสันยามค่ำคืนแห่งเมืองเกิ่นเทอ
ภาพที่เห็นคือ สะพานดอกบัวที่ประดับไฟสวยงาม

บริเวณวงเวียนมีอนุสาวรีย์ดาวห้าแฉก

รูปปั้นของโฮจิมินห์ วีรบุรุษของชาวเวียดนาม

ทางเดินบริเวณริมแม่น้ำ
ทางค่อนข้างกว้างและเดินได้สบาย

บรรยากาศบนสะพาน ในแต่ละคืนจะมีนักท่องเที่ยว
แวะมาถ่ายรูปเดินเล่นกันค่อนข้างมาก

บรรยากาศริมแม่น้ำ โดยเกิ่นเทอเป็น
เมืองใหญ่ที่สุดบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง

สะพานแห่งนี้คนไทยมักจะเรียกกันว่า
สะพานดอกบัว


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
5 พฤษภาคม 2564



EP.36 รถไฟตู้นอนชั้น 1 แห่งเวียดนาม

รถไฟ คือ พาหนะการเดินทางชนิดหนึ่งที่เป็นทางเลือกให้แก่ผู้โดยสารที่ชื่นชอบบรรยากาศแบบชิวๆสโลว์ไลฟ์ เพราะบรรยากาศของการเดินทางด้วยรถไฟส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเร่งรีบเหมือนการเดินทางด้วยพาหนะชนิดอื่น เพราะฉะนั้นเมื่อพวกคุณตัดสินใจที่จะนั่งรถไฟแล้วก็แน่นอนว่าคุณยอมรับได้กับบรรยากาศที่ไปแบบช้าๆเนิบๆไม่รีบร้อน แต่ด้วยความช้าๆนี่แหละทำให้ผู้โดยสารรถไฟได้สัมผัสกับบรรยากาศข้างทางแบบเต็มที่ทั้งการเห็นวิวทิวทัศน์ต่างๆที่หาไม่ได้จากการนั่งเครื่องบิน เรือ หรือแม้กระทั่งรถยนต์ ปัจจุบันการเดินทางด้วยรถไฟจึงยังเป็นพาหนะที่สำคัญสำหรับผู้โดยสารที่มีเวลาในการเดินทางพอสมควรหรือผู้ที่ชื่นชอบและรักรถไฟก็มักเลือกเดินทางด้วยไฟเป็นอันดับแรกเสมอ

ปัจจุบันในหลายประเทศก็มักจะมีการเดินทางด้วยรถไฟ มีสถานีรถไฟในหลากหลายเมืองและมีรถไฟที่วิ่งข้ามพรมแดนระหว่างประเทศด้วยเช่นกันที่ดังๆก็คงจะหนีไม่พ้น ทางสายไฟสายทรานไซบีเรียซึ่งวิ่งข้าม 2 ทวีปคือเอเชียและยุโรป ขณะที่รถไฟในเวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ผมได้มีโอกาสไปสัมผัสมาซึ่งรถไฟของประเทศเวียดนามนั้นมีสถานีอยู่ในหลายเมืองซึ่งส่วนมากก็จะอยู่ตามเมืองท่องเที่ยวหลักๆที่หลายคนพอจะคุ้นหูกันดี คือ ฮานอย ซาปา เว้ ดานัง ญาจางรวมไปถึงโฮจิมินห์ โดยประสบการณ์ตรงของผมที่ได้นั่งรถไฟในเวียดนามมีอยู่ประมาณ 3-4 ครั้งแต่ครั้งที่ทรหดที่สุดคงหนีไม่พ้นตอนนั่งจากโฮจิมินห์ไปที่ฮานอย ส่วนครั้งล่าสุดเกิดขึ้นตอนเดือนพฤษภาคมปี 2019 โดยเริ่มจากญาจางไปลงที่โฮจิมินห์ซึ่งผมเลือกการเดินทางในรอบดึก เนื่องจากต้องการประหยัดค่าที่พักไปอีก 1 คืน การเดินทางจากญาจางไปโฮจิมินห์ด้วยรถไฟจะใช้เวลาเกือบ 9 ชั่วโมง ออกจากญางจากประมาณตอนหัวค่ำถึงโฮจิมินห์ก็ประมาณเช้ามืดตี 5 ส่วนค่าโดยสารจะอยู่ที่ประมาณ 8 แสนดองหรือคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณเกือบ 1100 บาท

ส่วนที่เห็นราคาเป็นหลักพันนั้นก็เป็นเพราะผมเลือกนั่งรถไฟตู้ขบวนชั้น 1 ซึ่งเป็นชั้นที่หรูหราที่สุดและสบายที่สุดราคาในระดับนี้จึงไม่น่าแปลกใจ สำหรับรถไฟชั้น 1 ตู้นอนที่ผมเลือกนั้นจะมีลักษณะเป็น 4 เตียงโดยอยู่ข้างบน 2 และข้างล่างอีก 2 ที่ปลั๊กไฟไว้ให้สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือ มีโต๊ะที่พับเก็บได้เป็นจุดไว้สำหรับวางขางในห้องมีไฟคอยให้แสงสว่างยามค่ำคืนมีหมอนและผ้าห่มรวมไปถึงผ้าม่านในทุกตู้นอน โดยราคาระหว่างเตียงบนและเตียงล่างก็จะแตกต่างกัน สำหรับคนตัวใหญ่การนอนที่เตียงบนเป็นสิ่งที่ไม่แนะนำเพราะทั้งต้องปีนและการขยับตัวก็ทำได้ลำบากแต่ของแบบนี้คงขึ้นแต่คนชอบ บางทีคนก็อาจชอบเตียงบนมากกว่าเตียงล่าง โดยตู้นอนชั้น 1 ส่วนมากที่ผมเห็นจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เลือกจองกันโดยมีคนเวียดนามมาปะปนบ้าง ส่วนจุดอื่นๆบนรถไฟผมได้มีโอกาสเดินสำรวจทั้งหมด นอกจากตู้นอนชั้น 1 แล้วยังมีตู้นอนชั้น 2 ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Hard Berth ลักษณะจะลำบากกว่าตู้ชั้น 1 เพราะจะมีทั้งสิ้น 6 เตียงแบ่งออกเป็นฝั่งละ 3 เตียงบรรยากาศก็ดูคับแคบและอึดอัดกว่าชั้นนี้ส่วนมากก็จะเป็นคนท้องถิ่นที่เลือกกันแต่ก็มีบ้างที่จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการเซฟเงินเลยเลือกตู้นอนรถไฟในชั้นที่ 2

ขณะที่ในส่วนอื่นๆนอกจากชั้นตู้นอนแล้วยังมีส่วนของชั้นประหยัดที่จะเป็นพวกเก้าอี้อย่างเดียวไม่มีตู้นอนเหมือนชั้นที่ 1 และ 2 โดยถ้าราคาแพงที่สุดจะเป็นเก้าอี้แบบเบาะนิ่มๆสามารถปรับเอนนอนได้ ส่วนที่ราคาถูกที่สุดจะเป็นเก้าอี้เบาะแข็งปรับเอนไม่ได้ลักษณะเหมือนเก้าอี้นั่งตามสวนสาธารณะ แต่ไม่ว่าจะตู้หรูหราหรือตู้ราคาถูกแต่ละห้องก็จะได้รับความเย็นจากแอร์ด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนห้องน้ำผมว่ารถไฟเวียดนามเขาทำได้ดีจุดของที่ปัสสาวะจุดของอ่างล่างหน้าดูดีกว่ารถไฟไทย ส่วนตู้เสบียงนั้นผมเดินเข้าไปพยายามถ่ายรูปแต่ถูกเจ้าหน้าที่บนรถไฟสั่งห้ามถ่ายเลยอดเก็บบรรยากาศมาฝากกัน ขณะที่ในเรื่องของอาหารรถไฟของเวียดนามจะแตกต่างจากไทยชัดเจน คือ จะไม่ให้พวกพ่อค้าแม่ค้าคนนอกนำอาหารขึ้นมาขายบนรถไฟแต่จะเป็นเจ้าหน้าที่บนรถไฟนี่แหละที่จะเข็นพวกอาหารและเครื่องดื่มมาขายให้แก่ผู้โดยสารซึ่งตรงจุดนี้ผมชอบรถไฟแบบไทยๆมากกว่า เพราะเสน่ห์ที่ดึงดูดส่วนหนึ่งของรถไฟไทยก็คือการที่พ่อค้าแม่ค้านำของขึ้นมาขายบนรถไฟนี่แหละบรรยากาศแบบบ้านๆดูสบายๆจึงเป็นเสน่ห์ที่อยู่คู่กับรถไฟมาอย่างยาวนาน


รถไฟตู้นอนชั้น 1 ของเวียดนาม

บรรยากาศด้านหน้าสถานีรถไฟแห่งเมืองญาจาง

จุดจำหน่ายตั๋วรถไฟ

จุดรอรถไฟ ผมเลือกเดินทางในช่วงค่ำ
เพื่อประหยัดค่าที่พักไปอีก 1 คืน

ผู้โดยสารทั้งคนเวียดนามและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ต่างก็หิ้วสัมภาระขึ้นรถไฟ

ตั๋วรถไฟจากญาจางไปโฮจิมินห์
ผมเลือกตู้นอนชั้น 1 ราคาจึงแพงสุดประมาณเกือบ 1100 บาท

นี่คือตู้นอนชั้น 1 ที่ผมเลือก
ลักษณะจะมีเตียงนอน 4 ชั้นมีปลั๊กไฟให้ชาร์จมือถือ

ตู้นอนชั้น 2 ลักษณะคือมี 6 เตียง
โดยแบ่งเป็นฝั่งละ 3 เตียงดูคับแคบกว่าชั้นที่ 1

ส่วนตู้นี้ราคาถูกลงมา โดยจะมีเก้าอี้เบาะนิ่ม
สามารถปรับเบาะเพื่อเอนนอนได้

เบาะเหมือนพวกรถทัวร์นั่งได้แบบสบายๆ

ตู้ขบวนนี้มีราคาถูกที่สุด โดยเป็นเก้าอี้เบาะแข็ง
ซึ่งผู้โดยสารในตู้นี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนท้องถิ่น


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
18 พฤษภาคม 2564


 

EP.40 จังหวัดเบ๋นแจ

ผมโปรยหัวข้อมาแบบสั้นๆให้จำกันได้แบบง่ายๆเช่นนี้ก็เพราะว่าบทความที่เขียนในครั้งนี้อาจจะไม่ได้มีอะไรยืดยาวหรือซับซ้อนมากมายนัก เนื่องจากว่าบทความนี้จะพูดถึงจังหวัดแห่งหนึ่งในประเทศเวียดนามที่ตั้งอยู่ทางดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง โดยชื่อของจังหวัดก็คือ เบ๋นแจ สำหรับนักท่องเที่ยวหลายคนคงไม่ค่อยคุ้นหูเพราะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักของเวียดนาม โดยออกแนวเป็นเมืองบรรยากาศแบบชนบทซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ของเบ๋นแจก็จะเป็นการทำสวนผลไม้กันซะส่วนมาก โดยผลไม้หลักของที่เบ๋นแจก็คือสวนมะพร้าวเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ขึ้นชื่อของจังหวัดเบ๋นแจกันเลยทีเดียว

หากจะพูดเปรียบเทียบให้นึกถึกกันได้แบบง่ายๆ เบ๋นแจก็เปรียบเสมือนสมุทรสงครามซึ่งพื้นที่ส่วนมากก็จะเป็นพื้นที่สวนมะพร้าว ชาวบ้านทำไร่ทำสวนกันเป็นอาชีพหลัก ตอนที่ผมนั่งรถเข้าสู่เขตจังหวัดเบ๋นแจก็เริ่มสังเกตุได้ว่าจะมีร้านขายของฝากอยู่ริมทางและส่วนมากสินค้าก็จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากมะพร้าว โดยลูกอมรสมะพร้าวเป็นสิ่งที่พบเห็นได้มากที่สุดและคนเวียดนามจากพื้นที่อื่นเมื่อได้มาที่เบ๋นแจก็มักจะซื้อลูกอมรสมะพร้าวเป็นของฝากให้แก่ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง นอกจากที่จะโดดเด่นในเรื่องของการทำสวนมะพร้าวแล้ว จังหวัดเบ๋นแจยังมีพื้นที่ค่อนข้างอุมดมสมบูรณ์เป็นพื้นที่ที่ส่งออกปลาดอร์รี่เป็นอันดับต้นๆของโลกและการทำประมงก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่พบได้มากพอๆกับการทำสวนผลไม้ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆก็มักจะการซื้อทัวร์เพื่อนั่งเรือเข้าชมวิถีชีวิตของชาวบ้านโดยเรือจะลัดเลาะไปตามร่องสวนซึ่งจะมีทั้งสวนมะพร้าว สวนกล้วยและผลไม้ชนิดอื่นๆอีกมากมาย

ผมนั่งรถจากโฮจิมินห์ไปลงที่เบ๋นแจใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าและเข้าพักที่โฮมสเตย์แห่งหนึ่งโดยอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัวชาวเวียดนาม จริงๆทางที่พักได้เสนอทัวร์เที่ยวชมสวนมะพร้าวให้แก่ผม แต่ผมปฏิเสธไปก็เพราะว่าบรรยากาศไม่แตกต่างจากเมืองไทยมากนัก ถ้าเป็นฝรั่งอาจจะตื่นเต้นแต่คนไทยอย่างเราๆก็คงจะเฉยๆ ผมจึงตัดสินใจสำรวจเมืองเบ๋นแจด้วยตนเองโดยการใช้จักรยานของที่พักปั่นสำรวจเมืองภายใน 1 วัน โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงสายแต่พอประมาณบ่ายโมงกว่าผมก็ขอยอมแพ้เพราะแดดที่แรงร้อนระอุไม่แพ้เมืองไทย สุดท้ายจึงกลับมาที่พักพอช่วงเย็นก็ออกไปสำรวจเมืองใหม่อีกรอบโดยได้ไปห้างที่ใหญ่ที่สุดของเมืองเบ๋นแจซึ่งดูแล้วบิ๊กซีหรือโลตัสของบ้านเราบางที่ยังดูใหญ่กว่า รวมถึงไปนั่งชมบรรยากาศบริเวณอนุสาวรีย์ประจำเมืองที่จะมีคนท้องถิ่นมาออกกำลังกายหรือนั่งพักผ่อนกันพอสมควร ซึ่งจากภาพรวมที่ผมได้ไปเห็นและสัมผัสด้วยตนเองก็คิดว่า เบ๋นแจคือหนึ่งในเมืองที่ค่อนข้างมีวิถีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์และผ่อนคลายหากใครไปเที่ยวที่เวียดนามแล้วเบื่อความวุ่นวายของเมืองใหญ่ ผมว่าการมาพักผ่อนที่เมืองเบ๋นแจทางตอนใต้ของเวียดนามก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมเอาอย่างมาก


เบ๋นแจ จังหวัดที่อยู่ทางตอนใต้ของเวียดนาม
ตั้งอยู่บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง

เบ๋นแจ มีชื่อเสียงเรื่องของมะพร้าว
พื้นที่ส่วนใหญ่ก็มักเห็นการทำสวนปลูกมะพร้าวกันเยอะ

ผมตัดสินใจสำรวจเมืองเบ๋นแจภายใน 1 วัน
โดยการขี่จักรยาน

ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองเบ๋นแจ
ขนาดประมาณบิ๊กซีหรือโลตัสของบ้านเรา

โซนเครื่องเล่นภายในห้าง

โซนของร้านหนังสือ

โซนของบรรดาเสื้อผ้า

หลังจากเดินเล่นในห้างจนเพลิน
ผมก็ออกมาซื้อน้ำอ้อยทานดับกระหาย

รสชาติหวานอร่อยชื่นใจ
แต่ราคาจำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่

อนุสาวรีย์ประจำเมืองเบ๋นแจ
ดูแล้วน่าจะเกี่ยวกับเรื่องการกู้ชาติหรือสงครามในอดีต

ภาพบนผนังกำแพงบริเวณอนุสาวรีย์ใจกลางเมือง


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
31 พฤษภาคม 2564




EP.43 ทะเลเมืองญาจาง

ทะเล คือ สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเสมอมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หากอยากพักผ่อนคลายร้อนในช่วงวันหยุดหยุดสัปดาห์สถานที่ที่หลายๆคนจะมุ่งไปก็คือ ทะเล โดยในเมืองไทยของเราก็มีทะเลอยู่หลากหลายที่และล้วนแต่มีความสวยงาม ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังของทะเลเมืองไทยทำให้พวกบรรดาชาวต่างชาติถึงกับต้องบินมาพักร้อนที่ทะเลเมืองไทยกันอย่างมากมาย ส่วนในประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างเวียดนามก็มีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้เวียดนามมีประเทศที่มีทะเลในหลายพื้นที่ไม่แพ้กับเมืองไทย โดยหนึ่งในเมืองของเวียดนามที่โดดเด่นในเรื่องของท้องทะเลนั่นก็คือ เมืองญาจาง


สำหรับเมืองญาจางในปัจจุบันนั้นถือว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของเวียดนาม โดยมีทั้งสนามบินแห่งชาติและสถานีรถไฟประจำเมือง แม้ว่าจะถูกชาวต่างชาติเรียกผิดบ่อยครั้งว่านาตรัง แต่ถึงจะเป็นนาตรังหรือญาจางเสน่ห์ของเมืองก็ยังคงชวนสะกดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศมาเยี่ยมเยือน สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่เด่นสุดในญาจางก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของทะเล เพราะเป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเล ถ้าให้เปรียบกับเมืองไทยผมว่าที่ญาจางจะดูคล้ายพัทยา นอกจากจะมีในเรื่องของทะเลแล้วยังเป็นเมืองที่ไว้สำหรับพักผ่อนตากอากาศและอีกหนึ่งส่วนที่เหมือนกันก็คือบรรดานักท่องเที่ยวชาวรัสเซียที่เดินกันให้ขวักไขว่ ซึ่งจากที่ผมได้เดินสำรวจบรรยากาศในเมืองก็พบว่ามีการเขียนป้ายภาษารัสเซียไว้ตามที่ต่างๆไม่ว่าจะเป็นโรงแรม เกสต์เฮาส์ ร้านอาหาร ร้านขายของ เรียกได้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวที่ญาจางเยอะที่สุดก็คือ กลุ่มชาวรัสเซียนั่นเอง


ส่วนทะเลที่เมืองญาจางเท่าที่ผมได้เห็นมากับตาตัวเอง ผมตัดสินได้ภายในเวลาไม่กี่นาทีว่าทะเลที่เมืองไทยบ้านเรานั้นสวยกว่า เพราะทะเลที่เวียดนามหากมองแบบไกลๆก็จะดูสวยแต่ถ้าลองไปสัมผัสแบบใกล้ๆจะพบว่าน้ำไม่ใสเท่าที่ควร ทรายดูค่อนข้างหยาบ แต่ทะเลที่ญาจางจะมีจุดเด่นที่สามารถสังเกตุเห็นได้อย่างหนึ่งนั่นก็คือ เขาเหมือนจะมีการแบ่งโซนกันค่อนข้างชัดเจน โดยด้านนึงจะเป็นทะเลที่มีผืนทรายดูละเอียดและน้ำทะเลดูค่อนข้างสวยใสซึ่งโซนนี้จะเป็นโซนที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะมาเที่ยวกันมีเตียงกางเอาไว้บริการแก่นักท่องเที่ยว รวมถึงร้านอาหารทะเลที่อยู่ใกล้ๆ ส่วนมากโซนนี้จะมีคนไม่หนาแน่นแออัดมากนักท่องเที่ยวก็จะเป็นฝรั่งโดยเฉพาะชาวรัสเซีย ส่วนอีกหนึ่งโซนจะมีทรายค่อนข้างหยาบและน้ำทะลก็ดูค่อนข้างขุ่น ส่วนมากคนที่มาเที่ยวตรงโซนนี้ก็คือคนเวียดนามหรือชาวท้องถิ่นนั่นเอง ผมเดินเล่นตอนเย็นทั้ง 2 โซนก็เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน โซนนักท่องเที่ยวจะดูมีความหรูหราและเงียบสงบฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นพวกบรรดาโรงแรมและร้านอาหาร ส่วนฝั่งที่คนท้องถิ่นเที่ยวกันก็จะเต็มไปด้วยความวุ่นวายมีคนเวียดนามมาเล่นน้ำทะเลเป็นจำนวนมาก แต่ก็นับว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของทะเลเมืองญาจางที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนนั่นเอง


ทะเลเมืองญาจาง

โซนนี้เป็นโซนของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
น้ำทะเลจะดูใสและทรายค่อนข้างละเอียด

โซนนักท่องเที่ยว บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ

อากาศร้อนๆผมเลยแวะซื้อน้ำมะพร้าวทาน
ราคาพอๆกับบ้านเรา แต่รสชาติไม่ค่อยอร่อย

โซนนี้จะเป็นโซนของคนท้องถิ่น

บริเวณนี้ทรายค่อนข้างหยาบ
ส่วนน้ำทะเลจะดูขุ่นกว่าโซนของนักท่องเที่ยว

ผมเดินเล่นริมทะลตั้งแต่บ่ายแก่ๆจนถึงช่วงเย็น

โซนของคนท้องถิ่นในช่วงเย็นๆ
บรรยากาศจะคึกคักอย่างมาก

คนเวียดนามพากันมาเล่นน้ำคลายร้อนในตอนเย็น
ส่วนมากจะเป็นกลุ่มครอบครัว


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
9 มิถุนายน 2564


EP.74 ตลาดอาหารทะเลเมืองห่าเทียน


ตลาดเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับชุมชนเมืองซึ่งในแต่ละเมืองก็มักจะมีพวกตลาดสดต่างๆเพื่อเป็นสถานที่ให้ผู้คนในท้องถิ่นได้มาเดินซื้อสินค้าต่างๆ สำหรับในมุมนักเดินทางอย่างผมแน่นอนครับว่า ตลาดสดคือสถานที่ที่จะทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นนั้นแบบจริงๆจังๆซึ่งตรงกับเป้าหมายในการเดินทางของผมซึ่งชอบที่จะได้ไปเห็นวัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่นเพื่อซึมซับบรรยากาศแล้วนำมาบอกเล่าในรูปแบบของคลิปวีดีโอรวมถึงงานเขียนทั้งในเพจเฟซบุ๊คและในบล็อกแห่งนี้

ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่เมืองห่าเทียนของประเทศเวียดนามและก็เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติในการเดินทางทุกครั้งที่ผมจะต้องหาโอกาสแวะไปชมตลาดประจำเมือง ซึ่งในเมืองห่าเทียนนั้นจะตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนามโดยตั้งอยู่ในพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงและเป็นเมืองที่มีพื้นที่มีแม่น้ำไหลผ่าน ทำให้ชาวบ้านท้องถิ่นหลายคนยึดอาชีพทั้งเป็นชาวประมงรวมถึงอาชีพค้าขายสินค้าที่เกี่ยวกับของทะเลต่างๆ

สำหรับตลาดของเมืองห่าเทียนนั้นจะมีทั้งในส่วนของตลาดสดที่ขายของทั่วๆไปทั้งเนื้อสัตว์ ผักผลไม้และสินค้าอื่นๆกับอีกจุดนึงที่ตั้งอยู่ติดกันก็จะเป็น ตลาดขายอาหารทะเล ซึ่งจะมีของทะเลหลากหลายมาวางจำหน่ายทั้ง ปลา ปลาหมึก กุ้ง กั้ง หอย ปู โดยจะมีที่ขายกันในอาคารและที่วางขายแบบแบกะดินตามข้างทาง โดยที่ตลาดอาหารทะเลของที่เมืองห่าเทียนจะตั้งอยู่บริเวณโซนริมแม่น้ำโดยจะขายกันตั้งแต่เช้าตรู่ไปจนถึงช่วงบ่าย ส่วนบรรยากาศก็ดูคึกคักดีเพราะจะมีผู้คนท้องถิ่นแวะเวียนมาซื้อสินค้าอาหารทะเลกันอยู่เรื่อยๆตลอดทั้งวัน


ตลาดขายอาหารทะเลของเมืองห่าเทียน
ตั้งอยู่บริเวณโซนริมแม่น้ำ

สินค้าที่ขายกันก็มีทั้งปลา ปลาหมึก กุ้ง กั้ง หอย ปู
และของทะเลอื่นๆอีกมากมาย

พ่อค้าแม่ค้านำของทะเลมาวางขาย
โดยจะขายกันตั้งแต่ช่วงเช้าไปจนถึงช่วงบ่าย

พ่อค้าแม่ค้านำของทะเลมาวางขายกันทั้ง 2 ข้างทาง

ใกล้ๆกันจะเป็นตลาดสดที่ขายสินค้าทั่วไป
ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ผักผลไม้

ตลาดสดของเมืองห่าเทียน เดินหาไม่ยาก
เพราะอยู่โซนใจกลางเมืองซึ่งใกล้ๆกันก็จะมีโรงแรมที่พักมากมาย

บริเวณแม่น้ำจะเห็นภาพของชาวประมงล่องเรือหาปลา
โดยฝั่งตรงข้ามจะมีเรือหลายลำจอดอยู่
ซึ่งจะเป็นเรือที่จะเดินทางไปยังเกาะฟูโกว๊ก


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
20 พฤศจิกายน 2565


EP.75 ชายหาดเมืองหวุงเต่า


เมืองหวุงเต่า ถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวของเวียดนามมีสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆก็คือ พวกบรรดาชายหาดซึ่งถึงแม้ว่าชายหาดและท้องทะเลของเวียดนามจะสวยสู้ที่เมืองไทยบ้านเราไม่ได้ แต่ทะเลที่เมืองหวุงเต่ากลับได้รับความนิยมจากบรรดานักท่องเที่ยวมากพอสมควร ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มักจะมาเที่ยวกันก็จะเป็นกลุ่มคนเวียดนาม โดยจะมาเที่ยวกันอย่างมากมายโดยเฉพาะช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์

ผมเที่ยวที่หวุงเต่ามาแล้ว 2 ครั้งและทั้ง 2 ครั้งที่ได้ไปก็ไม่พลาดที่จะต้องไปเดินเล่นชมบรรยากาศบริเวณชายหาดซึ่งบรรยากาศที่ได้เห็นก็พบว่า พื้นที่ตรงชายหาดจะมีผู้คนท้องถิ่นออกมาเล่นน้ำทะเลกันเป็นจำนวนมากและมีกันทุกเพศทุกวัยไม่ว่าจะหนุ่มสาว เด็กโตและเด็กเล็กรวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ แต่แทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เห็นเท่าไหร่นัก ส่วนบรรยากาศของชายหาดแม้ไม่สวยแบบเมืองไทย แต่ก็ไม่มีพวกเตียงผ้าใบมารุกล้ำพื้นที่ตรงชายหาดไม่มีมาเฟียมาคอยไล่ที่จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงมีผู้คนมาพักผ่อนกันอย่างมากมาย

ส่วนบริเวณใกล้ๆกับชายหาดก็จะเป็นพื้นที่ของสวนสาธารณะ ส่วนบริเวณที่ไม่มีคนเล่นน้ำก็จะเป็นจุดที่จะเห็นเรือประมงหลายลำจอดอย่างเรียงราย นอกจากนั้นก็จะมีพวกพ่อค้าแม่ค้าขายของทั้งพวกห่วงยางเล่นน้ำหรือบรรดาของกินต่างๆและอีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างไปจากเมืองไทยก็คือ การอาบน้ำจืด โดยที่หวุงเต่าเขาจะมีจุดอาบน้ำจืดตั้งบริการให้แก่นักท่องเที่ยวอยู่ตรงริมชายหาดและใช้บริการกันฟรีซึ่งแตกต่างจากที่เมืองไทยที่จะต้องเสียเงินในการอาบน้ำจืดประมาณ 10-20 บาท


ชายหาดเมืองหวุงเต่า เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม
ในแต่ละวันจะมีผู้คนมาเล่นน้ำและพักผ่อนกันเป็นจำนวนมาก

ชายหาดของเมืองหวุงเต่าไม่ได้สวยงามเหมือนที่เมืองไทย
แต่ได้รับความนิยมจากคนเวียดนามไม่น้อย

บรรดาแม่ค้านำอุปกรณ์เกี่ยวกับการเล่นน้ำมาขาย
ซึ่งก็จะเป็นพวกบรรดาห่วงยาง

ชายหาดที่หวุงเต่าจะมีจุดอาบน้ำจืดให้บริการกันฟรี
ซึ่งแตกต่างจากที่เมืองไทยที่จะต้องเสียเงิน

ใกล้ๆกับบริเวณชายหาดจะเป็นพื้นที่ของสวนสาธารณะ

ช่วงเย็นๆจะเห็นผู้คนทุกเพศทุกวัยมาเดินเล่นพักผ่อน
รวมถึงเล่นน้ำบริเวณชายหาดกันเป็นจำนวนมาก

จุดที่ไม่มีผู้คนเล่นน้ำก็จะเป็นจุดที่เรือประมงหลายลำ
จะมาจอดกันซึ่งส่วนใหญ่ก็คือเรือของชาวบ้านที่จะมาหาปลา


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
24 พฤศจิกายน 2565


EP.76 ตลาดเบนถั่น


30 พฤศจิกายน 2561 คือวันแรกที่ผมได้ทำการอัพโหลดคลิปแรกลงในช่องยูทูปซึ่งถ้านับถึงเวลาปัจจุบันก็เป็นเวลาครบ 4 ปีพอดิบพอดี ซึ่งถึงแม้ยอดวิวและยอดผู้ติดตามจะไม่ได้มากมายอะไรแต่ผมก็รู้สึกสุขใจทุกครั้งที่ได้อัพคลิปลงในยูทูปซึ่งถ้าคลิปไหนมีประโยชน์ต่อผู้ชม ผมเองก็รู้สึกปลาบปลื้มใจซึ่งผมได้ตั้งปณิธานกับตนเองว่าจะทำคลิปลงช่องยูทูปไปตลอดจนกว่าจะสิ้นลมหายใจเช่นเดียวกับการเขียนบทความลงเพจและลงบล็อกแห่งนี้ ผมก็จะทำไปตลอดเรื่อยๆเช่นเดียวกันซึ่งก็กว่าจะถึงวันนี้ได้ก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่สนับสนุนติดตามและเป็นกำลังใจมาให้กันโดยตลอดครับ

เอาล่ะครับเกริ่นนอกเรื่องกันมาพอสมควรก็เข้าเข้าเนื้อเรื่องในบทความของวันนี้ซึ่งก็จะเกี่ยวข้องกับสถานที่ท่องเที่ยวในต่างแดนซึ่งครั้งนี้ก็ขอนำเสนอเรื่องราวของ ตลาดเบนถั่น ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ตั้งอยู่ในกรุงโฮจิมินห์ของประเทศเวียดนาม โดยตลาดเบนถั่นสำหรับคนที่ไม่เคยไปอาจจะงงว่าบรรยากาศของสถานที่เป็นยังไงซึ่งผมก็ขอแนะนำให้พวกท่านนึกถึง ตลาดนัดสวนจตุจักร ซึ่งลักษณะของตลาดเบนถั่นและตลาดนัดสวนจตุจักรแทบจะไม่แตกต่างอะไรกันมาก เพราะเป็นตลาดขายสินค้าที่มีชื่อเสียงเหมือนกันและเป็นตลาดที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะนิยมมาเดินเที่ยวกันพอสมควร

สำหรับตลาดเบนถั่นเมื่อได้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของกรุงโฮจิมินห์นั่นก็หมายความว่าในแต่ละวันจะเต็มไปด้วยผู้คนโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต่างมาเดินเลือกซื้อสินค้าที่มีอยู่อย่างมากมาย โดยร้านค้าต่างๆภายในตลาดเบนถั่นมีไม่ต่ำกว่า 6000 ร้าน สินค้าที่ขายกันก็มีหลากหลายครับทั้งเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของก๊อปทำเลียนแบบ นอกจากนั้นก็จะมีทั้งของแห้งรวมถึงพวกกาแฟชนิดต่างๆรวมไปถึงพวกบรรดาของที่ระลึกต่างๆอีกมากมายให้ได้เลือกซื้อกัน

นอกจากนั้นก็ยังมีโซนของร้านอาหารซึ่งมีขายทั้งอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ โดยหากใครเคยไปเดินที่นี่ก็จะพบกับบรรยากาศของพ่อค้าแม่ค้าที่พูดเชิญชวนให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาจะเน้นขายให้แก่ชาวต่างชาติซึ่งเมื่อเน้นลูกค้าจากต่างแดนก็แน่นอนครับว่าพวกเขาเหล่านี้ย่อมสามารถพูดได้หลายภาษาเพื่อเป็นการดึงดูดให้ลูกค้ามาซื้อของนั่นเอง แต่การจะซื้อของที่นี่นอกจากจะต้องพิจารณาในเรื่องของตัวสินค้าแล้วยังต้องรู้จักการต่อรองราคาให้ดี เพราะที่ตลาดเบนถั่นก็จะเหมือนตลาดอื่นๆทั่วโลกที่คนขายมักจะบอกราคาสินค้าในราคาที่ค่อนข้างสูง ถ้าหากเราไม่รู้จักการต่อรองราคารับรองเลยว่าถูกพ่อค้าแม่ค้าฟันราคาแบบหัวแบะอย่างแน่นอน


ตลาดเบนถั่น เป็นตลาดขายสินค้าสารพัดอย่าง
โดยตั้งอยู่ในกรุงโฮจิมินห์ของประเทศเวียดนาม

สินค้าในตลาดเบนถั่นมีหลากหลายอย่าง
โดยพวกพ่อค้าแม่ค้ามักจะเน้นขายของให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

กระเป๋าเดินทางมีให้เลือกสรรกันอย่างมากมาย
แต่ส่วนมากจะเป็นสินค้าเลียนแบบของแบรนด์เนม

โซนของร้านอาหารซึ่งจะเน้นขายอาหารท้องถิ่น
แต่ราคาก็จะขายแพงกว่าร้านอาหารทั่วไปที่อยู่ด้านนอก

ผมสั่งน้ำสัปปะรดปั่นมาดื่มแก้กระหาย
ซึ่งเห็นแก้วขนาดนี้ แต่ราคาก็แพงเอาเรื่องเหมือนกัน

บรรยากาศด้านนอกรอบๆตลาดเบนถั่นซึ่งในตอนกลางคืน
พื้นที่รอบนอกจะเต็มไปด้วยร้านขายของต่างๆมากมาย


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
30 พฤศจิกายน 2565


EP.77 อู่รถเมล์ย่านฟามงูเหลา


รถเมล์เป็นยานพาหนะที่ใช้สัญจรกันในตัวเมือง โดยตามพวกเมืองหลวงและเมืองใหญ่ๆของแต่ละประเทศก็ล้วนแต่มีรถเมล์ให้บริการแก่บรรดาพ่อแม่พี่น้องประชาชนในประเทศกันทั้งนั้นอย่างในพื้นที่กรุงเทพมหานครก็มีรถเมล์วิ่งให้บริการแก่ผู้โดยสารกันอยู่หลายสายซึ่งก็ไม่ต่างจากที่กรุงโฮจิมินห์ในประเทศเวียดนามซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศ แต่ก็เป็นเมืองสำคัญและเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในโซนเวียดนามตอนใต้

สำหรับรถเมล์ที่วิ่งให้บริการในกรุงโฮจิมินห์ก็มีอยู่มากมายหลายสาย ตอนผมไปโฮจิมินห์ในแต่ละครั้งก็มักหาโอกาสนั่งรถเมล์อยู่เสมอซึ่งสายที่นั่งบ่อยสุดก็คงจะเป็นสายที่วิ่งระหว่างย่านฟามงูเหลาและสนามบินเตินเซินเญิ้ตซึ่งบริเวณย่านฟามงูเหลาก็เปรียบเสมือนย่านถนนข้าวสารในกรุงเทพฯซึ่งก็จะเป็นแหล่งรวมที่พัก ร้านอาหาร ผับบาร์ บริษัททัวร์ต่างๆซึ่งจะเป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินกันให้ขวักไขว่นั่นจึงทำให้มีอู่รถเมล์ตั้งอยู่ใกล้ๆกับบริเวณย่านฟามงูเหลา

ส่วนมากแล้วนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะไม่ได้นั่งรถเมล์ท้องถิ่นกันมากนัก แต่ถ้าใครอยากจะสัมผัสบรรยากาศแบบท้องถิ่นผมว่าก็ควรที่จะมาลองนั่งสักครั้ง โดยรถเมล์ในย่านฟามงูเหลาก็มีอยู่หลายสายทั้งรถเมล์ที่วิ่งไปสนามบินซึ่งก็คือ สาย 109 ส่วนสายอื่นๆก็จะวิ่งไปตามจุดหมายปลายทางต่างๆในพื้นที่ของกรุงโฮจิมินห์ ส่วนบรรยากาศของรถเมล์ที่เวียดนามจากที่ผมเคยนั่งมาแล้วก็พบว่าไม่ได้แตกต่างจากเมืองไทยเท่าไหร่ เพราะเวียดนามยังใช้ระบบเก็บเงินโดยมีกระเป๋ารถเมล์เป็นคนเดินเก็บเงินแต่แตกต่างกันเล็กน้อย คือ เมืองไทยจะมีกระบอกตั๋วรถเมล์ส่วนที่เวียดนามจะไม่มีซึ่งเมื่อจ่ายเงินเสร็จกระเป๋ารถเมล์ก็จะส่งตั๋งมาให้แก่ผู้โดยสาร


อู่รถเมล์ย่านฟามงูเหลาของกรุงโฮจิมินห์
จะมีรถเมล์จอดอยู่หลากหลายสาย

ผู้โดยสารชาวเวียดนามกำลังนั่งรอรถเมล์ในช่วงเวลาเย็น

รถเมล์วิ่งเข้ามาจอดเพื่อรับส่งผู้โดยสาร

รถมินิบัสสาย 109 คันนี้เป็นรถที่วิ่งรับส่งระหว่าง
ย่านฟามงูเหลาไปยังสนามบินเตินเซินเญิ้ต

ป้ายรถเมล์ที่บอกสายรถเมล์ที่จะมาเข้าจอด
และเส้นทางต่างๆที่รถเมล์จะวิ่งผ่าน

ผมไปถ่ายบรรยากาศตอนช่วงเย็น
ซึ่งเวลานั้นที่โฮจิมินห์ฝนกำลังตกลงมาพอดี


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
4 ธันวาคม 2565



EP.78 นั่งเรือเร็วชมบรรยากาศ
แม่น้ำไซ่ง่อน


แม่น้ำไซ่ง่อนเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของกรุงโฮจิมินห์ ปัจจุบันการท่องเที่ยวของกรุงโฮจิมินห์ได้มีการส่งเสริมในด้านการท่องเที่ยวโดยใช้เรือเป็นยานพาหนะซึ่งจุดไฮไลท์เด่นก็คือ การนั่งเรือเร็วชมบรรยากาศของแม่น้ำไซ่ง่อนซึ่งเรือเร็วจะมีให้บริการในหลายช่วงเวลาโดยจะเริ่มตั้งแต่ช่วงสายๆไปจนถึงช่วงมืดค่ำซึ่งบรรยากาศก็จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกนั่งเรือเร็วในช่วงเวลาค่ำเพื่อที่จะชมแสงสียามค่ำคืนบริเวณแม่น้ำไซ่ง่อน

สำหรับเรือเร็วที่ให้บริการในการชมบรรยากาศแม่น้ำไซ่ง่อนจะถูกเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Saigon Water Bus ตอนที่ผมไปเที่ยวที่กรุงโฮจิมินห์ในครั้งล่าสุดก็ได้มีโอกาสนั่งเรือเร็วชมบรรยากาศแม่น้ำไซ่ง่อน โดยเลือกช่วงเวลาในการเดินทางคือประมาณ 10 โมงกว่าซึ่งผมเลือกเดินทางในวันธรรมดาแต่กลับพบว่าเรือเร็วที่ผมจะเดินทางไปนั้นกลับมีนักท่องเที่ยวอยู่หลายคนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนเวียดนามซึ่งก็บ่งบอกได้ว่า เรือเร็วสำหรับชมบรรยากาศของแม่น้ำไซ่ง่อน ค่อนข้างที่จะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากพอสมควร

ส่วนราคาค่าโดยสารของเรือเร็วนั้นจะอยู่ที่ 15000 ดงต่อ 1 เที่ยวซึ่งตีเป็นเงินไทยได้ประมาณ 20 กว่าบาทแต่ถ้าซื้อแบบไปกลับก็จะอยู่ที่ 30000 ดงหรือ 40 กว่าบาทซึ่งผมเลือกเดินทางแบบไปกลับ โดยที่เรือเร็วจะเริ่มต้นออกเดินทางจากท่าเรือบัคดังและจะวิ่งไปสิ้นสุดตรงท่าเรือลินดอง โดยจะใช้เวลาในการเดินทางต่อ 1 เที่ยวประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าซึ่งบรรยากาศที่เรือเร็วแล่นผ่านก็จะเจอบ้านเรือนของผู้คนที่อยู่ริมแม่น้ำไซ่ง่อนและพวกตึกอาคารต่างๆที่ตั้งอยู่อย่างเรียงราย


เรือเร็วที่มีบริการในด้านการท่องเที่ยวของกรุงโฮจิมินห์
โดยมีไว้สำหรับชมบรรยากาศของแม่น้ำไซ่ง่อน

เรือเร็วจะเริ่มต้นให้บริการจากท่าเรือบัคดัง
และจะไปถึงจุดสุดท้ายที่ท่าเรือลินดอง

ตารางเวลาที่เรือเร็วจะวิ่งให้บริการ
โดยจะมีหลายช่วงเวลาตั้งแต่สายๆไปจนถึงช่วงค่ำ

บรรยากาศบนเรือเร็วซึ่งมีผู้โดยสารพอสมควร
แม้ว่าจะเป็นการเดินทางในวันธรรมดาก็ตามที

ขนมหลากหลายที่มีขายอยู่บนเรือเร็ว

ตึกสูงตั้งอยู่อย่างเรียงรายบริเวณริมแม่น้ำไซ่ง่อน

สะพานข้ามแม่น้ำไซ่ง่อน โดยที่เรือเร็วจะแล่นผ่าน
ลอดใต้สะพาน

บ้านเรือนของผู้คนที่ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำ ซึ่งถ้าเป็น
ตอนกลางคืนจะเห็นสีสันจากแสงไฟที่ประดับกันอย่างสวยงาม

เรือเร็วจะเดินทางจากท่าเรือบัคดังมาถึงจุดหมายปลายทาง คือ
ท่าเรือลินดอง โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า

ผู้โดยสารกำลังนั่งรอเรือเที่ยวขากลับไปยังท่าเรือบัคดัง


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
12 ธันวาคม 2565


EP.79 จัตุรัสโฮจิมินห์ยามค่ำคืน


ช่วงเวลายามค่ำคืนของมนุษย์เราผมว่ามีความแตกต่างกันไปในความคิดของแต่ละคน บางคนก็คิดไว้ว่ามันคือช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนนอนหลับ บางคนก็ใช้เวลาตอนกลางคืนเป็นช่วงเวลาทำมาหากิน แต่อีกหลายคนก็ใช้เวลาในตอนกลางคืนเป็นการผ่อนคลายและเดินชมสีสันในยามค่ำคืนซึ่งตามเมืองหลวงและตามเมืองใหญ่ต่างๆของแต่ละประเทศก็จะมีการเปิดแสงไฟเพื่อเป็นสีสันในยามค่ำคืนและเป็นเสน่ห์ให้แก่เมืองนั้นๆได้มีสีสันและเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวไปในตัว

ตอนผมไปเที่ยวที่กรุงโฮจิมินห์ตอนเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมก็ไม่พลาดที่จะแวะชมสีสันยามค่ำคืนของกรุงโฮจิมินห์ซึ่งจุดที่ได้รับความนิยมจากคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เป็นบริเวณจัตุรัสโฮจิมินห์ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากแม่น้ำไซ่ง่อนมากนักซึ่งเมื่อผมได้ไปเห็นบรรยากาศกับตาตนเองก็ต้องยอมรับว่าที่แห่งนี้เป็นจุดที่ได้รับความนิยมจากผู้คนอย่างมาก โดยมีทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวมาเดินชมบรรยากาศและนั่งพักผ่อนกันเป็นจำนวนมาก

ส่วนบรรยากาศโดยรวมเท่าที่ได้เดินสำรวจมาก็พบว่ามีผู้คนทุกเพศทุกวัยมาเดินเล่นและนั่งพักผ่อนกันบริเวณจัตุรัสโฮจิมินห์กันพอสมควร โดยจุดเด่นที่เป็นสัญลักษณ์ก็คือ อนุสาวรีย์ของลุงโฮซึ่งเป็นวีรบุรุษของชาวเวียดนาม ส่วนด้านหลังก็เป็นที่ตั้งของศาลาว่าการกรุงโฮจิมินห์เมื่อถึงตอนกลางคืนก็จะเปิดไฟเป็นอันสวยงามจนกลายเป็นจุดถ่ายรูปที่สำคัญ ส่วนบรรยากาศอื่นๆก็จะมีผู้คนออกมานั่งพูดคุย จิตรกรมานั่งรับจ้างวาดภาพเหมือน กลุ่มวัยรุ่นเวียดนามมาจับกลุ่มเต้นคัฟเวอร์เพลงและมีคนมายืนเป็นหุ่นนิ่งเพื่อให้ผู้คนได้มาถ่ายรูปและที่ขาดไม่ได้เลยก็คือพวกของกินประเภทสตรีทฟู้ด


จัตุรัสโฮจิมินห์ ถือว่าเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของกรุงโฮจิมินห์
โดยในยามค่ำคืนจะมีสีสันเป็นอย่างมาก

ศาลาว่าการกรุงโฮจิมินห์กลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม
เพราะตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟแสงสีสวยงาม

พื้นที่ลานกว้างตรงจัตุรัสโฮจิมินห์
กลายเป็นแหล่งรวมผู้คนที่จะมาทำกิจกรรมต่างๆ

พวกสถานที่ต่างๆที่ตั้งอยู่รอบๆจัตุรัสโฮจิมินห์มีอยู่มากมาย
ทั้งโรงแรม ห้างสรรพสินค้า ร้านกาแฟ

กลุ่มจิตรกรมานั่งรับจ้างวาดภาพเหมือน

บางคนใช้สีมาทาทั่วตัวแล้วมายืนเป็นหุ่นนิ่ง
เพื่อให้ผู้คนที่ผ่านไปมาได้มาถ่ายรูป

พวกตึกและอาคารต่างๆล้วนแต่เปิดไฟแสงสีสวยงาม

ของกินประเภทสตรีทฟู้ดก็มีมาขายเช่นกัน
ส่วนพื้นที่ด้านหลังจะเป็น แม่น้ำไซ่ง่อน


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
16 ธันวาคม 2565


EP.91 สถานีขนส่งเมืองห่าเทียน


สถานีขนส่ง คือ ศูนย์รวมบรรดารถโดยสารสาธารณะซึ่งจะมีกันอยู่ในทุกประเทศทั่วโลกครับซึ่งผมก็มีประสบการณ์ในการเดินทางไปตามสถานีขนส่งอยู่บ่อยๆก็เพราะว่าต้องเดินทางอยู่บ่อยครั้งนั่นเอง โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศซึ่งผมมักจะเดินทางไปในหลายเมืองซึ่งก็ต้องใช้บริการรถโดยสารสาธารณะตามสถานีขนส่งเพื่อจะเดินทางไปยังเมืองต่างๆที่เป็นจุดหมายปลายทาง

ผมไปเที่ยวเวียดนามอยู่บ่อยครั้งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นประเทศที่ผมเดินทางไปบ่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ซึ่งการเที่ยวแต่ละครั้งผมมักจะเดินทางไปหลากหลายเมืองของเวียดนามและด้วยสไคล์การเที่ยวของผมที่เป็นประเภทแบกเป้เที่ยว ทำให้ยานพาหนะในการเดินทางที่ผมใช้บ่อยสุดก็คือ รถบัสโดยสาร อย่างเมื่อช่วงปีที่แล้วผมเดินทางท่องเที่ยวในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงของเวียดนามที่เมืองห่าเทียนและเชาด็อกซึ่งเป็น 2 เมืองที่อยู่ไม่ไกลกันมากเท่าไหร่

การเดินทางจากห่าเทียนไปเชาด็อกผมก็เลือกใช้บริการรถบัสโดยสารที่จอดอยู่ที่สถานีขนส่งของเมืองห่าเทียน สำหรับบรรยากาศของสถานีขนส่งที่เมืองห่าเทียนต้องบอกเลยว่าที่นี่ไม่ใช่สถานีขนส่งที่ใหญ่อะไรมากมายนั่นก็คงเพราะเมืองห่าเทียนไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักของเวียดนาม ทำให้บรรยากาศของสถานีขนส่งไม่ได้ใหญ่โตและไม่ได้มีผู้โดยสารมาใช้บริการเยอะเหมือนสถานีขนส่งตามเมืองใหญ่ๆ

สำหรับสถานีขนส่งเมืองห่าเทียนที่ผมได้ใช้บริการและเดินสำรวจบรรยากาศก็พบว่าเป็นสถานีขนส่งที่จะมีรถบัสโดยสารเดินทางไปยังเมืองต่างๆที่ตั้งอยู่ในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงทั้ง เชาด็อก เกิ่นเทอ เบ๋นแจ ก่าเมา จ่าวิญและอีกหลากหลายเมือง โดยรถที่ให้บริการมีทั้งรถบัส รถตู้และรถมินิบัส โดยบริเวณพื้นที่ด้านหลังของจุดจำหน่ายตั๋วโดยสารจะเป็นจุดของรถบัสของบริษัทต่างๆและมีร้านอาหารและร้านกาแฟให้บริการแก่ผู้โดยสาร


สถานีขนส่งเมืองห่าเทียน เป็นสถานีขนส่งที่ไม่ใหญ่มาก
โดยตั้งอยู่ในเมืองห่าเทียนของจังหวัดเกียนยาง

บริเวณด้านหน้าจะเป็นจุดจำหน่ายตั๋วโดยสาร

สถานีขนส่งเมืองห่าเทียนจะมีรถบัสเดินทางไปยังเมืองต่างๆ
ทั้งเชาด็อก เบ๋นแจ จ่าวิญ ก่าเมา เกิ่นเทอและอีกหลากหลายเมือง

รถบัสโดยสารของบริษัทต่างๆจอดอยู่ภายในสถานีขนส่ง

นอกจากรถบัสแล้วก็ยังมีรถตู้รวมไปถึงรถมินิบัส

ที่ทำการรถบัสของบริษัทเฟืองจาง 
ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับความนิยมจากผู้โดยสารพอสมควร

นอกจากนั้นก็จะมีร้านอาหารและร้านกาแฟหลายร้าน
ซึ่งผู้โดยสารจะมานั่งทานระหว่างที่รอขึ้นรถ


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
19 กุมภาพันธ์ 2566


EP.92 วิธีการข้ามถนน
ในประเทศเวียดนาม


เวียดนาม เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นเดียวกับไทย แม้ว่าจะไม่มีอาณาเขตติดต่อระหว่างกัน แต่ปัจจุบันการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างไทยกับเวียดนามเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมากครับ เพราะมีตัวเลือกการเดินทางอย่างมากถ้าจะเอารวดเร็วก็นั่งเครื่องบิน แต่ถ้าต้องการบรรยากาศแบบสโลว์ไลฟ์ก็เดินทางด้วยรถบัสโดยสารที่เป็นรถบัสเดินทางข้ามประเทศ เช่น รถบัสจากไทยไปลาวและไปเวียดนาม

ปัจจุบันคนไทยไปเที่ยวเวียดนามกันเยอะครับ แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะต้องแปลกใจเมื่อได้ไปถึงเวียดนามนั่นก็คือ บรรยากาศการจราจรซึ่งมีความระห่ำและดุเดือดมากกว่าที่ไทย โดยการจราจรบนท้องถนนของเวียดนามต้องยอมรับเลยว่าไม่เป็นมิตรแก่คนเดินเท้าอย่างยิ่งครับ เพราะรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่เวียดนามจะไม่มีวันหยุดรถเพื่อให้คนเดินเท้าได้ข้ามถนน แม้ว่าเราจะไปยืนตรงทางม้าลายก็ไม่มีประโยชน์อันใดทั้งสิ้น

การข้ามถนนในเวียดนามจึงเป็นเรื่องที่ดูอันตรายสำหรับชาวต่างชาติโดยเฉพาะเมื่อพวกท่านได้ไปเวียดนามเป็นครั้งแรก แตสำหรับคนที่ไปเวียดนามมาหลายครั้งอย่างผมค่อนข้างคุ้นชินกับการข้ามถนนในเวียดนามแล้วครับ ซึ่งการข้ามถนนในเวียดนามก็ไม่ได้ยากอะไรถ้าหากว่าเรารู้จังหวะในการข้ามถนน แม้ว่ารถจะไม่หยุดให้ก็ตามแต่เมื่อเรารู้จังหวะและรู้วิธีก็จะสามารถข้ามถนนในเวียดนามได้อย่างปลอดภัย

สำหรับวิธีการข้ามถนนในเวียดนามที่ผมจะนำมาแนะนำแก่ทุกๆท่านนั่นก็คือ เราต้องไม่หวาดหวั่นหรือคิดว่าข้ามไม่ได้แน่ๆ สิ่งที่ควรทำนั่นก็คือพยายามเดินไปตามจังหวะของเราไม่ต้องไปหยุดหรือชะงักกลางถนน เพราะถ้าเราลังเลหรือชะงักอาจจะถูกมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์เฉี่ยวชนเอาได้ซึ่งเมื่อเดินข้ามก็ควรเดินไปให้ถึงอีกฝั่งของถนน ส่วนพวกรถที่สัญจรบนถนนถึงแม้จะไม่หยุดแต่พวกนี้เขาจะคอยหลบหลีกเมื่อเห็นคนข้ามถนน

เมื่อเดินตรงไปตามจังหวะและไม่หยุดชะงักกลางคันก็จะทำให้ท่านปลอดภัยในการข้ามถนนที่เวียดนามครับ เพราะพวกรถบนท้องถนนจะมองคนข้ามถนนเป็นเหมือนกรวยจราจรที่พวกเขาจะหลบหลีกซึ่งเมื่อข้ามได้สำเร็จเป็นครั้งแรกแล้ว ผมเชื่อว่าครั้งต่อๆไปก็จะรู้จังหวะและไม่เกิดอาการเกร็งหรือกดดันยามที่ต้องข้ามถนนในประเทศเวียดนามและเมื่อไม่กดดันก็จะทำให้การข้ามถนนในเวียดนามเป็นเรื่องที่ง่ายดาย


การข้ามถนนในเวียดนามเป็นเรื่องยากสำหรับชาวต่างชาติ
แต่เมื่อรู้จังหวะในการข้ามก็จะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายดาย

ผมสาธิตวิธีการข้ามถนนในเวียดนาม
บริเวณอนุสาวรีย์ ตรันฮึงดาว ซึ่งเป็นวีรบุรุษของชาวเวียดนาม

บริเวณวงเวียนถิ่นจ๋องเป็นอีกจุดหนึ่งที่
อาจจะยากต่อการข้ามถนนในกรุงโฮจิมินห์

ที่เวียดนามมอเตอร์ไซค์เป็นใหญ่บนท้องถนน

ต่อให้มีทางม้าลาย แต่รถที่เวียดนามจะไม่หยุดให้คนข้าม
ดังนั้นการข้ามถนนควรจะรู้จังหวะและอย่าหยุดชะงักกลางถนน


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
23 กุมภาพันธ์ 2566


EP.94 สนามบินเตินเซินเญิ้ต


ปกติแล้วการเดินทางท่องเที่ยวของผมในแต่ละครั้ง ผมพยายามที่จะเดินทางด้วยเครื่องบินให้น้อยที่สุด เพราะเครื่องบินเป็นยานพาหนะที่ผมชื่นชอบน้อยที่สุด สาเหตุไม่ใช่เพราะเรื่องของความกลัวแต่เป็นเพราะการนั่งเครื่องบินนั้นไม่สามารถที่จะทำให้ได้เห็นวิวบรรยากาศข้างทางใดๆได้เลย นี่จึงเป็นเหตุผลหลักๆที่ผมมักจะไม่ค่อยนั่งเครื่องบินมากนัก ทำให้ความผูกพันของผมเกี่ยวกับเครื่องบินค่อนข้างมีน้อยหากไปเทียบกับยานพาหนะอื่นๆ

แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่เคยมีประสบการณ์ในการนั่งเครื่องบินเลย เพราะบางครั้งผมก็เลือกนั่งเครื่องบินโดยเฉพาะการเดินทางกลับไทย โดยครั้งล่าสุดที่ผมได้นั่งเครื่องบินก็คือการนั่งจากกรุงโฮจิมินห์ในประเทศเวียดนามกลับมายังที่สนามบินสุวรรณภูมิซึ่งเวลาในการเดินทางก็เพียงแค่ 1 ชั่วโมงนิดๆโดยผมเลือกเดินทางกับสายการบินต้นทุนต่ำของเวียดนามอย่าง เวียตเจ็ทแอร์ ซึ่งปัจจุบันมีเส้นทางการบินไปยังหลากหลายเมืองของเวียดนามรวมถึงในต่างประเทศด้วย

ในส่วนของการเดินทางผมคงไม่ขอพูดถึงแต่จะเน้นบอกเล่าเรื่องราวบรรยากาศของสนามบินซะมากกว่า โดยสนามบินที่กรุงโฮจิมินห์เป็นหนึ่งในสนามบินนานาชาติของเวียดนาม โดยมีชื่อว่าสนามบินเตินเซินเญิ้ต โดยในอดีตเคยเป็นฐานทัพของกองทัพอากาศของสหรัฐอเมริกาและเวียดนามใต้ในช่วงยุคสงครามเวียดนาม เมื่อหมดยุคสงครามก็แปรเปลี่ยนมาเป็นสนามบินแห่งชาติที่ให้บริการในเชิงพานิชย์และเป็นสนามบินนานาชาติประจำโซนตอนใต้ของเวียดนาม

ส่วนบรรยากาศของสนามบินเตินเซินเญิ้ตแม้ว่าจะไม่ใหญ่โตเหมือนสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ก็สามารถรองรับผู้โดยสารได้กว่า 13 ล้านคนต่อปี โดยอาคารระหว่างประเทศแห่งใหม่เปิดใช้งานเมื่อช่วงปี 2007 โดยมีสายการบินของต่างชาติอย่างมากมายที่คอยบริการรับส่งผู้โดยสารในแต่ละวัน นอกจากนั้นยังเป็นที่ทำการของสายการบินแห่งชาติอย่างเวียดนามแอร์ไลน์และสายการบินต้นทุนต่ำของเวียดนามอย่าง แบมบูแอร์เวยส์

ปัจจุบันสนามบินเตินเซินเญิ้ตมีผู้โดยสารมาใช้บริการกันอย่างต่อเนื่องในทุกๆวันไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในประเทศหรือเดินทางระหว่างประเทศและมีรถแท็กซี่รวมไปถึงรถเมล์ที่จะวิ่งเข้าสู่โซนใจกลางเมือง รวมไปถึงพวกบรรดาร้านอาหารของเวียดนามและร้านอาหารต่างชาติมาเปิดให้บริการแก่ผู้โดยสารซึ่งจะว่าไปแล้วสนามบินเตินเซินเญิ้ตก็คือสนามบินของต่างชาติที่ผมได้มีโอกาสเดินทางบ่อยที่สุดจึงอาจจะมีความทรงจำเกี่ยวกับสนามบินที่นี่มากเป็นพิเศษ


สนามบินเตินเซินเญิ้ต เป็นหนึ่งในสนามบินแห่งชาติของเวียดนาม
และตั้งอยู่ในกรุงโฮจิมินห์ที่อยู่ทางตอนใต้ของเวียดนาม

บรรยากาศบริเวณด้านหน้าของอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ

หากใครต้องการเดินทางเข้าสู่โซนใจกลางเมือง
ก็จะมีรถแท็กซี่ รถเมล์ รถมินิบัสคอยให้บริการ

ตารางของเส้นทางการบินภายในสนามบินเตินเซินเญิ้ต
ซึ่งจะมีอยู่หลากหลายสายการบิน

ผู้โดยสารต่อคิวเช็คอินเพื่อเดินทางไปสิงคโปร์

จุดรับแลกเงินและเคาท์เตอร์ของเวียดนามแอร์ไลน์

จุดจำหน่ายพวกของที่ระลึกต่างๆ

ระหว่างที่รอขึ้นเครื่องก็มีจุดชมเครื่องบินให้ดูกันเพลินๆ
ซึ่งสามารถมองเห็นวิวได้แบบชัดเจน

ผมเดินทางกลับไทยด้วยสายการบินเวียตเจ็ทแอร์
โดยเป็นการเดินทางไปลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
1 มีนาคม 2566


EP.102 บ้านโบราณบิญถวี


บ้าน คือ สถานที่พักผ่อนที่ดีที่สุดของชีวิตมนุษย์และก็เป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ของมนุษย์รวมถึงเป็นสถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสถาบันครอบครัว มนุษย์หลายคนที่ชอบใช้ชีวิตอยู่บ้านแต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ชอบอยู่บ้าน ส่วนผมอาจจะอยู่ระหว่างกลางๆคือมีทั้งช่วงที่ชอบเดินทางและช่วงที่ต้องการพักผ่อนอยู่กับบ้านซึ่งแต่ละคนก็มีบ้านที่มีลักษณะแตกต่างกันไป บางคนอาจจะอยู่คฤหาสน์หรือบางคนอาจจะอยู่แค่กระท่อมเล็กๆแต่บ้านทุกหลังก็ล้วนแต่ให้ความสุขแก่เจ้าของและผู้อาศัยได้เป็นอย่างดี

เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาผมได้ไปท่องเที่ยวที่เมืองเกิ่นเทอในประเทศเวียดนามซึ่งที่เมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆก็คือ ตลาดน้ำไคราง แต่ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเที่ยวตามกระแสหรือไปตามสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ ผมจึงเปิดหาข้อมูลว่าในเมืองเกิ่นเทอมีอะไรน่าสนใจนอกจากตลาดน้ำซึ่งก็ได้เจอกับ บ้านโบราณบิญถวี ซึ่งดูแล้วมีความน่าสนใจดี ผมจึงได้ตัดสินใจเรียกแกร็บเพื่อให้ไปส่งยังสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ทันที

สำหรับบ้านโบราณบิญถวีในเมืองเกิ่นเทอถือว่าเป็นบ้านเก่าแก่โดยเป็นบ้านของคนในตระกูลเดือง ซึ่งบ้านหลังนี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปีแต่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีซึ่งปัจจุบันบ้านโบราณบิญถวีได้แปรเปลี่ยนกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเปิดให้ผู้คนได้เข้าชมโดยจะมีการเก็บเงินค่าเข้าชมประมาณ 20000 ดงหรือประมาณ 30 บาทซึ่งก็เป็นค่าในการทำนุบำรุงบ้านโบราณให้มีความสวยงามและคงทนอยู่คู่กับเมืองเกิ่นเทอตลอดไป

ส่วนบรรยากาศด้านภายในของบ้านโบราณบิญถวีก็ต้องยอมรับเลยว่าแม้จะเป็นบ้านเก่าแก่มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปีแต่ก็ยังคงมีสภาพแบบสมบูรณ์ซึ่งก็ไ้ดรับการบูรณะและดูแลจากบรรดารุ่นลูกหลานของตระกูลเดืองเป็นอย่างดีซึ่งบริเวณด้านนอกรอบๆบ้านจะมีการปลูกพวกไม้ประดับต่างๆมากมายเพื่อเพิ่มความสดชื่น ส่วนบริเวณภายในบ้านจะเห็นพวกเฟอร์นิเจอร์ต่างๆที่มีคุณค่าทั้งแจกัน ถ้วย ชามและของเก่าที่มีราคาอีกมาย รวมทั้งยังเห็นภาพบรรพบุรุษของตระกูลเดือง นอกจากนั้นแล้วในช่วงปี 1986 บ้านหลังนี้ยังเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่อง The Lover อีกด้วย


บ้านโบราณบิญถวีเป็นบ้านที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี
โดยตั้งอยู่ในเมืองเกิ่นเทอของประเทศเวียดนาม

บริเวณด้านภายในตัวบ้านจะพบเจอกับของที่มีคุณค่า
และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆมากมาย

โต๊ะและเก้าอี้ไม้ซึ่งยังคงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ยังมีพวกแจกันและถ้วยชามต่างๆ

รูปภาพด้านบนเป็นภาพบรรพบุรุษของตระกูลเดือง
ส่วนด้านขวาเป็นรูปภาพหนังเรื่อง The Lover 

ผมเดินสำรวจจนทั่วก็พบว่าบ้านโบราณบิญถวี
ค่อนข้างได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและได้รับการบูรณะอยู่ตลอด

บริเวณภายนอกจะมีการปลูกไม้ประดับต่างๆมากมาย
และมีบ่อน้ำเล็กๆตั้งอยู่ซึ่งให้ความสดชื่นได้เป็นอย่างดี

นอกจากนั้นยังมีร้านขายเครื่องดื่มคอยบริการแก่
ผู้ที่มาเข้าชมซึ่งมีเมนูหลากหลายทั้งกาแฟและชา

ร้านขายพวกภาพวาดงานศิลปะต่างๆ
ภาพส่วนใหญ่จะเป็นภาพตลาดน้ำซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเกิ่นเทอ


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
6 มิถุนายน 2566


EP.103 เซาบีช
ชายหาดตอนใต้บนเกาะฟูโกว๊ก


ปัจจุบันล่าสุดคือเดือนมิถุนายน แต่สภาพอากาศโดยรวมของเมืองไทยก็ยังคงร้อนๆอยู่บ้างโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลซึ่งเมื่อพูดถึงหน้าร้อนสำหรับเมืองไทยนั้นก็ถือว่าได้ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อย เพราะปกติในช่วงเดือนมิถุนายนสำหรับเมืองไทยก็เป็นช่วงฤดูกาลหน้าฝนแบบเต็มรูปแบบ แต่ถ้าหากย้อนกลับไปในช่วงหน้าร้อนผมเชื่อครับว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่หลายๆท่านจะต้องนึกถึงเป็นอันดับแรกนั่นก็คือ ชายหาดและท้องทะเล

ชายหาดและทะเลในเมืองไทยนั้นมีมากมายหลายแห่งและก็มีความสวยงามไม่แพ้ที่ใดในโลก ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแวะวเียนมาเที่ยวทะเลที่เมืองไทยกันแบบไม่ขาดสาย ส่วนผมถึงแม้หลังๆจะไม่ค่อยได้ไปเที่ยวทะเลในเมืองไทยแต่ก็มีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวชมบรรยากาศของทะเลและชายหาดของต่างแดนซึ่งหนึ่งในชายหาดของต่างแดนที่ผมได้ไปก็อยู่ในประเทศเวียดนามซึ่งตั้งอยู่บนเกาะฟูโกว๊ก โดยชายหาดที่ผมได้ไปเยี่ยมเยือนเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาก็มีชื่อว่า เซาบีชหรือแปลแบบตรงๆก็คือ ชายหาดทางตอนใต้

สำหรับเกาะฟูโกว๊กปัจจุบันถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเวียดนามเลยทีเดียวครับ โดยมีจุดเด่นก็คือเรื่องของชายหาดที่มีอยู่อย่างมากมาย แต่สำหรับเซาบีชถือว่าเป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของเกาะฟูโกว๊ก โดยเซาบีชตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะและเป็นชายหาดที่ได้รับความนิยมทั้งจากคนเวียดนามและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปัจจุบันมีพวกร้านอาหารและรีสอร์ทตั้งอยู่ใกล้ๆกับชายหาดและมีเตียงนอนอาบแดดซึ่งกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ก็คือพวกฝรั่งซึ่งบรรยากาศก็ดูคล้ายๆกับชายหาดที่เราได้เห็นกันในเมืองไทย

ส่วนบรรยากาศต่างๆที่ผมเดินสำรวจก็พบว่าเซาบีชนั้นความสวยงามของทั้งชายหาดและท้องทะเลยังดูเป็นรองเมืองไทย แต่ถึงความสวยงามจะไม่เท่ากับทะเลที่ประเทศไทยแต่ก็ถือว่าเป็นชายหาดที่มีคนมาท่องเที่ยวกันพอสมควร รวมทั้งมีให้บริการต่างๆทั้งพาราชูตเตอร์ เช่าเจ็ทสกีขับหรือแม้กระทั่งเรือกล้วยอย่างบานาน่าโบ๊ท นอกจากนั้นยังมีจุดถ่ายรูปที่นักท่องเที่ยวมักแวะมาถ่ายรูปเช็คอินกันอย่างต่อเนื่องรวมไปถึงพวกของกินต่างๆทั้งพวกของทอดและไอศครีม ทำให้เซาบีชเป็นชายหาดที่มีความคึกคักและไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจึงถูกยกให้เป็นชายหาดยอดนิยมแห่งเกาะฟูโกว๊ก


เซาบีชเป็นชายหาดที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะฟูโกว๊ก
ในประเทศเวียดนาม

จากการที่ผมเดินสำรวจดูก็พบว่าความสวยงามต่างๆ
อาจสู้ทะเลเมืองไทยไม่ได้ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันพอสมควร

บรรยากาศของชายหาดจะมีต้นมะพร้าวเป็นองค์ประกอบหลัก
พร้อมกับทางเดินริมหาดที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา

เซาบีชที่เกาะฟูโกว๊กก็จะคล้ายๆกับทะเลในเมืองไทย
ที่จะมีให้บริการเช่าเจ็ทสกีขับ 

ผู้คนจำนวนมากทั้งคนเวียดนามและชาวต่างชาติ
มักนิยมมาเที่ยวพักผ่อนที่เซาบีชกันพอสมควร

เตียงสำหรับนอนอาบแดดซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็คือ ฝรั่ง

ร้านอาหารที่ตั้งอยู่บริเวณริมชายหาดซึ่งราคาน่าจะสูง
แต่ถ้าใครชอบของถูกที่เซาบีชก็มีพวกสตรีทฟู้ดให้ได้เลือกทานกัน


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
12 มิถุนายน 2566


EP.104 เรือนจำเกาะฟูโกว๊ก


คำว่า คุก ในความเข้าใจของผมและของทุกๆท่านน่าจะมีความคิดที่คล้ายๆกันนั่นก็คือ การเป็นสถานที่ที่ไม่น่าอภิรมย์และไม่เหมาะแก่คนธรรมดาทั่วไปอย่างยิ่งนั่นก็เป็นเพราะว่า คุกหรือเรือนจำเป็นสถานทีี่ที่ใช้คุมขังนักโทษที่ได้กระทำความผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองในคดีต่างๆซึ่งปัจจุบันนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำมีมากมายมหาศาลซึ่งคดีต้องโทษอันดับ 1 ก็หนีไม่พ้นเรื่องของยาเสพติดครับซึ่งในปัจจุบันมันคือปัญหาร้ายแรงต่อสังคมไทยและในอีกหลายๆประเทศทั่วโลก

นักโทษที่ถูกคุมขังในเรือนจำก็มีคดีติดตัวที่แตกต่างกันออกไปอย่างในยุคนี้ก็จะมีนักโทษคดียาเสพติดมากกว่าคดีอื่นๆ แต่ถ้าหากย้อนกลับไปในยุคของสงครามอินโดนจีนครั้งที่ 1 ในสมัยที่มีการสู้รบระหว่างฝ่ายฝรั่งเศสกับฝ่ายของเวียดมินห์หรือเวียดนามในปัจจุบัน คุกได้เป็นส่วนหนึ่งที่ใช้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษหรือเชลยศึกซึ่งส่วนมากจะเป็นกลุ่มกองกำลังของเวียดมินห์รวมไปถึงกลุ่มชาวเวียดนามผู้รักชาติซึ่งจะถูกจับมาคุมขังและทำการทรมานอย่างสาหัสที่เรือนจำที่ถูกสร้างขึ้นบนเกาะฟูโกว๊ก

เรือนจำเกาะฟูโกว๊กตั้งอยู่ในหมู่บ้านอันเท่ย โดยที่ฝรั่งเศสได้เริ่มสร้างขึ้นในช่วงปี 1949 และเรือนจำแห่งนี้มีขนาดพื้นที่โดยรวมแล้วกว่า 40 ไร่และสามารถรองรับนักโทษได้ถึง 14000 คน ซึ่งบรรดานักโทษที่ถูกนำมาจองจำที่เรือนจำบนเกาะฟูโกว๊กก็จะเป็นนักโทษคดีการเมืองซึ่งบรรยากาศภายในเรือนจำต้องถือว่าค่อนข้างมีความโหดร้ายอยู่ไม่น้อยและเรือนจำที่เคยใช้คุมขังนักโทษที่ต้องคดีมากกว่า 10 ปีก็แปรเปลี่ยนสภาพกลายเป็นค่ายกักกันเชลยไม่ต่างจากค่ายเอาท์ชวิตช์ในประเทศโปแลนด์เลยทีเดียว

ผมมีโอกาสได้เข้าไปชมบรรยากาศของเรือนจำเกาะฟูโกว๊กซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนสภาพเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ให้นักท่องเที่ยวได้มาศึกษาซึ่งเมื่อเข้าไปชมบรรยากาศด้านก็สัมผัสได้ถึงความโหดร้ายทารุณของเรือนจำแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี โดยสภาพด้านในจะเต็มไปด้วยรั้วลวดหนามรวมไปถึงหอคอยสังเกตุการณ์ที่เอาไว้ใช้ส่องมองนักโทษที่จะหลบหนี ขณะที่ส่วนของเรือนจำก็จะมีการแบ่งเป็นห้องๆและมีรูปปั้นที่แสดงให้เห็นถึงวิธีที่ผู้คุมใช้ทรมานนักโทษซึ่งมีหลายวิธีไม่ว่าจะ ตอกด้วยตะปูหรือเหล็กแหลม เอาเหล็กร้อนมาจี้ตัว จับกดลงไปในถังน้ำ ช็อตไฟฟ้าเข้าสู่ดวงตา นำนักโทษไปทรมานลงในกระทะร้อนและอีกหลายสารพัดวิธีซึ่งล้วนแต่โหดๆและดูซาดิสต์ไม่น้อย

นอกจากนั้นแล้วก็จะมีจุดของโรงครัวซึ่งนักโทษที่มาทำงานในโรงครัวก็ใช่ว่าจะสบายกว่าคนอื่นๆ เพราะอาหารดีๆที่มีประโยชน์ก็จะตกเป็นเมนูของผู้คุม ส่วนนักโทษในหลายครั้งก็มักไม่ได้ทานอาหารหรือถ้าได้ทานก็จะเป็นของที่เน่าเสียที่แทบจะทานไม่ได้กันเลยทีเดียวและในส่วนตจุดอื่นๆที่เหลือก็จะมีรูปปั้นที่นำเสนอให้เห็นวิธีหลบหนีของนักโทษที่ตกเป็นเชลยศึกโดยจะใช้วิธีการขุดพื้นดินและค่อยๆคลานจนเจอกับทางออก โดยผมใช้เวลาในการสำรวจเรือนจำเกาะฟูโกว๊กเกือบๆ 2 ชั่วโมงทำให้ได้ข้อคิดและสัจธรรมต่างๆนานามากมายและขอยกให้เรือนจำเกาะฟูโกว๊กเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่าละอายที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติซึ่งก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เกิดซ้ำรอยขึ้นอีกครั้ง


เรือนจำเกาะฟูโกว๊ก คือ สถานที่ที่ในอดีตเคยใช้
คุมขังนักโทษทางการเมืองซึ่งทั้งหมดจะเป็นชาวเวียดนาม

หอคอยสังเกตุการณ์ที่ผู้คุมใช้ตรวจตรานักโทษที่จะหลบหนี
ซึ่งว่ากันว่าหากเจอนักโทษที่จะหลบหนีก็จะใช้ปืนยิงปลิดชีวิตทันที

ด้านภายในเรือนจำมีการแบ่งเป็นห้องหลายห้อง
โดยจะจัดแสดงเกี่ยวกับวิธีทรมานและความเป็นอยู่ของนักโทษ

จุดของโรงครัวซึ่งนักโทษจะถูกใช้ทำอาหารให้แก่ผู้คุม
ส่วนนักโทษแทบไม่ได้อะไรหรือถ้าได้กินก็จะเป็นของเน่าเสีย

รูปปั้นที่แสดงให้เห็นถึงวิธีการทรมานนักโทษในรูปแบบต่างๆ
ซึ่งภาพนี้เป็นการตอกด้วยเหล็กแหลมรวมไปถึงตะปู

วิธีทรมานนักโทษมีหลากหลายวิธีรวมไปถึงการช็อตไฟฟ้า
นำนักโทษลงไปในกระทะร้อนๆรวมถึงจับกดน้ำแล้วเอาเหล็กเคาะ

ชีวิตความเป็นอยู่ของนักโทษในเรือนจำซึ่งมีทั้งพวกที่ล้มตาย
ส่วนพวกที่ยังมีลมหายใจอยู่ก็เหมือนกับคนที่กำลังตายทั้งเป็น

วิธีการหลบหลีของบรรดานักโทษซึ่งส่วนใหญ่จะใช้วิธีขุดหลุม
แล้วค่อยๆคลานหาทางไปเรื่อยๆจนเจอกับทางออก

นักโทษบางส่วนที่หลบหนีออกมาได้ในสภาพที่ดูอิดโรย
ซึ่งเปรียบเสมือนพวกเขาได้หลุดพ้นออกจากขุมนรกแล้ว


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
16 มิถุนายน 2566


EP.107 โรงแรมที่พักเมืองลักย้า


เมืองลักย้าในประเทศเวียดนามอาจจะไม่ใชเมืองที่เป็นที่คุ้นหูสำหรับนักท่องเที่ยวไทยและบรรดานักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆมากนักซึ่งก็ไม่แปลกครับ เพราะว่าเมืองลักย้าก็ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักของเวียดนาม โดยที่เมืองลักย้าตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศและอยู่ในพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงแต่ก็ไม่ได้มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเหมือนกับที่เกิ่นเทอหรือแม้กระทั่งเบ๋นแจ โดยส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่แวะมาที่ลักย้าก็มีจุดประสงค์เพื่อต้องการนั่งเรือข้ามไปยังเกาะฟูโกว๊กซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวของเวียดนาม

ผมได้มีโอกาสแวะไปที่เมืองลักย้าเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาซึ่งก็มีเหตุผลที่ไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวคนอื่นๆซึ่งก็คือการนั่งเรือเฟอร์รี่จากลักย้าเพื่อข้ามไปเที่ยวที่เกาะฟูโกว๊ก โดยที่ลักย้ามีเรือเฟอร์รี่ให้บริการไปยังเกาะฟูโกว๊กอยู่ทุกวันและจุดของท่าเรือก็อยู่ใจกลางเมืองซึ่งหาไม่ยาก เนื่องจากลักย้าเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากและด้วยความที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาพักที่ลักย้าก็เพื่อข้ามไปยังเกาะฟูโกว๊ก ทำให้หลายๆคนมักจะเลือกค้างคืนในโรงแรมที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับท่าเรือเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง

โรงแรมในเมืองลักย้าอาจจะมีไม่เยอะเหมือนเมืองใหญ่อื่นๆในเวียดนาม แต่โรงแรมเท่าที่ผมเห็นส่วนมากจะกระจุกตัวอยู่ใกล้ๆกับท่าเรือ โดยหนึ่งในนั้นก็เป็นโรงแรมที่ผมได้เข้าพักซึ่งก็คือ Kiet Hong Hotel ซึ่งทำเลที่ตั้งนั้นถือว่าค่อนข้างดีเนื่องากตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับท่าเรือเมืองลักย้า เรียกได้ว่าเดินข้ามฝั่งถนนก็ถึงจุดของท่าเรือแล้วซึ่งด้วยความที่ทำเลอยู่ติดกับท่าเรือ ทำให้นักท่องเที่ยวที่จะนั่งเรือไปยังเกาะฟูโกว๊กมักเลือกพักที่โรงแรมแห่งนี้กันพอสมควร

ส่วนบรรยากาศของโรงแรมแม้ว่าจะไม่ใช่หรูหราอะไร แต่จุดเด่นก็อย่างที่ผมบอกไปนั่นก็คือเรื่องทำเล โดยที่ผมเลือกพัก 1 คืนในห้องมาตรฐานซึ่งราคาที่ตีเป็นราคาเงินไทยก็อยู่ที่ราวๆเกือบ 500 บาท โดยภายในห้องพักก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งแอร์ ทีวี ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า โต๊ะสำหรับนั่งแต่งหน้าหรือทำงาน โดยมีเตียงนอนให้ 2 เตียงซึ่งขนาดจะแตกต่างกัน ห้องน้ำก็เป็นแบบมาตรฐานทั่วไปของโรงแรมซึ่งมีให้เลือกปรับน้ำร้อนและน้ำเย็นได้ นอกจากนั้นก็ยังมีระเบียงด้านนอกซึ่งสามารถมองเห็นจุดของท่าเรือและอนุสาวรีย์ประจำเมืองลักย้าได้แบบชัดเจน


ห้องมาตรฐานของโรงแรม Kiet Hong Hotel ในเมืองลักย้า
เป็นห้องแบบเตียงคู่ โดยราคาต่อคืนก็เกือบๆ 500 บาท

โต๊ะเอาไว้สำหรับแต่งหน้าและนั่งทำงาน

ทีวีในห้องพักเป็นแบบรุ่นเก่า ส่วนตู้เย็นเป็นแบบขนาดเล็ก
โดยน้ำดื่มที่เห็นในตู้เย็นส่วนใหญ่ต้องเสียเงินเพิ่มต่างหาก

ตู้เสื้อผ้าภายในห้องพัก โดยมาพร้อมกับตะกร้าและไม้แขวนเสื้อ

โต๊ะสำหรับนั่งทานอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ

ห้องน้ำจะอยู่ติดกับประตูของห้องพัก
โดยลักษณะของห้องน้ำก็เป็นไปตามมาตรฐานทั่วๆไป

บริเวณระเบียงด้านนอกจะมองเห็นอนุสาวรีย์ประจำเมือง
รวมไปถึงจุดของท่าเรือเมืองลักย้าที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
13 กรกฎาคม 2566


EP.112 นั่งรถมินิบัสระหว่างประเทศ
กัมพูชา - เวียดนาม


การเดินทางในยุคปัจจุบันผมว่ามีความสะดวกสบายอย่างมากและเดินทางไปมาหาสู่กันง่ายขึ้นด้วยไม่ว่าจะเป็นการเดินทางด้วยยานพาหนะชนิดใดก็ตามซึ่งการเดินทางที่สะดวกสบายทำให้เกิดนักเดินทางหน้าใหม่อย่างมากมาย โดยการเดินทางระหว่างประเทศโดยที่ไม่นั่งเครื่องบินก็ถือว่าเป็นอีกทางเลือกยอดนิยมของนักเดินทางในสไตล์แบกเป้เที่ยวซึ่งแน่นอนว่าผมก็คือหนึ่งในนั้นเช่นกันครับ

เวลาผมเดินทางไปต่างประเทศผมไม่ค่อยนิยมการนั่งเครื่องบินเท่าไหร่ โดยส่วนมากมักจะเน้นการเดินทางด้วยรถโดยสารซึ่งการเดินทางในประเทศแถบอาเซียนก็มีเส้นทางระหว่างประเทศอยู่ไม่น้อยและก็มีรถโดยสารให้บริการจากประเทศนึงไปยังประเทศนึงเช่นในเมืองไทยของเราก็มีรถบัสวิ่งไปลาว รถบัสวิ่งไปกัมพูชาหรือจะเป็นรถตู้ที่ข้ามแดนไปมาเลเซีย ส่วนในประเทศอื่นๆก็มีเช่นกันอย่างเช่น รถโดยสารที่วิ่งระหว่างประเทศกัมพูชาและเวียดนาม

ผมมีโอกาสข้ามแดนจากกัมพูชาไปเวียดนามก็หลายครั้งอยู่เหมือนกันและในแต่ละครั้งก็มักจะนั่งรถบัสโดยสารจากกรุงพนมเปญไปยังกรุงโฮจิมินห์ซึ่งเส้นทางนี้ถือว่าเป็นเส้นทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวและใช้เวลาในการเดินทางประมาณแค่ 7 ชั่วโมง โดยรถโดยสารที่ข้ามแดนจากกัมพูชาไปยังเวียดนามก็มีให้บริการอยู่หลายบริษัทซึ่งราคาก็เป็นไปตามมาตรฐานของแต่ละบริษัท ถ้าอยากนั่งสบายก็คงต้องจ่ายแพงหน่อย แต่ถ้าอยากประหยัดงบก็มีตัวเลือกอยู่ไม่น้อยแต่มาตรฐานอาจจะดร็อปลงมา

ครั้งล่าสุดที่ผมเดินทางจากกัมพูชาไปเวียดนาม คือ ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาโดยพวกผมเลือกซื้อตั๋วกับบริษัทวิรัก บุญธรรม ซึ่งเป็นบริษัทเดินรถที่ค่อนข้างมีมาตรฐานของกัมพูชา โดยรถที่ได้นั่งเป็นรถมินิบัสเดินทางจากกรุงพนมเปญไปยังกรุงโฮจิมินห์ใช้เวลา 7 ชั่วโมงกว่า ส่วนค่าตั๋วอยู่ที่ 33 ดอลลาร์หรือตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1100 บาทซึ่งในความคิดก็ถือว่าค่อนข้างแพง แต่ด้วยความที่อยากนั่งแบบสบายๆและได้รถที่มีมาตรฐานจึงยอมจ่ายไป

ส่วนเรื่องการเดินทางผมได้รอบ 11 โมงซึ่งกว่าจะไปถึงที่โฮจิมินห์ก็ราวๆเกือบ 2 ทุ่ม โดยเส้นทางที่รถวิ่งผ่านจะผ่านตัวเมืองสวายเรียงซึ่งเป็นเมืองชายแดนของกัมพูชาก่อนที่จะเข้าไปยังเวียดนาม นอกจากนี้ก็ต้องผ่านจุดผ่านแดนของทั้ง 2 ประเทศโดยด่านของกัมพูชามีชื่อว่า ด่านบาเวท ส่วนด่านของเวียดนามมีชื่อว่า ด่านมอคไบ โดยรถจะมีการจอดให้ผู้โดยสารแวะเข้าห้องน้ำรวมไปถึงจอดแวะทานข้าวในช่วง 5 โมงเย็นในเขตพื้นที่ของประเทศเวียดนาม


รถมินิบัสระหว่างประเทศที่ให้บริการในเส้นทาง
กรุงพนมเปญของกัมพูชา - กรุงโฮจิมินห์ของเวียดนาม

ผมเลือกเดินทางกับบริษัท วิรัก บุญธรรม
ซึ่งเป็นบริษัทเดินรถที่ค่อนข้างมีมาตรฐานดีของกัมพูชา

ตารางเส้นทางเดินรถของบริษัท วิรัก บุญธรรม
ซึ่งมีเส้นทางทั้งในประเทศและเส้นทางระหว่างประเทศ

รถจะแวะจอดให้ผู้โดยสารได้เข้าห้องน้ำ ซื้อของ
โดยจะไปจอดให้ทานข้าวในช่วงเย็นตรงเขตพื้นที่ประเทศเวียดนาม

ด่านพรมแดนของกัมพูชาซึ่งผู้โดยสารต้องลงไป
เพื่อให้เจ้าหน้าที่ปั๊มพาสปอร์ต โดยด่านนี้มีชื่อว่า ด่านบาเวท

บรรยากาศของประเทศเวียดนามซึ่งจะเห็น
มอเตอร์ไซค์จำนวนมากเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น

รถมินิบัสใช้เวลาเดินทางเกือบๆ 8 ชั่วโมง
โดยมาถึงจุดหมายปลายทางที่กรุงโฮจิมินห์ก็เกือบๆ 2 ทุ่ม


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
23 สิงหาคม 2566


EP.117 ตลาดสดเมืองเชาด็อก


เมืองเชาด็อกเป็นเมืองหนึ่งในประเทศเวียดนาม โดยตั้งอยู่ในจังหวัดอันเกียงซึ่งเมืองนี้ไม่ได้เป็นที่คุ้นหูของนักท่องเที่ยวมากนัก แม้แต่คนเวียดนามบางคนก็ยังไม่ค่อยคุ้นกับเมืองเชาด็อกสักเท่าไหร่ โดยเมืองเชาด็อกตั้งอยู่ในทางตอนใต้ของเวียดนามและอยู่ในพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงซึ่งบริเวณนี้เมืองที่นักท่องเที่ยวจะคุ้นเคยก็จะเป็นเกิ่นเทอ เบ๋นแจ กันเสียมากกว่า

ผมไปเที่ยวที่เมืองเชาด็อกเมื่อช่วงเดือนกันยายนของปี 2022 ซึ่งเป็นช่วงหน้ามรสุมของเวียดนามทำให้เจอฝนตกตลอดแต่เมื่อฝนหยุดตกผมก็ได้โอกาสลองลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศของเมืองเชาด็อก โดยสถานที่ที่ผมไปสำรวจก็คือ ตลาดสด ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไปได้ง่ายและสามารถทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตจริงๆของผู้คนในท้องถิ่นนั้นๆ

สำหรับบรรยากาศของตลาดสดที่เมืองเชาด็อกก็ดูไม่แตกต่างจากตลาดในเมืองไทยเท่าไหร่ สินค้าที่ขายก็มีมากมายและเห็นได้ทั่วไปตามท้องตลาดของเมืองไทย โดยจุดที่ผมไปสำรวจผมเน้นเดินดูพวกโซนของกินและของที่ใช้ประกอบอาหารซึ่งมีหลายอย่างทั้งผักสด ผลไม้ พวกอาหารทะเล เนื้อสัตว์ต่างๆ ของแห้ง อาหารสำเร็จรูป นอกจากนั้นพื้นที่ของตลาดเมืองเชาด็อกยังมีอากาศดูเย็นสบายเนื่องจากตั้งอยู่ริมแม่น้ำบาสสัก ทำให้มีลมพัดผ่านอยู่แทบตลอดเวลา


ตลาดสดเมืองเชาด็อกตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชาด็อก
ซึ่งมีสินค้าขายอยู่อย่างมากมาย

ร้านนี้ขายพวกของเล่น ส่วนใกล้ๆกันเป็นร้านขายเสื้อผ้า

ร้านขายพวกอาหารทะเลซึ่งมีหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น
กุ้ง ปลา หอย ปลาหมึก

ไก่ตัวเป็นๆถูกนำมาตั้งขายซึ่งเป็นเรื่องปกติของ
ตลาดสดในประเทศเวียดนาม

ไข่ไก่และไข่เป็ดซึ่งมีราคาเขียนบอกชัดเจน

ร้านอาหารสไตล์ท้องถิ่นก็มีขายอยู่เช่นกัน
ซึ่งจะเป็นเมนูออกแนวพวกข้าวราดแกง

ตลาดสดเมืองเชาด็อกจะตั้งอยู่ริมแม่น้ำบาสสัก
ทำให้มีบรรยากาศที่ค่อนข้างเย็นสบาย

แม่น้ำบาสสักเป็นแม่น้ำสายสำคัญของเมืองเชาด็อก
ซึ่งมีทั้งเรือประมงและหมู่บ้านลอยน้ำตั้งเรียงรายกันเต็มไปหมด


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
3 ตุลาคม 2566



EP.125 ซากโบสถ์เก่าเมืองด่งเฮ้ย


สงครามเวียดนามอุบัติขึ้นในช่วงยุคทศวรรษที่ 50 ไปจนถึงประมาณกลางยุค 70 ซึ่งกินระยะเวลาเกือบ 20 ปีซึ่งแน่นอนว่าแม้ฝ่ายเวียดนามเหนือจะเป็นฝ่ายที่มีชัยและสามารถรวบรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ แต่ถึงกระนั้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในสงครามก็คือความสูญเสียครั้งใหญ่ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของทหาร พลเรือนรวมไปถึงสภาพบ้านเมืองที่ถูกถล่มและเสียหายเป็นอย่างมาก

ผมเพิ่งไปเที่ยวเวียดนามมาแบบสดๆร้อนๆเป็นเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ โดยหนึ่งในเมืองที่ได้ไปเที่ยวก็คือ เมืองด่งเฮ้ยซึ่งเป็นเมืองหลักของจังหวัดกว๋างบิ่ญซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางค่อนไปทางเหนือของเวียดนาม เมืองด่งเฮ้ยอาจจะไม่ใช่ไม่ใช่เมืองที่นักท่องเที่ยวทั่วไปรู้จักมากนักแต่ที่นี่ในอดีตเคยได้รับผลกระทบจากสงครามเวียดนามมาเช่นกันซึ่งหลักฐานที่บ่งบอกได้ชัดเจนก็คงเป็นซากโบสถ์เก่าที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองตรงบริเวณสวนสาธารณะริมแม่น้ำยัทเล

สำหรับซากโบสถ์เก่าของเมืองด่งเฮ้ยมีชื่อเรียกก็คือ โบสถ์ตามเต๋า โดยเป็นโบสถ์คาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเวียดนาม โดยถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 จนกระทั่งในช่วงสงครามเวียดนาม ทางฝั่งสหรัฐอเมริกาได้ทำการทิ้งระเบิดในพื้นที่ของจังหวัดกว๋างบิ่ญเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ปี 1965 และนั่นจึงทำให้โบสถ์ตามเต๋าได้รับผลกระทบและได้รับความเสียหายไปอย่างหนัก โดยที่ตัวโบสถ์หลายส่วนถึงกับพังทลายลงไปจากการถูกทิ้งระเบิดและปัจจุบันก็เหลือเพียงซากโบสถ์บางส่วนที่ยังหลงเหลือให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน

สำหรับในปัจจุบันโบสถ์ตามเต๋าได้กลายเป็นอนุสรณ์แห่งสงครามเวียดนามและเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองด่งเฮ้ยโดยที่ตัวซากโบสถ์จะตั้งในพื้นที่ของสวนสาธารณะริมแม่น้ำยัทเลซึ่งในแต่ละวันจะมีผู้คนมาเยี่ยมชมซากโบสถ์เก่าแห่งนี้ เพราะนี่คือหนึ่งในอนุสรณ์แห่งประวัติศาสตร์จากยุคสงครามเวียดนามที่ยังคงหลงเหลือให้ได้เห็น แม้ว่าในปัจจุบันจะเหลือแต่ซากเพียงส่วนนึงก็ตาม


ซากโบสถ์เก่าเมืองด่งเฮ้ย เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถาน
จากเหตุการณ์ยุคสงครามเวียดนาม

สภาพปัจจุบันของโบสถ์ตามเต๋าซึ่งเหลือแต่ซากบางส่วน
โดยสาเหตุเพราะถูกทิ้งระเบิดเมื่อตอนปี 1965

บริเวณรอบๆพื้นที่ของซากโบสถ์เก่าถูกปกคลุมไปด้วยหญ้า
แต่ก็ได้มีการล้อมรั้วเพื่อไม่ให้มีการรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่

จุดด้านหน้าจะมีข้อมูลรายละเอียดของซากโบสถ์เก่า
ซึ่งมีทั้งภาษาเวียดนามและภาษาอังกฤษ


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
28 พฤศจิกายน 2566


EP.129 รถไฟตู้นอนเวียดนาม


ผมชอบการเดินทางและมักชื่นชอบการเดินทางด้วยรถไฟซึ่งการนั่งรถไฟถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเดินทาง โดยผมมีประสบการณ์การนั่งรถไฟทั้งในไทยรวมถึงในต่างแดน สำหรับการนั่งรถไฟในต่างแดนก็จะเป็นการนั่งรถไฟในประเทศเพื่อนบ้านของไทยทั้งกัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย พม่ารวมไปถึงอินโดนีเซีย ซึ่งในประเทศเวียดนามผมมีประสบการณ์ใช้บริการรถไฟตู้นอนของเวียดนามมาประมาณ 2 ครั้ง

ครั้งแรกเกิดขึ้นตอนปี 2018 เป็นการเดินทางสุดทรหดโดยเริ่มเส้นทางจากโฮจิมินห์ไปฮานอย ขณะที่การเดินทางครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนของปี 2023 หรือเมื่อเดือนที่แล้ว โดยผมก็ใช้บริการรถไฟตู้นอนอีกเช่นเคยโดยมีเส้นทางเริ่มต้นจากโฮจิมินห์ที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศไปยังจุดหมายปลายทาง คือ ด่งเฮ้ย ที่อยู่ทางตอนกลางของประเทศ

สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟตู้นอนของเวียดนามในเส้นทาง โฮจิมินห์ - ด่งเฮ้ย ผมเลือกเดินทางไปกับตู้นอนชั้นที่สบายที่สุดและมีราคาแพงที่สุด โดยผมเดินทางไปกับรถไฟขบวน SE4 และเลือกนอนเตียงล่างซึ่งราคาค่าโดยสารตีเป็นเงินไทยก็อยู่ที่ประมาณ 1900 กว่าบาท ส่วนเวลาเดินทางจากต้นทางไปถึงปลายทางจะใช้เวลาทั้งหมด 24 ชั่วโมงหรือประมาณ 1 วันเต็มๆแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับตัวผม เนื่องจากผมเคยนั่งรถไฟในเส้นทางที่ไกลกว่านี้มาแล้ว

โดยการเดินทางเริ่มต้นจากสถานีรถไฟไซ่ง่อนในนครโฮจิมินห์ซึ่งรถไฟเริ่มออกเดินทางตอน 1 ทุ่มตรง ส่วนบรรยากาศบนรถไฟเท่าที่ผมได้สำรวจจนทั่วถ้าเริ่มจากจุดตู้นอนของผมก็จะประกอบไปด้วย 4 เตียงนอนแบ่งเป็นชั้นบนและชั้นล่างอย่างละ 2 เตียง มีจุดไว้สำหรับเปิดปิดไฟ นอกจากนั้นยังมีโต๊ะไว้สำหรับทานอาหารและเครื่องดื่มซึ่งจะตั้งอยู่ตรงหัวเตียงนอนชั้นล่างซึ่งการนอนเตียงล่างสบายที่สุดแต่ราคาก็สูงที่สุดเช่นกัน

ขณะที่ส่วนอื่นๆของรถไฟตู้นอนเวียดนามก็จะมีจุดของห้องน้ำรวมไปถึงอ่างล้างหน้าและล้างมือ มีจุดของตู้น้ำไว้ให้บริการซึ่งมีทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น นอกจากนั้นก็จะมีตู้นอนที่ราคาถูกลงซึ่งก็เป็นตู้นอนที่มี 6 เตียงนอนและแบ่งออกเป็น 3 ชั้นรวมไปถึงตู้ที่เป็นเบาะนั่งซึ่งราคาถูกที่สุดในขบวนรถไฟ SE4 ขณะที่เรื่องของกินก็ดูจะแตกต่างจากรถไฟของเมืองไทยพอสมควรเพราะว่าจะไม่มีการให้พ่อค้าแม่ค้านำของกินนำขึ้นมาขายให้แก่ผู้โดยสาร แต่จะให้พนักงานบนรถไฟเดินเข็นรถที่มีของกินขายให้แก่ผู้โดยสารไปตลอดทั้งขบวนรถ โดยผมนั่งๆนอนๆอยู่บนรถไฟไปประมาณ 25 ชั่วโมงก็ถึงสถานีรถไฟเมืองด่งเฮ้ยในช่วงเวลา 2 ทุ่ม


ผมนั่งรถไฟเวียดนามขบวน SE4 โดยนั่งเริ่มต้นจาก
สถานีไซ่ง่อนไปยังจุดหมายปลายทางที่สถานีด่งเฮ้ย

ผมได้เดินทางไปกับตู้นอนและนอนเตียงล่าง
ซึ่งมีราคาแพงสุดตีเป็นเงินไทยก็ 1900 กว่าบาท

พื้นที่ทางเดินของตู้นอนบนรถไฟขบวน SE4

อ่างล้างหน้าและล้างมือบนขบวนรถไฟ SE4

จุดให้บริการน้ำร้อนซึ่งเหมาะมากสำหรับใครที่ต้องการ
ทานกาแฟหรือต้มพวกมาม่าคัพ

ของกินบนรถไฟของเวียดนามซึ่งจะแตกต่างจากเมืองไทย
โดยที่นี่จะให้พนักงานเดินเข็นรถมาขายให้แก่ผู้โดยสาร

ตู้นอนรถไฟที่มี 6 เตียงแบ่งเป็นเตียงละ 3 ชั้น
จะมีราคาที่ถูกลงมาแต่การนอนจะอึดอัดกว่าตู้นอนที่มี 4 เตียง

ตู้นี้คือตู้สำหรับนั่งเท่านั้นซึ่งมีราคาถูกที่สุด

วิวบรรยากาศระหว่างทางซึ่งจะมีสลับกันไป
ทั้งวิวของย่านชุมชนและบรรยากาศของท้องทุ่งนา

ผมเดินทางมาถึงสถานีรถไฟเมืองด่งเฮ้ยตอน 2 ทุ่มกว่า
ใช้เวลาการเดินทางทั้งสิ้น 25 ชั่วโมง


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
20 ธันวาคม 2566


 
EP.130 สะพานมังกรยามค่ำคืน


ผมได้แวะไปเที่ยวที่เมืองดานังของประเทศเวียดนามในช่วงปลายปีซึ่งตรงกับช่วงเดือนพฤศจิกายน โดยอากาศที่ดานังรวมถึงตอนกลางของเวียดนามในช่วงปลายปีไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ครับเพราะตอนผมไปก็เจอฝนตกที่ดานังเกือบตลอด แต่ถึงแม้ช่วงปลายปีจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของที่เมืองดานังแต่ถึงกระนั้นก็มีนักท่องเที่ยวแวะมาเที่ยวที่ดานังกันอยู่พอสมควรโดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้

สำหรับเมืองดานังถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของเวียดนามไม่แพ้ฮานอย ซาปาหรือที่โฮจิมินห์ นอกจากนั้นยังมีเส้นทางบินระหว่างประเทศอยู่มากมายทำให้ที่ดานังมีนักท่องเที่ยวแวะมาเยี่ยมเยือนกันอยู่ตลอด ส่วนแลนด์มาร์กเด่นๆก็คงหนีไม่พ้นสะพานมังกรครับซึ่งเป็นดั่งสัญลักษณ์ประจำเมืองและนักท่องเที่ยวที่แวะมาดานังก็ล้วนแต่มาเที่ยวชมบรรยากาศของสะพานมังกรกันแทบทั้งนั้น

แม้ว่าผมจะเป็นคนที่ไม่ชอบการไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ แต่ก็ใช่ว่าจะต้องแอนตี้ไปเสียทั้งหมดซึ่งช่วงที่อยู่ดานัง ผมก็มีโอกาสแวะไปเที่ยวชมและเก็บบรรยากาศของสะพานมังกรมาเช่นกัน โดยที่ผมเลือกไปในช่วงกลางคืนซึ่งจะมีความสวยงามจากแสงสีที่เปิดจนดูสวยงาม แต่ถ้ามาในวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์จะมีการแสดงมังกรพ่นน้ำให้ได้ชมกันด้วย ส่วนบรรยากาศในทุกค่ำคืนก็จะมีการสัญจรของรถยนต์และมอเตอร์ไซค์กันอยู่ตลอด ขณะเดียวกันก็ยังมีบรรดาผู้คนทั้งชาวเวียดนามและชาวต่างชาติแวะมาเดินชมบรรยากาศแลถะถ่ายรูปสะพานมังกรกันอย่างมากมายในทุกๆค่ำคืน


สะพานมังกรเป็นสะพานที่เปิดใช้งานครั้งแรกตอนปี 2013
และเป็นสะพานที่ใช้ข้ามแม่น้ำหาน

ช่วงค่ำคืนจะมีการเปิดไฟแสงสีสวยงาม
และเป็นช่วงที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูปกันอย่างมากมาย

อีกหนึ่งจุดที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูป เพราะได้เห็นบรรยากาศทั้ง
สะพานมังกรรวมไปถึงแม่น้ำหาน

แม่น้ำหานยามค่ำคืนซึ่งถูกรายล้อมไปด้วย
ตึกอาคารต่างๆซึ่งมีการเปิดไฟสีสันสวยงาม

ทางเดินบริเวณริมแม่น้ำหานจะคราคร่ำไปด้วยผู้คน

สะพานมังกรจะเปิดไฟสีสันสวยงามในทุกค่ำคืน
แต่ในคืนวันศุกร์ เสาร์อาทิตย์จะมีการแสดงมังกรพ่นน้ำให้ได้ชมกัน


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
29 ธันวาคม 2566


EP.135 ซอยแห่งสตรีทอาร์ต


ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกต่างก็ให้การยอมรับกับงานศิลปะบนกำแพงหรือที่ถูกเรียกกันสั้นๆในชื่อของ สตรีทอาร์ต ซึ่งเป็นสิ่งที่ถือกำเนิดเกิดขึ้นในทวีปยุโรปและปัจจุบันวัฒนธรรมก็แพร่หลายไปยังหลายประเทศทั่วโลกซึ่งในเมืองไทยของเราเองก็มีงานสตรีทอาร์ตกันอย่างมากมายและถ้าหากให้นับดูแล้วผมว่าคงนับกันไม่หวาดไม่ไหว ขณะที่ในประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนของไทยอย่างเวียดนามก็มีงานสตรีทอาร์ตให้ได้ชมกันอยู่ไม่น้อย โดยหนึ่งในจุดชมสตรีทอาร์ตที่มีความน่าสนใจก็คือที่เมืองดานังซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ

ผมไปเที่ยวดานังครั้งล่าสุดก็ตอนปลายปี 2023 ซึ่งผมมีเวลาไม่เยอะมากส่วนมากจึงเน้นสำรวจเมืองและก็ได้ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวจากในกูเกิลแมพซึ่งก็ค้นพบกับซอยแห่งหนึ่งซึ่งไม่ใช่ซอยธรรมดาเพราะภายในซอยจะเต็มไปด้วยภาพสตรีทอาร์ตที่ถูกรังสรรค์อยู่บนกำแพง โดยภาพสตรีทอาร์ตเหล่านี้มีให้ชมกันอย่างมากมายไปตลอดทั้งซอยซึ่งผลงานเหล่านี้ก็มาจากฝีมือของกลุ่มกราฟฟิตี้ฝีมือดีชาวเวียดนามรวมไปถึงชาวต่างชาติบางส่วน

สำหรับภาพสตรีทอาร์ตที่สามารถพบเห็นได้ในซอยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นภาพที่บอกเล่าเรื่องราววิถึชีวิตของชาวเมืองดานังซึ่งส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพด้วยการเป็นชาวประมงซึ่งที่ถูกสื่อออกมาก็จะเกี่ยวกับเรือหาปลาบางภาพก็เป็นเรือกระด้ง นอกจากนั้นก็ยังมีภาพอื่นๆที่ไม่ได้เกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวเวียดนามให้ได้ชมกันอย่างมากมาย โดยการที่งานสตรีทอาร์ตเหล่านี้ตั้งอยู่ในซอยทำให้ผู้ที่เข้ามาเดินชมจะได้เห็นภาพบรรยากาศแบบท้องถิ่นจริงๆ เพราะพื้นที่ในซอยก็จะเต็มไปด้วยบ้านเรือนของชาวบ้านซึ่งขณะที่เดินชมงานสตรีทอาร์ตก็อาจจะได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในซอยไปพร้อมๆกัน


ซอยเล็กๆแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานมังกรในเมืองดานัง
จะเต็มไปด้วยงานภาพสตรีทอาร์ตบนกำแพง

บรรยากาศภายในซอยดูค่อนข้างเล็กแต่เมื่อมีภาพสตรีทอาร์ต
ก็ทำให้พื้นที่ในซอยดูมีสีสันและมีชีวิตชีวาขึ้นมา

ภาพสตรีทอาร์ตมีอยู่มากมายให้ได้ชมกัน
ซึ่งจะมีภาพที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของชาวเมืองดานังให้ได้ชมด้วย

ภาพผู้คนพายเรือกระด้งออกหาปลา
ถือว่าเป็นภาพวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวเมืองดานัง

เรือประมงเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของเมืองดานัง
เพราะที่ดานังเป็นเมืองที่อยู่ติดกับท้องทะเล

ผู้ที่สนใจสามารถมาชมภาพสตรีทอาร์ตกันได้ตลอดเวลา
และเข้าชมกันฟรีไม่เสียค่าเข้าชม


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
2 กุมภาพันธ์ 2567


EP.136 บังเกอร์นายพลทหารฝรั่งเศส


ยุทธการเดียนเบียนฟูเป็นสงครามระหว่างฝ่ายฝรั่งเศสกับฝ่ายเวียดนาม โดยเกิดขึ้นในช่วงยุคทศวรรษที่ 50 ซึ่งในสมัยก่อนฝรั่งเศสคือเจ้าอาณานิคมของเวียดนาม แต่เมื่อมีกลุ่มชาวเวียดนามผู้รักชาติได้ลุกฮือต่อต้านการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศส ทำให้สงครามเกิดขึ้นและยุทธการเดียนเบียนฟูก็ได้มีสงครามปะทะกันระหว่าง 2 ฝ่ายซึ่งกินระยะเวลา 1 เดือนกว่าจนในที่สุดฝ่ายกองทัพเวียดนามก็มีชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในปีคริสตศักราช 1954

สำหรับในยุคปัจจุบันเมืองเดียนเบียนฟูคือเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามและเป็นเมืองที่มีพรมแดนติดกับประเทศลาว ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่เดียนเบียนฟูเมื่อช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ผ่านมาซึ่งการเที่ยวที่เมืองเดียนเบียนฟูของผมตลอดทั้ง 4 วัน ผมเน้นในการเดินเที่ยวสำรวจบรรยากาศในตัวเมือง โดยสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆของเมืองเดียนเบียนฟูมักจะมีความเกี่ยวข้องกับสงคราม เพราะที่เมืองแห่งนี้ในอดีตก็คือสมรภูมิการสู้รบกันระหว่างกองทัพเวียดนามกับกองทัพฝรั่งเศส

ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเดียนเบียนฟูผมได้ไปสำรวจอยู่หลายแห่งโดยหนึ่งในนั้นก็คือ บังเกอร์นายพลทหารฝรั่งเศส ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับสะพานเมืองทันห์ สำหรับบังเกอร์นายพลทหารฝรั่งเศสในครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ที่กองทัพฝรั่งเศสใช้เป็นฐานทัพในการบัญชาแผนการรบ นอกจากนั้นยังเป็นสถานที่พักของทหารระดับยศนายพลของทางฝ่ายฝรั่งเศส โดยบรรยากาศของตัวบังเกอร์จะมีลักษณะที่ถูกสร้างโดยการใช้ปูนซีเมนต์ก่อให้สูงซึ่งจะมีบันไดทางลงไปยังชั้นด้านล่างซึ่งจะเป็นจุดของฐานทัพที่ใช้ในการวางแผนการสู้รบ

สำหรับจุดชั้นล่างจะถูกแบ่งห้องทั้งในส่วนของห้องบัญชาแผนการรบพร้อมกับโต๊ะเก้าอี้สีเขียว นอกจากนั้นยังมีแผนที่เส้นทางที่บอกพิกัดในสมรภูมิของการสู้รบซึ่งจากการที่ผมสำรวจดูแล้วแม้ว่าจะเป็นบังเกอร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบชั่วคราว แต่ลักษณะด้านภายในก็ดูไม่อึดอัดมีขนาดกว้างมากพอที่จะเข้าไปพักผ่อนหรือใช้ในการวางแผนการรบซึ่งดูแตกต่างจากอุโมงค์กูจีในนครโฮจิมินห์ซึ่งทหารเวียดนามใช้ในการซุ่มโจมตีศัตรูซึ่งมีลักษณะเล็กแคบและอึดอัด โดยปัจจุบันบังเกอร์นายพลฝรั่งเศสเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของเมืองเดียนเบียนฟูและเปิดให้เข้าชมกันทุกวัน โดยมีราคาค่าเข้าชมอยู่ที่ 20000 ดงหรือประมาณ 30 บาท


บังเกอร์นายพลทหารฝรั่งเศสเป็นหนึ่งใน
สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของเมืองเดียนเบียนฟู

จุดจำหน่ายตั๋วค่าเข้าชมโดยตีเป็นเงินไทยประมาณ 30 บาท

บังเกอร์นายพลทหารฝรั่งเศสถูกก่อสร้างด้วยปูนซีเมนต์
โดยเป็นสถานที่บัญชาแผนการรบของทหารฝรั่งเศส

บริเวณชั้นล่างจะเป็นทางเดินชมจุดต่างๆซึ่งถูกแบ่งเป็นห้อง
โดยหลักๆจะเป็นจุดที่ใช้วางแผนการสู้รบ

ห้องที่ใช้ในการบัญชาการสู้รบซึ่งจะมีทั้งแผนที่
โต๊ะและเก้าอี้สีเขียว

บังเกอร์นายพลทหารฝรั่งเศสของเมืองเดียนเบียนฟู
มีลักษณะกว้างไม่อึดอัดและเดินได้แบบสบายๆ


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
8 กุมภาพันธ์ 2567


EP.139 กำแพงกระเบื้องโมเสก


งานจิตรกรรมฝาผนังเป็นงานศิลปะที่มีอยู่ให้เห็นกันแทบทุกมุมโลก โดยแต่ละจุดต่างก็มีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป ขณะที่งานจิตรกรรมฝาผนังในกรุงฮานอยของประเทศเวียดนามก็มีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน โดยงานจิตรกรรมฝาผนังในกรุงฮานอยต่างก็ถูกขนานนามว่า ถนนเซรามิก ซึ่งเป็นงานจิตรกรรมฝาผนังที่ใช้กระเบื้องเซรามิกหรืองานโมเสกเป็นองค์ประกอบหลักในการสร้างสรรค์ผลงาน

สำหรับถนนเซรามิกในกรุงฮานอยมีความยาวประมาณ 6.5 กิโลเมตร โดยผลงานจิตรกรรมฝานังจากกระเบื้องโมเสกถูกรังสรรค์จากบรรดากลุ่มศิลปินชาวเวียดนามและยังมีศิลปินจากต่างชาติที่ร่วมสร้างผลงานชิ้นนี้เช่นเดียวกับองค์กรและสถาบันจากทั้งเยอรมัน อิตาลี สหราชอาณาจักร รัสเซียรวมไปถึงเกาหลีใต้ที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ผลงานกำแพงกระเบื้องโมเสกขึ้นมา

ผมได้มีโอกาสไปเดินสำรวจดูกำแพงกระเบื้องโมเสกมาเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาซึ่งจากที่ได้สำรวจดูก็พบว่าภาพต่างๆที่อยู่บนกำแพงมักจะเป็นภาพที่บอกเรื่องราวของประวัติศาสตร์ของประเทศเวียดนามรวมถึงวัฒนธรรมต่างๆ นอกจากนั้นยังมีภาพที่เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงฮานอยอย่างเช่น เจดีย์เสาเดียว ซึ่งภาพจิตรกรรมฝาผนังกระเบื้องโมเสกได้ถูกบันทึกจากกินเนส์เวิล์ดเรคคอร์ดว่าเป็นกำแพงกระเบื้องโมเสกที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ส่วนบรรยากาศบริเวณจุดชมวิวกำแพงกระเบื้องโมเสกต้องยอมรับว่าค่อนข้างที่จะดูวุ่นวายเนื่องจากกำแพงกระเบื้องโมเสกหรือถนนเซรามิกตั้งอยู่ติดกับถนนสายหลักที่มีการจราจรพลุกพล่านรวมถึงยังมีปัญหาเรื่องฝุ่นควันและมลพิษ ทำให้การที่จะเดินชมงานจิตรกรรมฝาผนังของถนนเซรามิกคงอาจจะต้องหาหน้ากากอนามัยมาสวมใส่เพื่อป้องกันมลพิษทางอากาศขณะที่มลพิษทางเสียงก็มีอยู่ไม่น้อย เนื่องจากการจราจรของที่เวียดนามมักจะมีการบีบแตรกันเป็นประจำนั่นจึงทำให้การเดินชมกำแพงกระเบื้องโมเสกอาจจะต้องใช้ความอดทนกันสักหน่อย


กำแพงกระเบื้องโมเสกหรือถนนเซรามิก
เป็นงานจิตรกรรมฝาผนังที่ตั้งอยู่ในกรุงฮานอยของประเทศเวียดนาม

ภาพบนกำแพงกระเบื้องโมเสกจะบอกเล่าถึงวัฒนธรรม
วิถีชีวิตรวมไปถึงประวัติศาสตร์ของทางเวียดนาม

กำแพงกระบื้องโมเสกมีความยาวกว่า 6.5 กิโลเมตร
และถูกบันทึกให้เป็นกำแพงกระบื้องโมเสกที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ภาพจิตรกรรมฝาผนังได้รับการรังสรรค์จากจิตรกรชาวเวียดนาม
รวมไปถึงองค์กรและสถาบันการศึกษาของต่างประเทศ

ระหว่างที่เดินชม ผมก็ได้ยินเสียงการบีบแตรดังสนั่น
เพราะถนนเซรามิกตั้งอยู่ในย่านที่วุ่นวายอีกแห่งหนึ่งในกรุงฮานอย


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
5 มีนาคม 2567


EP.145 ร้านกาแฟไฮแลนด์


อเมซอน คือ ชื่อร้านขายกาแฟและเครื่องดื่มชื่อดังของเมืองไทยและเป็นแบรนด์ที่คนไทยสร้างคนไทยทำซึ่งในปัจจุบันร้านอเมซอนก็ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างมากและได้มีร้านอเมซอนหลากหลายสาขาตั้งอยู่ทั้งตามห้างสรรพสินค้ารวมไปถึงในปั๊มน้ำมัน ปตท. โดยผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบทานเครื่องดื่มของร้านอเมซอนแม้ว่าอาจจะไม่บ่อยนักแต่เมื่อมีโอกาสก้มักแวะเข้าไปสั่งเครื่องดื่มและขนมปังทานอยู่เรื่อยๆ

เมืองไทยของเรามีร้านอเมซอนที่เป็นร้านขายกาแฟและเครื่องดื่มที่มีชื่อเสียง ขณะที่ในประเทศเวียดนามก็มีร้านกาแฟและเครื่องดื่มที่เป็นแบรนด์เวียดนามแท้ๆซึ่งก็คือ ร้านไฮแลนด์คอฟฟี่ ตอนผมไปเที่ยวเวียดนามผมก็มักจะแวะเข้าไปนั่งสั่งเครื่องดื่มทานอยู่เสมอทั้งนี้ก็อยากรู้ว่าเมนูต่างๆและรสชาติจะสู้กับทางอเมซอนของบ้านเราได้หรือเปล่า

สำหรับประวัติของกาแฟไฮแลนด์นั้นถูกก่อตั้งครั้งแรกในปี 1999 โดยนักธุรกิจลูกครึ่งเวียดนาม - อเมริกัน โดยช่วงแรกนั้นเป็นแค่การจำหน่ายกาแฟบรรจุกล่องเพื่อขายตามซุปเปอร์มาร์เกต แต่ต่อมาเมื่อได้รับความนิยมมากขึ้นก็ได้มีการเปิดสาขาแรกที่นครโฮจิมินห์เมื่อปี 2002 และในปี 2009 ก็ได้มีการขยายสาขาไปยัง 6 เมืองใหญ่ของเวียดนามและมีสาขาไม่ต่ำกว่า 80 สาขา

ปัจจุบันร้านกาแฟไฮแลนด์มีสาขาอยู่มากมายไปทั่วทั้งประเทศเวียดนาม โดยนอกจากพวกเมนูกาแฟแล้วก็ยังเมนูน้ำปั่นซึ่งมีอยู่หลากหลายเมนู นอกจากนั้นยังมีขนมปังที่เอาไว้ทานคู่กับเครื่องดื่มและยังได้มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งเมล็ดกาแฟคั่วบดและสินค้าของที่ระลึกทั้งกระติกน้ำ แก้วน้ำและอื่นๆอีกมากมาย ส่นราคาเท่าที่ผมลองคำนวณเป็นเงินไทยก็พบว่าไม่ค่อยต่างจากราคาที่ขายในร้านอเมซอนมากนัก ส่วนเรื่องรสชาติคงแล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคล โดยร้านกาแฟไฮแลนด์ที่ผมได้ไปเก็บภาพบรรยากาศมาก็เป็นสาขาที่อยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟในกรุงฮานอย


ไฮแลนด์คอฟฟี่ เป็นร้านกาแฟชื่อดังสัญชาติเวียดนาม
โดยก่อตั้งครั้งแรกในปี 1999

จุดสั่งเครื่องดื่มซึ่งผมสังเกตุมีเมนูให้เลือกค่อนข้างเยอะ
ไม่ต่างจากร้านกาแฟอเมซอนในบ้านเรา

ขนมปังหลากหลายไว้ทานคู่กับพวกกาแฟและเครื่องดื่ม

สินค้าต่างๆที่มีจำหน่ายภายในร้านซึ่งจะมีทั้ง
กระติกน้ำ แก้วน้ำ เมล็ดกาแฟคั่วบด

บรรยากาศภายในร้านกาแฟไฮแลนด์
โดยสาขานี้อยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟในกรุงฮานอย

ผมลองสั่งมา 1 เมนูซึ่งก็คือคุ้กกี้แอนด์ครีมปั่น
ราคาแก้วนึงก็ไม่ต่างจากร้านอเมซอนบ้านเรา


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
18 เมษายน 2567


EP.150 ถ้ำมัว


นินห์บิญ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามโดยตั้งอยู่ห่างจากกรุงฮานอยไปประมาณ 1.30 - 2 ชั่วโมง โดยสามารถเดินทางไปได้ทั้งรถยนต์รวมไปถึงรถไฟซึ่งผมได้มีโอกาสไปเที่ยวที่เมืองนินห์บิญในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาและเป็นช่วงที่เพิ่งผ่านพ้นช่วงปีใหม่มาไม่กี่วัน โดยที่สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ของนินห์บิญก็คือ สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติซึ่งมีอยู่อย่างมากมาย

ผมพักอยู่ที่นินห์บิญประมาณ 3 คืนและใช้เวลาที่มีอยู่ไม่มากนักในการสำรวจพื้นที่ของนินห์บิญซึ่งแน่นอนว่าที่นี่มีจุดเด่นเรื่องของธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นการเดินขึ้นเขาหรือการล่องเรือชมแม่น้ำ โดยหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของนินห์บิญซึ่งผมได้ไปสำรวจก็คือ ถ้ำมัว ซึ่งว่ากันว่านี่คือจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดของเมืองนินห์บิญกันเลยทีเดียว

ถ้ำมัวมีบันไดทางเดินเพื่อไปยังจุดชมวิวซึ่งอยู่ด้านบนสุดอยู่ที่ประมาณเกือบๆ 500 ขั้นซึ่งแม้ว่าอาจจะดูว่าไม่เท่าไหร่นัก แต่เมื่อเดินจริงแล้วก็เอาหลายคนถึงกับหอบและออกอาการเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ค่อนข้างและรู้สึกเหนื่อยอยู่ไม่น้อย เนื่องจากว่าทางเดินขึ้นถ้ำมัวมีลักษณะทางเดินที่ค่อนข้างจะชันนั่นทำให้นักท่องเที่ยวจะเกิดอาการเหนื่อยมากเป็นพิเศษ

ในขณะที่ผมเดินขึ้นไปเรื่อยๆก็จะเจอนักท่องเที่ยวมากมายจากหลากหลายชาติซึ่งจะมีกลุ่มแบ็คแพ็คเกอร์ที่เดินทางมากันเองรวมไปถึงกลุ่มที่มากันแบบกรุ๊ปทัวร์ โดยเมื่อเดินไปจนถึงยอดด้านบนสุดก็ทำให้ความเหนื่อยล้าจากการเดินขึ้นมาหายไปในทันที โดยที่ผมใช้เวลาอยู่พักนึงในการชมบรรยากาศวิวทิวทัศน์จากบริเวณจุดชมวิวของถ้ำมัวซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีความสวยงามสมกับเขาร่ำลือกันจริงๆ เพราะบรรยากาศที่ได้เห็นก็จะเป็นวิวของธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นภูเขา แม่น้ำไปจนถึงท้องนาและบ้านเรือนของผู้คนซึ่งสามารถมองเห็นวิวได้ถึง 360 องศา

นอกจากนั้นยังมีจุดที่สามารถชมวิวที่อยู่บนยอดสูงสุดซึ่งจะอยู่บริเวณรูปปั้นมังกร แต่จุดนี้ผมไม่แนะนำให้ขึ้นไปเพราะค่อนข้างเสี่ยงและไม่มีทางบันไดให้เดินขึ้นไปนั่นหมายความว่าถ้าหากพลาดขึ้นมาก็อาจเกิดอันตรายถึงชีวิต ส่วนราคาค่าเข้าชมของถ้ำมัวจะอยู่ที่ 100,000 ดงหรือตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 140 บาท นอกจากนั้นยังมีจุดถ่ายรูปอีกมากมายรวมทั้งยังมีการให้บริการเช่าชุดพื้นเมืองซึ่งบรรยากาศของถ้ำมัวในแต่ละวันค่อนข้างคึกคัก เพราะนี่คือหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองนินห์บิญนั่นเอง


จุดทางเข้าของถ้ำมัวซึ่งราคาตั๋วจะอยู่ที่ 100,000 ดง
หรือประมาณ 140 บาท

ร้านให้เช่าชุดพื้นเมืองซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่บริเวณด้านนอก

เมื่อเดินเข้าไปก็จะเจอกับจุดถ่ายรูปมากมาย

รูปปั้นตัวละครไซอิ๋วซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยว
นิยมมาถ่ายรูปกัน

บันไดทางเดินเพื่อไปยังจุดชมวิว
โดยมีบันไดอยู่ราวๆเกือบ 500 ขั้น

นักท่องเที่ยวเดินขึ้นถ้ำมัวซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการคล้ายกัน
นั่นก็คือ หอบและเหนื่อยล้า เนื่องจากทางเดินค่อนข้างชัน

เดินมาจนใกล้จะถึงจุดสูงสุดของถ้ำมัว ผมก็ขอ
แวะหยุดถ่ายรูปสักหน่อย

เมื่อเดินมาถึงด้านบนก็จะมองเห็นวิวทิวทัศน์ต่างๆ
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวิวภูเขาและแม่น้ำ

จุดชมวิวของถ้ำมัวถูกยกให้เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด
ของเมืองนินห์บิญซึ่งสามารถมองเห็นวิวได้แบบ 360 องศา


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
23 พฤษภาคม 2567


EP.151 ตลาดสดเมืองด่งเฮ้ย


บรรยากาศของตลาดสดหรือตลาดท้องถิ่นในต่างแดนยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดให้นักเดินทางอย่างผมต้องไปสัมผัสและเห็นกับตาตนเองอยู่เสมอ แม้ว่าในโซนอาเซียนตลาดสดของแต่ละประเทศก็ดูไม่แตกต่างกันมากนัก แต่มนต์เสน่ห์ของความเป็นท้องถิ่นนี่แหละที่ทำให้ผมชื่นชอบ เพราะว่าการได้เห็นความเป็นท้องถิ่นแท้ๆทำให้สามารถเข้าถึงวิถีชีวิตของผู้คนประจำท้องถิ่นนั้นๆได้เป็นอย่างดี

สำหรับตลาดท้องถิ่นในอาเซียนผมก็ได้ไปมาแล้วหลายที่โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศเวียดนามซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ตลาดสดเมืองด่งเฮ้ย ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคกลางของเวียดนาม สำหรับบรรยากาศของตลาดสดที่เมืองด่งเฮ้ยดูค่อนข้างมีความคึกคักเป็นอย่างมาก โดยตลาดจะเริ่มเปิดขายกันตั้งแต่ช่วงเช้ามืดและขายกันไปจนถึงช่วงสายไปจนถึงเที่ยงยันถึงบ่าย โดยสินค้าที่ขายกันในตลาดก็มีอยู่หลากหลายอย่างครับทั้งของสดและของแห้ง โดยเฉพาะพวกปลาจะได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษและมักจะมีผู้คนมาเดินเลือกซื้อกันอย่างมากมาย

ส่วนโซนอื่นๆก็จะมีของขายอยู่เยอะแยะไม่ว่าจะเป็น ผักสดและผลไม้ โซนขายดอกไม้ โซนของวัตถุดิบที่จะนำไปประกอบอาหาร รวมไปถึงโซนที่ตั้งอยู่ในตัวอาคารที่จะเน้นขายสินค้าประเภทเครื่องแต่งกายไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หมวก รองเท้า กระเป๋า ซึ่งจากการที่ผมได้ลงสำรวจพื้นที่ก็พบตลาดสดเมืองด่งเฮ้ยเป็นจุดที่เต็มไปด้วยผู้คนและดูค่อนข้างวุ่นวาย ยิ่งถ้ามาเดินในช่วงเช้าๆก็จะเห็นบรรยากาศการค้าขายปลาที่คึกคัก เพราะปลาที่นำมาขายส่วนใหญ่ก็ได้จากการจับปลาบริเวณแม่น้ำยัทเลซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนชาวเมืองด่งเฮ้ย


ตลาดสดเมืองด่งเฮ้ยเป็นตลาดขนาดใหญ่
ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศเวียดนาม

โซนขายปลาซึ่งในช่วงเวลาเช้าๆจะมีความคึกคึกเป็นอย่างมาก

ปลามีหลายขนาดซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากการจับปลา
บริเวณแม่น้ำยัทเลซึ่งตั้งอยู่ติดกับตลาด

ผู้คนหลากหลายแวะเวียนมาเดินซื้อของที่ตลาด
ซึ่งบรรยากาศมีความเป็นท้องถิ่นค่อนข้างจะสูง

โซนขายของแห้งและวัตถุดิบที่นำไปประกอบอาหาร

แม่ค้ากำลังหั่นเนื้อ แต่ที่นี่ไม่น่ามีเนื้อสุนัขนะ

โซนนี้เป็นตลาดในร่มซึ่งสินค้าส่วนใหญ่จะเป็น
ประเภทพวกของใช้และเครื่องแต่งกาย

กระเป๋าและหมวกจำนวนมากถูกตั้งวางขาย
การซื้อขายคงจะต้องต่อรองเก่งๆเพื่อให้ได้ราคาที่สมเหตุสมผล

เสื้อผ้าเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับตลาดในทุกประเทศทั่วโลก


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
28 พฤษภาคม 2567


EP.156 สะพานคนเดินเหงียนวันทรอย


เมืองดานังเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวของประเทศเวียดนาม นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนรู้จักเมืองดานังกันเป็นอย่างดีครับ เพราะที่นี่มีจุดท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง บาน่าฮิลล์ ขณะที่ในตัวเมืองดานังก็มีจุดน่าสนใจอย่าง สะพานมังกร ที่จะมีการแสดงมังกรพ่นไฟและพ่นน้ำในช่วงสุดสัปดาห์และบริเวณจุดใกล้ๆกับสะพานมังกรก็ยังมีสะพานอีก 2 แห่งซึ่งเป็นสะพานที่เอาไว้ใช้ข้ามแม่น้ำหานเฉกเช่นเดียวกับสะพานมังกร โดย 2 สะพานดังกล่าวก็คือ สะพานเจิ่นถิหลีและสะพานเหงียนวันทรอย

สำหรับสะพานเหงียนวันทรอยเป็นสะพานสำหรับให้คนเดินโดยเฉพาะซึ่งจะเป็นสะพานข้ามแม่น้ำหานและจะไม่มีรถยนต์และมอเตอร์ไซค์มาวิ่งบนสะพานได้ โดยสะพานเหงียนวันทรอยถูกสร้างโดยกลุ่มชาวอเมริกันในช่วงปี 2508 ซึ่งเป็นในยุคของสงครามเวียดนามโดยในสมัยก่อนสะพานถูกใช้เพื่อให้รถยนต์ลำเลียงอาวุธในการเดินทางข้ามแม่น้ำหานจนกระทั่งเมื่อสงครามยุติลงสะพานก็มาอยู่ในความดูแลของทางการเวียดนามและในช่วงปี 2556 ได้มีการปรับปรุงสะพานให้ดูมีความทันสมัยมากขึ้น นอกจากนั้นยังได้มีการกำหนดให้สะพานเหงียนวันทรอยกลายเป็นสะพานสำหรับคนเดินเพียงอย่างเดียว

ปัจจุบันสะพานเหงียนวันทรอยนอกจากจะเป็นสะพานสำหรับคนเดินข้ามแม่น้ำหานแล้วยังเป็นจุดที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูปและออกกำลังกายโดยเฉพาะในช่วงเวลาเย็นที่จะมีผู้คนออกมาทำกิจกรรมต่างๆทั้งการวิ่งออกกำลังกาย ขี่จักรยาน โดยที่ผมได้ไปสำรวจบรรยากาศของสะพานเหงียนวันทรอยในช่วงราวๆ 5 โมงเย็นก็พบว่าบรรยากาศบนสะพานค่อนข้างจะโอเคเลยทีเดียว เนื่องจากไม่มีรถยนต์และมอเตอร์ไซค์มาวิ่งให้น่ารำคาญ ทำให้สามารถเดินชมวิวบรรยากาศของแม่น้ำหานได้แบบชิวๆรวมทั้งยังสามารถเห็นวิวของสะพานเจิ่นถิหลีซึ่งเป็นสะพานคู่ขนานที่อยู่ใกล้ๆกัน


สะพานเหงียนวันทรอยเป็นสะพานที่ใช้ข้ามแม่น้ำหาน
โดยตั้งอยู่ในเมืองดานังของประเทศเวียดนาม

สะพานถูกสร้างโดยชาวอเมริกันในช่วงยุคสงครามเวียดนาม

ปัจจุบันเป็นสะพานที่เอาไว้ให้คนเดินเท้าเพียงอย่างเดียว
โดยยานพาหนะมีแค่จักรยานที่สามารถข้ามผ่านได้เท่านั้น

ใกล้ๆกันมีสวนสาธารณะขนาดย่อมๆ
โดยด้านล่างจะเป็นลานกว้างให้ผู้คนได้มาทำกิจกรรมต่างๆ

ผมเดินชมวิวบรรยากาศบนสะพานเหงียนวันทรอย
และก็ไม่พลาดที่จะถ่ายภาพของแม่น้ำหาน


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
30 มิถุนายน 2567


EP.157 เมืองจำลองสถานที่ท่องเที่ยว
จากทั่วโลก


ในทุกประเทศทั่วโลกก็มักจะมีสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆที่เป็นแลนด์มาร์กสำคัญอย่างเมืองไทยของบ้านเราก็จะมีอย่าง วัดพระแก้ว ที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของประเทศไทยซึ่งแลนด์มาร์กเหล่านี้ก็จะมีนักท่องเที่ยวจากหลายชาติแห่แหนไปเที่ยวกันอย่างมากมาย แต่การที่จะเดินทางไปเที่ยวแลนด์มาร์กดังๆเหล่านี้ก็อาจจะต้องใช้เวลานานและใช้งบในการเดินทางสูงมาก เนื่องจากสถานที่แต่ละแห่งก็จะอยู่กระจายในประเทศต่างๆทั่วโลก

แต่ปัจจุบันก็ได้มีคนคิดไอเดียที่จะรวมแลนด์มาร์กดังๆจากทั่วโลกมาอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกันเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาชมแลนด์มาร์กดังๆได้หลายแห่งซึ่งแม้ว่ามันจะเป็นการสร้างจำลองขึ้นมา แต่ก็มีผู้คนหลายคนที่นิยมชมชอบการไปดูแลนด์มาร์กดังๆที่ถูกสร้างจำลองขึ้น โดยที่เมืองดานังในประเทศเวียดนามก็มีเมืองจำลองสถานที่ท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้ได้ชมเหมือนกันครับและเมืองจำลองที่นี่จะเปิดให้ทุกคนได้เข้ามาชมกันฟรีในทุกๆวัน

สำหรับเมืองจำลองสถานที่ท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่เมืองดานังจะตั้งอยู่ติดกับโรงแรม Wyndham Da Nang Golden Bay ซึ่งเมืองจำลองแห่งนี้ก็เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของทางโรงแรม โดยบรรยากาศด้านภายในจากที่ผมได้ไปชมมาก็พบว่าไม่ได้เป็นสถานที่ที่ใหญ่โตอะไรมากมายและพวกแลนด์มาร์กเด่นๆก็มีให้ชมไม่มากนัก โดยเท่าที่ผมเห็นมาก็จะมี กำแพงเมืองจีน หอไอเฟล พีระมิดแห่งกีซ่า เทพเสรีภาพ รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวของทางเวียดนามอย่าง เจดีย์เสาเดียวที่ตั้งอยู่ในกรุงฮานอย


พื้นที่ของเมืองจำลองสถานที่ท่องเที่ยวจากทั่วโลก
เป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม Wyndham Golden Bay

ที่นี่จะรวบรวมแลนด์มาร์กดังๆเด่นๆจากทั่วโลก
โดยรูปนี้เป็น พีระมิดแห่งกีซ่า แลนด์มาร์กดังของประเทศอียิปต์

หอไอเฟลและด้านหลังก็คือกำแพงเมืองจีน

เจดีย์เสาเดียว สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเวียดนาม
ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงฮานอย

รูปปั้นของบรรดาเทพเจ้ากรีก

เมืองจำลองจะตั้งอยู่ใกล้ๆกับแม่น้ำหาน
ส่วนสะพานที่เห็นข้างหน้าก็คือ สะพานทวนเฟื้อก


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
6 กรกฎาคม 2567



EP.160 โครงการอาคาร
สไตล์ยุโรปแห่งเมืองดานัง


เมืองดานังเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศเวียดนามและในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติไปเยี่ยมเยือนกันพอสมควรและด้วยความที่ดานังเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดัง ทำให้ได้มีการเติบโตของเมืองอย่างต่อเนื่องโดยสิ่งที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือพวกตึกอาคารบ้านเรือน คอนโดมิเนียมรวมไปถึงห้างสรรพสินค้าที่ผุดขึ้นมาอย่างมากมาย ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับความเจริญและความเติบโตขึ้นของเมืองนั่นเอง

ผมได้ลงพื้นที่สำรวจเมืองดานังไปครั้งล่าสุดก็เมื่อตอนเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาซึ่งบรรยากาศเท่าที่ได้เห็นผ่านตามาก็คือ พวกการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมไปจนถึงโครงการอาคารสไตล์ยุโรปซึ่งมีชื่อว่า Regal Pavilon โดยโครงการนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้าสัญชาติเกาหลีอย่าง Lotte Mart โดยที่บรรยากาศของโครงการผมว่ามีลักษณะคล้ายๆพวกโฮมออฟฟิศหรือทาวน์โฮมซึ่งที่นี่จะออกแบบอาคารให้มีความทันสมัยและเน้นสถาปัตยกรรมในสไตล์ยุโรปเป็นหลัก

ส่วนในปัจจุบันโครงการ Regal Pavilon ที่ดานังยังไม่ได้มีผู้มาอยู่อาศัยมากมายอะไรซึ่งจากการที่ผมเดินสำรวจดูก็จะเห็นมีแค่บางจุดที่ทำเป็นโฮมออฟฟิศหรือบางจุดก็ซื้อมาเพื่อเก็งกำไรอย่างการขายหรือให้เช่าซึ่งจากทำเลที่ตั้งซึ่งจะอยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้า สวนสนุกหรือแม้กระทั่งศูนย์กีฬาประจำเมืองก็อาจจะคิดไปได้ว่าเจ้าของโครงการอาจจะเน้นลูกค้าที่มีกำลังซื้อและอาจจะเป็นกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจในเมืองดานังโดยเฉพาะในกลุ่มชาวเกาหลีใต้ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของที่ดานังและหลายคนก็เริ่มเข้ามาลงทุนทำธุรกิจในเวียดนาม


Regal Pavilon เป็นโครงการที่อยู่อาศัยซึ่งตั้งอยู่ใน
เมืองดานังของประเทศเวียดนาม

รูปแบบตัวอาคารจะเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป

แม้ว่ายังไม่ได้มีผู้มาอยู่อาศัยมากนัก แต่บางจุด
จะเห็นว่ามีการทำเป็นโฮมออฟฟิศหรือซื้อเพื่อเก็งกำไร

บรรยากาศค่อนข้างจะดูเงียบสงบและให้อารมณ์
เหมือนหมู่บ้านจัดสรรที่มีความเป็นยุโรป

เครื่องเล่นสำหรับเด็กตั้งอยู่ใกล้ๆกับจุดทางเข้าออก

เมืองดานังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้มีการก่อสร้าง
โครงการที่อยู่อาศัยรวมถึงห้างสรรพสินค้าอย่างต่อเนื่อง


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
3 สิงหาคม 2567


EP.161 ปืนใหญ่ศักดิ์สิทธิ์
แห่งเมืองเว้


เมืองเว้เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศเวียดนามซึ่งในปัจจุบันเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของเวียดนาม แต่สำหรับในยุคอดีตที่แห่งนี้เคยเป็นอดีตราชธานีเก่าของเวียดนามซึ่งถ้าให้เปรียบกับบ้านเราก็คงจะเป็นประมาณจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและด้วยความที่เป็นเมืองหลวงเก่า ทำให้บรรยากาศของที่นี่จะมีกลิ่นอายของความคลาสสิคซึ่งสิ่งที่สามารถเห็นได้มากที่สุดก็คือพวกกำแพงเมืองรวมไปถึงป้อมปราการซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกถึงเรื่องราวในอดีต

ผมมีโอกาสได้แวะไปเที่ยวเมืองเว้อยู่ 2-3 ครั้งโดยครั้งล่าสุดไปเมื่อตอนเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาแต่สถานที่ท่องเที่ยวดังๆผมไม่ได้ไปเที่ยวมากเท่าไหร่นัก ส่วนมากจะเน้นดูบรรยากาศรอบนอกเสียมากกว่าและจุดหนึ่งที่ผมได้ไปดูด้วยตาตนเองก็คือ ปืนใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 9 กระบอกซึ่งตั้งอยู่บริเวณรอบนอกของพระราชวังเมืองเว้ โดยปืนใหญ่ทั้ง 9 กระบอกนี้ถูกสร้างขึ้นโดยช่างฝีมือดีแห่งเมืองเว้ซึ่งได้รับการคัดเลือกมาอย่างรอบคอบ เพราะการหล่อปืนใหญ่ต้องใช้ความละเอียดและความพิถีพิถัน โดยปืนใหญ่มีความยาว 5.1 เมตรมีเส้นผ่านศูนย์กลางตรงลำกล้อง 0.54 เมตรและมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 17,000 กิโล

นอกจากนั้นยังมีการแกะสลักลวดลายลงบนปืนใหญ่ซึ่งเป็นลายดอกไม้นูนเป็นเส้นสายอ่อนช้อย ส่วนจุดด้านขวามีการแกะสลักเครื่องนับดินปืนและกระสุนปืนลงไปและนอกจากนั้นยังมีการตั้งชื่อให้แก่ปืนใหญ่ทั้ง 9 กระบอก โดย 4 กระบอกแรกจะตั้งชื่อตามฤดูกาลทั้ง 4 ของเวียดนามคือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ส่วนอีก 5 กระบอกจะตั้งตามชื่อธาตุทั้ง 5 ได้แก่ ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุไม้ ธาตุดิน ธาตุโลหะ โดยในปัจจุบันปืนใหญ่ทั้ง 9 กระบอกได้ถูกปลดประจำการไปแล้วเนื่องจากไม่มีเหตุการณ์สู้รบเหมือนครั้งในอดีต แต่ปืนใหญ่ทั้ง 9 ก็กลายเป็นดั่งสัญลักษณ์ที่คู่อยู่กับเมืองเว้และได้ตั้งจัดแสดงให้นักท่องเที่ยวได้มาชมและถ่ายรูปโดยไม่มีการเก็บค่าเข้าชมแต่อย่างใด


ปืนใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 9 กระบอกตั้งอยู่อย่างโดดเด่น
ในเมืองเว้ซึ่งอยู่ทางตอนกลางของประเทศเวียดนาม

ความยาวของปืนใหญ่จะมีขนาดเท่ากันคือ 5.1 เมตร
ส่วนน้ำหนักจะแตกต่างกันไปบ้างแต่ก็ไม่ห่างกันเท่าไหร่นัก

ปืนใหญ่จะตั้งอยู่คนละฝั่งโดยด้านนึงจะมีอยู่ 4 กระบอก
ส่วนอีกฝั่งนึงจะมีอยู่ทั้งสิ้น 5 กระบอก

ประวัติของปืนใหญ่ทั้ง 9 กระบอกซึ่งมีให้อ่านทั้ง
ภาษาเวียดนาม ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
16 สิงหาคม 2567


EP.166 ถ้ำควาย


เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาผมได้ไปท่องเที่ยวที่เมืองนินห์บิญซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่โซนตอนเหนือค่อนมาทางตอนกลางของประเทศเวียดนาม โดยผมพักที่นินห์บิญประมาณ 3 คืนซึ่งจากการที่ค้นหาข้อมูลมาก่อนแล้วก็พบว่าที่นินห์บิญจะมีความโดดเด่นในสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติโดยเฉพาะพวกภูเขา น้ำตก ลำธารและแม่น้ำซึ่งสำหรับคนที่ชื่นชอบการผจญภัยแนวธรรมชาติ ที่นี่น่าจะตอบโจทย์พวกคุณได้อย่างแน่นอน

สำหรับที่เที่ยวเด่นๆของที่นินห์บิญก็จะเป็นพวกถ้ำรวมไปถึงการล่องแม่น้ำ แต่ผมมักจะชอบเสาะแสวงหาสถานที่ที่ผู้คนไม่ค่อยรู้จักมากนักซึ่งการมาเที่ยวที่นินห์บิญก็ทำให้ผมได้มาเจอกับ ถ้ำควาย ซึ่งตามภาษาอังกฤษก็เรียกกันตรงตัวว่า Buffalo Cave ซึ่งที่นี่เป็นเหมือนจุดทางผ่านระหว่างที่จะไปสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ แต่เมื่อผ่านมาเจอแล้วผมก็ขอแวะเข้าไปสำรวจบรรยากาศกันสักหน่อยว่าภายในถ้ำควายมีอะไรน่าสนใจบ้าง

โดยบรรยากาศของถ้ำควายต้องถือว่าเป็นถ้ำขนาดเล็กทางเข้าถ้ำมีลักษณะไม่ใหญ่มากนักและทางเดินเข้าไปก็ค่อนข้างเล็กและบางจุดก็แคบ แต่ถึงแม้จะไม่ได้มีจุดเด่นน่าสนใจอะไรแต่ก็มักจะมีนักท่องเที่ยวแวะมาชมอยู่เรื่อยๆเพราะเป็นเสมือนจุดทางผ่านที่จะไปเที่ยวยังสถานที่เที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองนินห์บิญ ขณะที่บรรยากาศรอบๆผมวาค่อนข้างดีเลยทีเดียวเพราะได้เห็นทั้งวิวภูเขาและยังมีกิจกรรมให้ทำซึ่งจะเป็นการเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวนาทั้งการเพาะปลูกต้นข้าว เลี้ยงเป็ด ขี่ควายซึ่งเป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจากตะวันตกชื่นชอบกันอย่างมาก


ถ้ำควายเป็นถ้ำขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในเมืองนินห์บิญ
โดยเป็นถ้ำที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากเท่าไหร่

เมื่อเดินเข้ามาจะเจอกับจุดที่จัดไว้เพื่อการทำกิจกรรม
ซึ่งหลักๆก็คือ การปลูกต้นข้าว เลี้ยงเป็ดและขี่ควาย

ทางเดินเข้าถ้ำควายจะเป็นสะพานไม้ไผ่
โดยปากทางเข้าถ้ำก็ดูค่อนข้างจะเล็ก

บรรยากาศด้านภายในของถ้ำค่อนข้างจะเล็ก
ถ้าจะเดินเข้าไปจนสุดด้านภายในต้องระมัดระวังพอสมควร

เมื่อมาถึงถ้ำควายก็ย่อมมีควายให้ได้ชมกัน
โดยเจ้าตัวนี้ยืนต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่บริเวณใกล้จุดทางเข้า

ฝูงเป็ดที่ชาวบ้านเลี้ยงเอาไว้ซึ่งอาชีพหลักของคนที่นี่
ส่วนใหญ่จะทำอาชีพเกษตรกร

ชาวเมืองนินห์บิญนิยมเลี้ยงแพะเช่นเดียวกัน
ซึ่งเฝอแพะเป็นอีกหนึ่งเมนูเด็ดที่ไม่ควรพลาดหากมานินห์บิญ


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
23 กันยายน 2567



EP.167 ชายหาดไบ๋ดา


ผมไปเที่ยวที่ประเทศเวียดนามบ่อยถึงบ่อยมากและเป็นประเทศที่ผมได้เดินทางไปเที่ยวมากที่สุดแล้วซึ่งถ้านับดูแล้วก็ไม่ต่ำกว่า 10 ครั้งที่ผมได้ไปเหยียบบนผืนแผ่นดินเวียดนาม โดยการไปแต่ละครั้งผมก็มักจะเจาะไปตามโซนหรือภาคต่างๆ เช่น ครั้งนี้ไปภาคกลาง ครั้งต่อไปก็ภาคเหนือหรือครั้งต่อไปก็ลงสู่ภาคใต้ซึ่งครั้งล่าสุดที่ผมได้ไปเที่ยวเวียดนามก็คือเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาและเน้นไปเที่ยวที่เมืองดานังซึ่งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ

ดานัง คือ เมืองท่องเที่ยวและเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของเวียดนามโดยในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติแวะเวียนมาเที่ยวที่นี่กันอย่างมากมายซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวดังๆก็มักจะมีผู้คนไปเที่ยวกันเป็นจำนวนมากซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยถูกโฉลกกับผมมากนัก เพราะว่าผมชอบไปสถานที่แปลกๆที่ผู้คนอาจจะไม่เยอะมากและไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนักซึ่งในเมืองดานังก็มีจุดที่นักท่องเที่ยวต่างชาติแทบจะไม่รู้จักกัน เพราะที่นี่ค่อนข้างจะลึกลับซึ่งสถานที่ดังกล่าวก็คือ ชายหาดไบ๋ดา

สำหรับชายหาดไบ๋ดาเป็นจุดที่ไม่ได้มีคณะทัวร์มาลงเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆในเมืองดานัง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเป็นจุดที่ไปได้ค่อนข้างยากและทางเข้าก็ค่อนข้างเปลี่ยวและไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆทั้งสิ้น โดยการที่จะไปยังชายหาดไบ๋ดาต้องไปด้วยรถส่วนตัวเท่านั้นซึ่งผมก็เลือกเช่ามอเตอร์ไซค์จากที่พักและเมื่อไปถึงก็พบว่าทางเข้าค่อนข้างดูเปลี่ยวจริงๆ

ส่วนบรรยากาศด้านในเมื่อเดินเข้าไปแล้วก็ถือว่าคุ้มค่ากับการที่ได้มา แม้ว่าจะไม่มีชายหาดสวยๆให้ได้เดินเล่นแต่น้ำทะเลที่นี่ถือว่าค่อนข้างสวยใสเลยทีเดียวและจุดที่เป็นเอกลักษณ์เด่นก็คือ จำนวนโขดหินที่ตั้งอยู่อย่างเรียงรายซึ่งมีทั้งโขดหินเล็กและใหญ่สลับกันไปซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากนัก แต่ผมก็สังเกตุได้ว่ามีผู้คนไปเที่ยวกันไม่น้อยแต่ส่วนใหญ่ก็คือคนท้องถิ่นชาวเวียดนามนั่นเองซึ่งส่วนใหญ่จะมากันเป็นกลุ่มเพื่อนหรือกลุ่มครอบครัว บางคนก็เล่นน้ำอย่างสนุกสนาน บางคนก็มานั่งรับลมพูดคุยอย่างเป็นกันเองซึ่งบรรยากาศก็ดูมีความคึกคักไม่น้อยเลยทีเดียว


ทางเดินเข้าไปยังชายหาดไบ๋ดาซึ่งดูค่อนข้างเปลี่ยว
ส่วนทางเดินก็ไม่ได้เป็นทางแบบเรียบๆ

บรรยากาศของชายหาดไบ๋ดาซึ่งดูค่อนข้างสวยงามไม่น้อย
โดยเอกลักษณ์ก็คือ โขดหินน้อยใหญ่จำนวนมาก

นักท่องเที่ยวมาเล่นน้ำคลายร้อนกันอย่างสนุกสนาน
ซึ่งคนที่มาเที่ยวที่นี่ก็เป็นคนท้องถิ่นแทบทั้งหมด

แม้ไม่มีชายหาดทอดยาวให้เดินเล่น
แต่ก็มีโขดหินมากมายให้ได้ถ่ายรูป

ผมยืนอยู่บนโขดหินและมองออกไปไกลสุดตา
ก็ได้พบกับภาพของตึกที่ตั้งอยู่ในตัวเมืองดานัง

นักท่องเที่ยวบางส่วนที่ไม่ได้เล่นน้ำก็มานั่งพูดคุย
และนำอาหารมานั่งทานกัน

ผมเดินสำรวจไปรอบๆก็เห็นเปลที่คนนำมาผูกกับต้นไม้
เพื่อเอาไว้สำหรับนอนพักผ่อนแบบชิวๆ


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
1 ตุลาคม 2567


EP.169 นั่งรถไฟฟ้าเวียดนาม
ในกรุงฮานอย


รถไฟฟ้าของเวียดนามเริ่มเปิดให้บริการเป็นครั้งแรกในช่วงเดือนพฤศจิกายนของปี 2021 ซึ่งถือว่าเป็นระบบขนส่งมวลเร็วแห่งแรกของประเทศอีกด้วยโดยถึงแม้ว่าจะถูกค่อนขอดว่าใช้เวลาการก่อสร้างนานหลายปีและมีความล่าช้าต่างๆนานา แต่ในที่สุดรถไฟฟ้าเวียดนามก็เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการซึ่งก็ตั้งอยู่ในกรุงฮานอย โดยรถไฟฟ้าสายแรกของเวียดนามจะให้บริการอยู่ทั้งสิ้น 12 สถานี

ผมได้มีโอกาสใช้บริการรถไฟฟ้าของเวียดนามเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นการนั่งรถไฟฟ้าสำรวจเส้นทางทั้งสิ้น 12 สถานีโดยเริ่มตั้งแต่สถานีก๊าตลิญไปจนถึงสถานีเอียนเหงีย โดยเลือกเดินทางในช่วงเที่ยงของวันธรรมดาซึ่งไม่ใช่ช่วงเวลาเร่งด่วน เนื่องจากมีการถ่ายคลิปบรรยากาศไปด้วยซึ่งเมื่อเดินทางมาถึงที่สถานีก๊าตลิญก็พบว่าเป็นสถานีที่ใหญ่อยู่เหมือนกัน โดยมีจุดจอดรถให้บริการแต่ส่วนมากผมจะเห็นแต่มอเตอร์ไซค์ที่ถูกนำมาจอดกัน

ส่วนอัตราค่าโดยสารก็จะแตกต่างกันไปตามเส้นทางซึ่งผมเดินทางจนครบทั้งสิ้น 12 สถานีอัตราค่าโดยสารสูงสุดก็จะอยู่ที่ 15,000 ดงเวียดนามหรือตีเป็นเงินไทยก็ตกประมาณ 20 บาทส่วนค่าโดยสารราคาถูกสุดจะอยู่ที่ 8,000 ดงหรือราวๆ 10 บาทซึ่งเมื่อได้ซื้อตั๋วโดยสารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินไปยังจุดของชานชาลาซึ่งในช่วงเที่ยงวันผู้โดยสารมีไม่มากนักและเท่าที่เห็นก็จะเป็นกลุ่มพวกนักเรียนและวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่

ส่วนระยะทางจากสถานีก๊าตลิญไปถึงสถานีเอียนเหงียจะอยู่ที่ 13 กิโลเมตรและจากที่ผมสังเกตุบรรยากาศระหว่างทางที่รถไฟฟ้าวิ่งผ่านก็พบว่า รถไฟฟ้าของเวียดนามสายนี้ไม่ได้ผ่านสถานที่สำคัญและแหล่งท่องเที่ยวหลักของกรุงฮานอยเลยแม้แต่สถานีเดียวซึ่งเส้นทางที่ผ่านส่วนใหญ่ก็จะเป็นโซนชานเมืองซึ่งไม่มีจุดท่องเที่ยวนั่นจึงทำให้รถไฟฟ้าในกรุงฮานอยยังไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควรประกอบกับการที่คนเวียดนามเองก็นิยมการขี่มอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะในการเดินทางนั่นจึงทำให้รถไฟฟ้าเวียดนามยังไม่ตอบโจทย์สำหรับคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังกรุงฮานอย


สถานีก๊าตลิญเป็นจุดเริ่มต้นของผมในการ
นั่งรถไฟฟ้าเวียดนามที่กรุงฮานอย

ข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงเส้นทางต่างๆที่รถไฟฟ้าจะวิ่งผ่าน
โดยมีทั้ง 12 สถานีในระยะทาง 13 กิโลเมตร

บรรยากาศของสถานีรถไฟฟ้าก๊าตลิญในช่วงเที่ยง

ผมซื้อบัตรโดยสารเสร็จก็ขึ้นมารอยังจุดของชานชาลา
ซึ่งรถไฟฟ้าก็มาค่อนข้างตรงเวลาตามที่แสดงไว้บนตารางเวลา

บรรยากาศภายในรถไฟฟ้าซึ่งผู้โดยสารมีไม่เยอะมาก

นี่คือหน้าตาของบัตรโดยสารแบบเที่ยวเดียว
โดยการเดินทางครั้งนี้ผมจ่ายไปประมาณ 15,000 ดงหรือราวๆ 20 บาท

เดินทางมาถึงสถานีปลายทางซึ่งก็คือ สถานีเอียนเหงีย
โดยระหว่างที่ผ่านสถานีต่างๆแทบไม่เจอจุดท่องเที่ยวอะไรเลย

สถานีรถไฟฟ้าเอียนเหงียเป็นจุดเชื่อมต่อกับสถานีขนส่ง
ซึ่งมีรถบัสและรถมินิบัสให้บริการไปยังหลากหลายเส้นทาง


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
13 ตุลาคม 2567


EP.178 เนินเขา A1


เวียดนามเป็นประเทศที่เคยต้องเผชิญกับภาวะสงคราม โดยในสมัยอดีตกองทัพชาวญวนต้องสู้รบในสงครามกับฝ่ายโลกตะวันตกไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศสหรือแม้กระทั่งสหรัฐอเมริกา สำหรับการสู้รบกับฝรั่งเศสก็ถูกรู้จักกันดีในชื่อของ ยุทธการเดียนเบียนฟู ซึ่งเป็นสงครามที่ฝ่ายเวียดนามรบกับกองกำลังของฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1954 โดยการสู้รบนั้นก็เกิดขึ้นที่เมืองเดียนเบียนฟูซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม

ยุทธการเดียนเบียนฟูเป็นสงครามที่สู้รบที่กินเวลากว่า 40 วันโดยการสู้รบเกิดขึ้นบนเนินเขาซึ่งสถานที่แห่งนี้กองทัพของฝรั่งเศสได้ใช้เป็นฐานทัพสำคัญและหวังที่จะบดทำลายเวียดนามให้ย่อยยับ โดยแม้ว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ของฝ่ายเวียดนามจะด้อยและเทียบกับกองทัพของฝรั่งเศสไม่ได้ แต่ยุทธวิธีที่ฝ่ายเวียดนามมาใช้เล่นงานก็ทำให้กองทัพฝรั่งเศสถึงกับต้องพบกับความปราชัย

หนึ่งในยุทธวิธีที่เวียดนามใช้ทำลายฐานทัพของฝรั่งเศสก็คือ การเจาะภูเขาทั้งลูกเพื่อให้เชื่อมต่อเข้าถึงกันโดยแต่ละจุดก็จะเจอกับบังเกอร์ของกำลังฝรั่งเศสที่ใช้เป็นจุดบัญชาการรบซึ่งเป็นการโจมตีเป้าหมายสำคัญ โดยการสู้รบบนเนินเขาเกิดขึ้นอยู่หลายครั้งจนกระทั่งในช่วงเวลา 04.00 น.ของวันที่ 7 พฤษภาคมปี 1954 กองทัพของเวียดนามก็สามารถยึดฐานทัพของฝรั่งเศสหรือที่เรียกกันว่าเนินเขา A1 ได้อย่างเป็นทางการและเป็นฝ่ายชนะในยุทธการเดียนเบียนฟู

ส่วนในยุคปัจจุบันพื้นที่ของเนินเขา A1 ก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของเวียดนาม โดยพื้นที่ก็ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเดียนเบียนฟูทำให้สามารถเดินทางไปชมกันได้อย่างสะดวก ส่วนราคาค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 20,000 ดงหรือประมาณ 30 บาทและเนินเขา A1 จะเปิดให้เข้าชมกันทุกวันโดยช่วงที่ผมได้ไปเที่ยวชมก็เป็นในเดือนมกราคมของปี 2024 ในช่วงเวลาบ่ายซึ่งอากาศก็กำลังสบายๆไม่หนาวหรือร้อนมากจนเกินไปซึ่งหากใครต้องการรู้ลึกถึงข้อมูลของตำนานการสู้รบที่เนินเขา A1 ก็สามารถจ้างไกด์ท้องถิ่นในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสู้รบในยุทธการเดียนเบียนฟูได้


เนินเขา A1 ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเดียนเบียนฟู
โดยในสมัยอดีตเคยเป็นสมรภูมิสู้รบระหว่างเวียดนามกับฝรั่งเศส

หลุมยุบลงไปค่อนข้างลึกซึ่งก็คือร่องรอยการสู้รบ
ในศึกยุทธการเดียนเบียนฟูเมื่อปี 1954

มีการเจาะภูเขาทั้งลูกเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้
โดยเป็นยุทธวิธีที่เวียดนามใช้ในการเล่นงานฝ่ายฝรั่งเศส

ทางเชื่อมที่จะทะลุไปถึงกันได้ซึ่งเป็นจุดที่กองทัพเวียดนาม
ใช้โจมตีฝรั่งเศสจนได้รับชัยชนะ

ป้อมปราการและบังเกอร์ภายในเนินเขา A1 โดยเป็นจุดที่
ฝรั่งเศสใช้เป็นฐานบัญชาการรบในยุทธการเดียนเบียนฟู

รถถังของฝ่ายฝรั่งเศสที่เคยใช้เป็นอาวุธในการสู้รบ
ปัจจุบันถูกตั้งเป็นอนุสรณ์ให้นักท่องเที่ยวได้มาถ่ายรูป

อนุสรณ์สถานที่ใช้ในการรำลึกถึงนายทหารที่เสียชีวิต
ถูกตั้งอยู่ตรงกลางของเนินเขา A1


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
15 ธันวาคม 2567


EP.179 โบสถ์เซนต์โจเซฟ


ปฏิทินของปี 2024 กำลังจะผ่านพ้นไปแล้วนะครับโดยเหลือเวลาอีกราวๆ 10 วันก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2025 โดยบรรยากาศในช่วงปลายปีแบบนี้ก็จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของใครหลายๆคนโดยเฉพาะในกลุ่มชาวคริสต์ เพราะในช่วงปลายปีแบบนี้จะเป็นช่วงเทศกาลคริสต์มาสต่อเนื่องไปจนถึงช่วงปีใหม่ซึ่งจะเป็นช่วงหยุดยาว ทำให้ชาวคริสต์มักจะใช้เวลานี้อยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาหรือบางส่วนก็ออกไปท่องเที่ยวพักผ่อนชาร์จพลังงานให้กับตนเอง

ถ้าพูดถึงบรรยากาศของช่วงคริสต์มาสก็ต้องนึกถึงต้นคริสต์มาสซึ่งถือว่าเอกลักษณ์สำคัญ โดยต้นคริสต์มาสก็มักจะถูกตั้งอยู่ตามจุดต่างๆที่มีผู้คนผ่านสัญจรกันเป็นจำนวนมากและเมื่อเอ่ยถึงต้นคริสต์มาสก็ทำให้ผมนึกไปถึงบรรยากาศที่ โบสถ์เซนต์โจเซฟ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงฮานอยของประเทศเวียดนาม โดยโบสถ์เซนต์โจเซฟเป็นโบสถ์คริสต์โรมันคาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงฮานอยซึ่งตัวสถาปัตยกรรมเป็นสไตล์นีโอโกธิคซึ่งมีต้นแบบมาจากวิหารนอร์ทเธอร์ดามในกรุงปารีสของประเทศฝรั่งเศสและถูกสร้างขึ้นในปี 1884 ในยุคที่ฝรั่งเศสยังเป็นเจ้าอาณานิคมของเวียดนาม

นอกจากนั้นแล้วโบสถ์เซนต์โจเซฟก็ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวคริสต์ที่อาศัยอยู่ในกรุงฮานอยและยังเป็นสถานที่ที่ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา ส่วนในปัจจุบันโบสถ์เซนต์โจเซฟกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของกรุงฮานอย นักท่องเที่ยวจากหลากหลายชาติมักจะมาถ่ายรูปและชมความสวยงามของตัวโบสถ์เซนต์โจเซฟซึ่งในช่วงเวลาค่ำคืนที่แห่งนี้จะมีการเปิดไฟแสงสีสวยงาม นอกจากนั้นก็ยังเป็นจุดที่จะมีชาวคริสต์มาประกอบพิธีทางศาสนาโดยเฉพาะพิธีมิสซาซึ่งในทุกๆวันอาทิตย์ตั้งแต่ช่วง 18.00 น.เป็นต้นไปจะมีชาวคริสต์จำนวนมากมาทำพิธีมิสซาซึ่งจะเห็นชาวคริสต์หลายคนที่มาประกอบพิธีจนแถวยาวออกไปจนถึงด้านนอก


โบสถ์เซนต์โจเซฟเป็นอาสนวิหารคริสต์ที่เก่าแก่ที่สุด
ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงฮานอยของประเทศเวียดนาม

โบสถ์เซนต์โจเซฟถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมนีโอโกธิค
โดยทำเลจะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทะเลสาบฮว่านเกี๊ยม

ชาวคริสต์จำนวนมากในกรุงฮานอยมาร่วมประกอบพิธีมิสซา
ซึ่งจะมีทั้งชาวเวียดนามรวมไปถึงชาวต่างชาติ

ต้นคริสต์มาสถูกประดับไฟแสงสีอย่างสวยงาม
ซึ่งเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์สำคัญของช่วงเทศกาลคริสต์มาส

ปัจจุบันโบสถ์เซนต์โจเซฟเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของกรุงฮานอย
และจะมีจุดหรือมุมสวยๆให้ผู้คนได้มาถ่ายรูปกัน

บริเวณรอบๆของโบสถ์เซนต์โจเซฟจะมีร้านค้ามากมาย
และมีสามล้อถีบคอยให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการชมเมือง


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
22 ธันวาคม 2567


EP.181 ทะเลสาบซวนเฮือง


สวัสดีปีใหม่ 2025 ครับผู้อ่านทุกท่านถึงแม้ว่าอาจจะช้าไปบ้างแต่ก็ไม่น่าจะสายเกินไปสำหรับการกล่าวคำว่าสวัสดีปีใหม่ โดยในปี 2025 นี้ผมเองก็ยังมีเรื่องราวการเดินทางมาฝากให้ผู้อ่านทุกท่านได้ติดตามอีกเช่นเคยซึ่งแน่นอนว่าพอขึ้นปีใหม่ผมก็มักจะตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องลองทำสิ่งใหม่ๆอย่างเช่นการเดินทางไปในเส้นทางแปลกใหม่หรือไปท่องเที่ยวในประเทศใหม่ๆที่ยังไม่เคยได้ไป

สำหรับบทความแรกของปี 2025 นี้คือบทความของทะเลสาบซวนเฮืองซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองดาลัทของประเทศเวียดนาม สำหรับเมืองดาลัทคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต่างก็รู้จักกันดีเพราะนี่เป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของเวียดนามและเป็นเมืองพักตากอากาศของประเทศเวียดนาม สำหรับจุดท่องเที่ยวใจกลางเมืองที่หลายคนนิยมไปกันก็คือ ทะเลสาบซวนเฮือง ซึ่งมีขนาดกว้างใหญ่และตั้งอยู่ใจกลางเมืองทำให้มีความสะดวกสบายต่อการไปเที่ยวชมยิ่งนัก

แม้ว่าทะเลสาบซวนเฮืองจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นแต่ที่นี่ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและจุดพักผ่อนยอดนิยมของเมืองดาลัทซึ่งความยาวของทะเลสาบมีราวๆ 5 กิโลเมตรและเป็นจุดที่ผู้คนจะมาเดินหรือวิ่งออกกำลังกายรวมถึงปั่นจักรยานรอบทะเลสาบ นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมอื่นๆที่สามารถพบเห็นได้ไม่ว่าจะเป็นการนั่งพูดคุยชมวิวบรรยากาศของทะเลสาบ กลุ่มของคนที่มาตกปลาไปจนถึงมีบริการเรือถีบและที่ตั้งของทะเลสาบซวนเฮืองก็ถูกรายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญต่างๆทั้งตลาดกลางคืนเมืองดาลัท สวนสาธารณะไปจนถึงร้านค้าและร้านอาหารอีกมากมาย


ทะเลสาบซวนเฮืองเป็นทะเลสาบที่มนุษย์สร้างขึ้น
โดยตั้งอยู่ใจกลางเมืองดาลัท

ทะเลสาบมีความยาวกว่า 5 กิโลเมตรและเป็นจุดที่
ผู้คนจะมานั่งพักผ่อนและออกกำลังกายกัน

มีการปลูกประดับตกแต่งดอกไม้สวยงาม
อยู่บริเวณรอบทะเลสาบ

ทางเดินรอบทะเลสาบซึ่งจะมีผู้คนมาเดินออกกำลังกาย
กันทั้งวันเพราะอากาศที่ดาลัทเย็นสบายตลอดทั้งวัน

มีบริการเรือถีบแต่เท่าที่ผมเห็นแทบไม่มีใครใช้บริการเลย

เมืองดาลัทเป็นเมืองแห่งดอกไม้ของเวียดนาม
ทำให้จะมีการประดับด้วยดอกไม้ไปแทบตลอดทุกแห่งหน


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
9 มกราคม 2568


EP.185 นั่งรถไฟฟ้าในนครโฮจิมินห์


รถไฟฟ้าในนครโฮจิมินห์ของประเทศเวียดนามเพิ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานนัก โดยวันที่เปิดบริการครั้งแรกก็คือวันที่ 22 ธันวาคม 2024 ซึ่งในระยะแรกจะเป็นการให้บริการฟรีแก่พี่น้องประชาชนเป็นระยะเวลา 1 เดือนหลังจากนั้นก็จะเปิดให้บริการแบบเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบซึ่งจะมีการเก็บค่าโดยสารซึ่งราคาก็จะลดหลั่นกันไปตามระยะทางซึ่งมาตรการนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากตอนที่กรุงเทพมหานครมีรถไฟฟ้าสายแรกเมื่อปีพุทธศักราช 2542

ผมได้ยินข่าวการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายแรกในนครโฮจิมินห์ก็มีความสนใจที่อยากจะไปทดลองใช้บริการและรีวิวเส้นทางให้ท่านผู้ชมได้เห็นกันซึ่งผมก็มีโอกาสได้ไปนั่งรถไฟฟ้าที่นครโฮจิมินห์ในช่วงก่อนวันสิ้นปี 2024 โดยที่ผมเลือกนั่งตั้งแต่สถานีต้นทางไปจนถึงสถานีปลายทางซึ่งรถไฟฟ้าสายแรกของนครโฮจิมินห์จะให้บริการทั้งสิ้น 14 สถานีซึ่งเริ่มตั้งแต่สถานีเบนถั่นไปจนถึงสถานีซ้วยเตี่ยน

สำหรับสถานีเบนถั่นเปรียบได้ดั่งสถานีต้นทางเป็นสถานีขนาดใหญ่มีขนาดกว้างขวางและยังเชื่อมต่อกับสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอย่าง ตลาดเบนถั่น ซึ่งที่นี่จะเป็นจุดที่มีผู้คนมาใช้บริการกันอย่างมากมายและการที่รถไฟฟ้าให้บริการฟรีก็ยิ่งเต็มไปด้วยผู้คนชาวเวียดนามทุกเพศทุกวัยทั้งคนทำงาน เด็ก คนเฒ่าคนแก่รวมไปถึงพวกบรรดานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติก็ต่างมาสัมผัสประสบการณ์การนั่งรถไฟฟ้าสายแรกในนครโฮจิมินห์ด้วยเช่นกัน

ส่วนระยะทางจะมีทั้งสิ้น 19.7 กิโลเมตรและเท่าที่ผมสังเกตุก็พบว่ารถไฟฟ้าของที่โฮจิมินห์จะผ่านสถานที่สำคัญต่างๆมากกว่ารถไฟฟ้าในกรุงฮานอย โดยสถานที่สำคัญที่รถไฟฟ้าวิ่งผ่านก็จะมีทั้ง ตลาดเบนถั่น โรงละครโอเปร่า สวนสาธารณะวันทันไปจนถึงสถานีปลายทางซึ่งจะเชื่อมต่อกับสถานีขนส่งเมียนดงแห่งใหม่ ส่วนบรรยากาศก็ดูคึกคักและแออัดไปด้วยผู้คนครับ เพราะด้วยความที่ให้บริการฟรีและเป็นรถไฟฟ้าสายแรกในนครโฮจิมินห์หลังจากรอคอยมายาวนานกว่า 17 ปีทำให้ชาวเวียดนามดูจะตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจกับรถไฟฟ้าสายแรกของนครโฮจิมินห์มากพอสมควร


สถานีรถไฟฟ้าเบนถั่นเป็นสถานีต้นทาง
สำหรับรถไฟฟ้าสายแรกในนครโฮจิมินห์

บรรยากาศภายในสถานีรถไฟฟ้าเบนถั่น
ดูแล้วมีขนาดใหญ่โตแลละกว้างขวางอยู่ไม่น้อย

จุดทางเข้าเพื่อไปยังชานชาลาที่สถานีเบนถั่น

แผนผังเส้นทางของรถไฟฟ้าในนครโฮจิมินห์
ซึ่งจะมีการขยายเส้นทางเพิ่มในอนาคต

ชานชาลาที่สถานีรถไฟฟ้าเบนถั่น
เต็มไปด้วยผู้คนที่มารอใช้บริการ

ผู้โดยสารบนรถไฟฟ้ามีจำนวนมากทั้งคนเวียดนาม
รวมไปถึงชาวต่างชาติ

รถไฟฟ้าจะวิ่งผ่านทั้งสิ้น 14 สถานีจากสถานีเบนถั่น
และมาสิ้นสุดที่สถานีปลายทางคือ สถานีซ้วยเตี่ยน


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
6 กุมภาพันธ์ 2568


EP.188 ทะเลทรายแดงแห่งมุยเน่


ถ้าพูดถึงทะเลทรายผมเชื่อว่าหลายท่านคงจะจินตนาการภาพของความเวิ้งว้าง ความแห้งแล้ง ความร้อนระอุไปจนถึงบรรดาต้นกระบองเพชรและพาหนะที่เป็นสัตว์อย่างอูฐซึ่งเป็นภาพจากในภาพยนตร์ ทำให้หลายคนมองว่าบรรยากาศของทะเลทรายไว้เป็นเช่นนั้นซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้นแต่ก็ไม่ทั้งหมดครับ เพราะว่าทะเลทรายในบางพื้นที่ก็แทบไม่มีบรรยากาศอย่างที่ผมเขียนไว้ข้างต้นโดยทะเลทรายในบางพื้นที่ก็มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากซึ่งขนาดที่ไม่ใหญ่โตทำให้ถูกดัดแปลงให้เป็นจุดท่องเที่ยว

สำหรับในประเทศเวียดนามก็มีทะเลทรายให้ได้ไปเที่ยวกัน แม้ว่าบรรยากาศของทะเลทรายในเวียดนามจะดูแตกต่างจากทะเลทรายในทวีปแอฟริกาหรือในโซนตะวันออกกลาง แต่ทะเลทรายของเวียดนามก็เป็นจุดท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนกันมากพอสมควร โดยจุดที่ตั้งของทะเลทรายก็อยู่ในเมืองมุยเน่ โดยจะมีทะเลทรายให้ได้ไปชมอยู่ 2 แห่งด้วยกันซึ่งก็คือ ทะเลทรายขาวกับทะเลทรายแดงซึ่งผมได้ไปเที่ยวมาแล้วทั้ง 2 แห่งแต่ในทริปล่าสุดผมไปสำรวจเพียงแค่ทะเลทรายแดงเพียงที่เดียวเท่านั้น

สำหรับทะเลทรายแดงในเมืองมุยเน่ดูแล้วไม่ค่อยสวยงามมากเท่าไหร่และมีพื้นที่เล็กทะเลทรายขาวอยู่พอสมควร แต่ถึงกระนั้นก็เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาชมกันซึ่งไฮไลท์เด่นๆของที่นี่ก็คือ การชมพระอาทิตย์ตกดินในช่วงเวลาเย็นและอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ผมเห็นหลายคนทำกันก็คือ การเล่นสไลเดอร์บนทะเลทรายซึ่งจะมีแผ่นรองซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นกระดาษแข็งๆและพวกแม่ค้าจะนำมาจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว โดยในครั้งล่าสุดที่ผมไปก็ได้กลุ่มนักท่องเที่ยวอยู่ประมาณนึงซึ่งก็มีทั้งคนมาเล่นสไลเดอร์และคนที่มานั่งรอชมพระอาทิตย์ตกดิน


พื้นที่ด้านหน้าทางเข้าจะมีกลุ่มแม่ค้าขายแผ่นรอง
ซึ่งใช้ในการเล่นสไลเดอร์บนทะเลทรายแดง

ทะเลทรายแดงมุยเน่มีขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่มาก
และลักษณะก็ดูเหมือนเป็นแค่เนินทรายมากกว่า

นักท่องเที่ยวส่วนมากมากันเป็นแบบกรุ๊ปทัวร์
ซึ่งจะมีโปรแกรมเที่ยวแบบวันเดย์ทริปเพื่อสำรวจเมืองมุยเน่

การเล่นสไลเดอร์ลงไปยังพื้นที่ด้านล่างเป็นไฮไลท์หลัก
สำหรับการมาเที่ยวที่ทะเลทรายแดงมุยเน่

อีกหนึ่งไฮไลท์เด็ดก็คือ การชมพระอาทิตย์ตกดิน
ในช่วงเวลาเย็นซึ่งมีความสวยงามไม่น้อย


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
26 กุมภาพันธ์ 2568


EP.190 อนุสาวรีย์พระสงฆ์ทิก กว๋าง ดึ๊ก


ประเทศเวียดนามในสมัยยุคอดีตเคยถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ โซนตอนเหนือและโซนตอนใต้ซึ่งทั้ง 2 ฝั่งเคยหยิบอาวุธมาสู้รบห้ำหั่นกันเองในช่วงยุคสงครามเวียดนาม สำหรับเวียดนามใต้ในช่วงยุคทศวรรษที่ 50-60 มีผู้นำที่ชื่อว่า โง ดินห์ เดียม ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของเขามีนโยบายเชิดชูศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและทำการกดขี่ต่อพุทธศาสนาในเวียดนามอยู่มากพอสมควร

เมื่อศาสนาพุทธถูกกดขี่อย่างหนักนั่นจึงทำให้สร้างความเดือดร้อนให้แก่พระภิกษุสงฆ์รวมไปถึงบรรดาชาวพุทธในเวียดนามกันอย่างถ้วนหน้าซึ่งกลุ่มชาวพุทธก็ได้ใช้วิธีโต้ตอบไปถึงรัฐบาลโงดินห์เดียมซึ่งวิธีการโต้ตอบก็เป็นไปอย่างสันติวิธีแต่การกระทำก็ได้สร้างความช็อกให้แก่ผู้คนทั้งที่เป็นชาวเวียดนามรวมไปถึงชาวต่างชาติอีกมากมาย

สำหรับวิธีการตอบโต้นั้นก็มาจากพระสงฆ์รูปหนึ่งที่มีนามว่า ทิก กว๋าง ดึ๊ก ซึ่งท่านเป็นพระสงฆ์ผู้ปฎิบัติดีและได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนเป็นจำนวนมาก โดยวิธีการที่ท่านเลือกกระทำก็คือ การจุดไฟเผาตัวเอง ซึ่งท่านได้กระทำการในพื้นที่กลางกรุงไซ่ง่อนหรือนครโฮจิมินห์ในปัจจุบันซึ่งวันที่ท่านได้ทำการเผาตัวเองประท้วงก็เกิดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ปี 1963

แม้ว่าการกระทำของท่านจะไม่ได้ทำให้รัฐบาลของโงดินห์เดียมเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือหมดจากอำนาจ แต่การเผาตัวเองของท่านในครั้งนี้ก็เป็นการส่งสัญญาณไปทั่วโลกและเป็นการแสดงออกของชาวพุทธที่ไม่ทนต่อการถูกกดขี่ซึ่งการกระทำของท่านก็เป็นไปอย่างสันติวิธีโดยถึงแม้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของท่านจะเป็นการจบชีวิตของตนเองและนำความโศกเศร้าให้แก่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และชาวพุทธทั่วประเทศเวียดนาม แต่ท่านก็มีความตั้งใจอย่างแน่วแน่และต้องการทำนุบำรุงและพิทักษ์ศาสนาพุทธให้อยู่ดำรงไปตลอดกาล

โดยเหตุการณ์ที่พระสงฆ์ทิกกว๋างดึ๊กเผาตัวเองกลางกรุงไซ่ง่อนก็ทำให้เกิดการสร้างอนุสาวรีย์ของท่านซึ่งในปัจจุบันตั้งอยู่ในพื้นที่เขต 3 ของนครโฮจิมินห์ซึ่งรูปปั้นของท่านก็เป็นแบบสัมฤทธิ์โดยลักษณะของรูปปั้นก็เป็นการนั่งสมาธิอยู่บนฐานหินแกรนิตและมีรูปปั้นไฟที่กำลังลุกมอดไหม้ร่างกายของท่านอยู่ซึ่งเป็นรูปปั้นที่ทำมาจากเหตุการณ์จริงที่ท่านทำการเผาตัวเองกลางกรุงไซ่ง่อน

นอกจากนั้นยังมีภาพแกะสลักอยู่บริเวณด้านหลังอนุสาวรีย์ซึ่งจะเป็นภาพจำลองจากเหตุการณ์จริงที่ทั้งพระภิกษุ ภิกษุณีและชาวพุทธยืนล้อมวงดูเหตุการณ์ที่พระสงฆ์ทิกกว๋างดึ๊กทำการเผาตัวเอง ขณะที่บรรยากาศรอบๆอนุสาวรีย์จะจัดเป็นสวนขนาดย่อมๆซึ่งทำให้ผู้เข้าไปเยี่ยมชมรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลาย นอกจากนั้นในแต่ละวันก็มักจะมีชาวเวียดนามหลายคนมากราบสักการะหน้ารูปภาพแกะสลักของพระสงฆ์ทิกกว๋างดึ๊กกันอยู่ตลอด


อนุสาวรีย์พระสงฆ์ทิก กว๋าง ดึ๊ก ตั้งอยู่ในเขต 3
ของนครโฮจิมินห์ในประเทศเวียดนาม

ภาพด้านหลังอนุสาวรีย์จะเป็นภาพที่ท่านทำการเผาตัวเอง
โดยมีพระสงฆ์ ภิกษุณีจำนวนมากยืนรายล้อมอยู่ในเหตุการณ์

อีกฝั่งด้านหนึ่งของถนนจะมีรูปภาพแกะสลักของท่าน
พร้อมจุดให้ผู้คนได้มากราบสักการะ

ป้ายนี้เป็นการบอกปีเกิดรวมไปถึงวันที่ทำการเผาตัวเอง
ของพระสงฆ์ทิกกว๋างดึ๊ก

ในแต่ละวันจะมีชาวเวียดนามมากราบสักการะ
ต่อหน้ารูปภาพแกะสลักของท่านกันพอสมควร


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
10 มีนาคม 2568


EP.192 เนินต้นสนแห่งเมืองบวนมาถวต


การอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่มีผู้คนอยู่มากมายสิ่งที่จะต้องพบเจอและหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ความวุ่นวาย ความเร่งรีบและความจอแจซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่เมืองใหญ่หลายเมืองพยายามจะหาทางแก้ไขซึ่งการย้ายผู้คนออกจากเมืองมันคือเรื่องที่เป็นไปได้ยากโดยสิ่งที่สามารถทำได้ง่ายมากที่สุดนั่นก็คือ การสร้างจุดพักผ่อนหย่อนใจและพื้นที่สีเขียวให้กับเมืองเพื่อให้เป็นสถานที่ที่ผู้คนสามารถมาพักผ่อนและหลีกหนีความวุ่นวายได้

ตอนผมไปเที่ยวที่เมืองบวนมาถวตในประเทศเวียดนามก็พบว่าที่นี่มีความวุ่นวายไม่ต่างจากเมืองใหญ่อื่นๆของเวียดนาม แม้ว่าบวนมาถวตอาจไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาติอื่นๆแต่ที่นี่ก็เป็นเมืองหลวงแห่งกาแฟของเวียดนามซึ่งถือว่ามีชื่อเสียงโด่งดังมากพอสมควร

ผมไปพักอยู่ที่บวนมาถวตอยู่ประมาณ 2 คืนโดยสิ่งที่ทำได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆก็คือการเดินเท้าเพื่อสำรวจเมืองและก็ได้ไปเจอสิ่งที่สะดุดตาซึ่งนั่นก็คือ เนินต้นสน ซึ่งจะมีต้นสนจำนวนมากตั้งเรียงรายเป็นทิวแถวดูสวยงาม แม้ว่าเนินต้นสนในเมืองบวนมาถวตจะไม่ได้ถูกจัดตกแต่งให้เป็นจุดท่องเที่ยว แต่ในปัจจุบันกลับกลายเป็นที่ถูกรู้จักในหมู่คนรุ่นใหม่เพราะที่นี่กลายเป็นจุดที่หนุ่มสาวชาวเวียดนามจะใช้ในการพักผ่อน ถ่ายรูปเช็คอินแล้วอัพลงโซเชียล

นอกจากนั้นบริเวณเนินต้นสนก็มีความเงียบสงบซึ่งแม้ว่าช่วงที่ผมไปตรงบริเวณจะมีการก่อสร้างแต่ก็ยังคงมีความเงียบ นอกจากนั้นก็ยังมีความร่มรื่นจากบรรดาต้นสนจำนวนมากที่คอยให้ร่มเงาแก่ผู้ที่ผ่านเข้ามาซึ่งเนินต้นสนที่บวนมาถวตจะตั้งอยู่ติดกับโบสถ์คริสต์และตั้งอยู่ห่างจากย่านใจกลางเมืองประมาณ 5 กิโลเมตรซึ่งผมใช้วิธีเดินเท้าไปนั่นจึงทำให้ต้องใช้เวลาพอสมควร แต่เมื่อไปถึงก็นับว่าเป็นจุดที่เงียบและเหมาะแก่การปลีกวิเวกเป็นอย่างยิ่ง


เนินต้นสนในเมืองบวนมาถวตจะตั้งอยู่ห่างจาก
จุดใจกลางเมืองประมาณ 5 กิโลเมตร

ผมไปถึงประมาณช่วงบ่าย 3 โมงซึ่งยังมีแดดพอสมควร
แต่ก็ไม่ร้อนจนเกินไปเพราะได้ต้นสนที่คอยให้ร่มเงา

ปัจจุบันกลายเป้นสถานที่ที่พวกวัยรุ่นหนุ่มสาว
มักจะแวะมาพักผ่อนถ่ายรูปรวมไปถึงถ่ายพรีเวดดิ้ง


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
29 มีนาคม 2568


EP.193 ท้องทุ่งนาเมืองคอนตูม


เมืองคอนตูมเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางที่ราบสูงตอนกลางในประเทศเวียดนามโดยเป็นเมืองหลักของจังหวัดคอนตูม สำหรับจังหวัดคอนตูมก็เป็นจังหวัดเดียวของเวียดนามที่มีพรมแดนติดกับประเทศลาวและประเทศกัมพูชา โดยผมได้ไปท่องเที่ยวในเมืองคอนตูมครั้งแรกเมื่อช่วงต้นปีในเดือนมกราคมที่ผ่านมานี่เองซึ่งผมอยู่พักในเมืองคอนตูมมากถึง 11 คืนซึ่งมากกว่าที่อื่นๆตั้งแต่ผมออกเดินทางท่องเที่ยวมาตลอด

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองคอนตูมจะเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ เพราะบรรยากาศและวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่มักจะผูกพันอยู่กับธรรมชาติและการทำเกษตรกรรมโดยวิถีชีวิตดั้งเดิมของผู้คนในเมืองคอนตูมก็คือการทำเกษตรและส่วนมากก็จะยึดอาชีพชาวนาซึ่งในเมืองคอนตูมก็จะมีท้องนาให้เห็นกันอยู่มากมายซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แม้ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่วิถีชีวิตดั้งเดิมของผู้คนที่นี่ก็ยังคงไว้เหมือนเดิม

ผมมีโอกาสปั่นจักรยานออกไปสำรวจเมืองคอนตูมซึ่งผมเน้นในการสำรวจวิถีชีวิตของผู้คนและแน่นอนว่าผมได้ไปพบเห็นกลุ่มผู้คนจำนวนหนึ่งซึ่งกำลังทำนากันอย่างขมักเขม้นซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของพวกเขาซึ่งผูกโยงกับการทำเกษตรกรรม ส่วนการทำนาของผู้คนที่นี่ก็ไม่แตกต่างจากการทำนาในเมืองไทยเท่าไหร่นัก โดยผมได้เก็บภาพบรรยากาศทั้งการทำนาของผู้คนรวมไปถึงภาพท้องทุ่งนาอันเขียวขจีและภาพของภูเขาด้านหลังซึ่งวิถีชีวิตเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เริ่มค่อยๆเลือนหายไปในยุคปัจจุบัน


ผมปั่นจักรยานไปชมท้องทุ่งนาเมืองคอนตูม
และได้เห็นผู้คนกลุ่มหนึ่งกำลังทำนากันอย่างขันแข็ง

ถนนหนทางที่ชาวบ้านใช้สัญจรผ่านท้องทุ่งนา

วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของผู้คนเมืองคอนตูมก็คือ การทำนา
นอกจากนั้นก็ยังมีการทำการเกษตรในด้านอื่นๆ

นอกจากจะเห็นวิวอันเขียวขจีของท้องนาแล้ว
ก็ยังมีวิวของภูเขาด้านหลังอันงดงามอีกด้วย


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
3 เมษายน 2568


EP.196 ตลาดท้องถิ่นเมืองเปลกู


ผมไปเที่ยวเวียดนามแทบทุกปีซึ่งถ้านับตั้งแต่เป็นแบ็คแพคเกอร์มาตั้งแต่ปี 2017 ผมไม่ได้เที่ยวเวียดนามเพียงแค่ในช่วงยุคโควิดคือช่วงปี 2020 และ 2021 เท่านั้นซึ่งการที่ผมไปเวียดนามบ่อยๆนั่นก็เพราะว่าเวียดนามมีเสน่ห์ที่ทำให้ผมประทับใจจนต้องไปเยี่ยมเยือนในทุกๆปี โดยเสน่ห์ดังกล่าวก็คือ ความเป็นท้องถิ่น ซึ่งการจะไปค้นหาความเป็นท้องถิ่นดูบ้านๆก็คือการไปเดินเที่ยวชมตลาดนั่นเอง

สำหรับตลาดที่ผมไปเที่ยวชมในเวียดนาม ผมมักจะชอบไปในเมืองที่ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวซึ่งถึงแม้ว่าในเมืองใหญ่อย่าง ฮานอย / โฮจิมินห์ซิตี้ ไปจนถึงดานังต่างก็มีตลาดไม่ต่างจากเมืองอื่นๆ แต่พวกตลาดในเมืองใหญ่มักจะเป็นตลาดที่เน้นขายสินค้าให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทำให้มนต์เสน่ห์ความเป็นท้องถิ่นหายไปแทบจะหมดสิ้น โดยตลาดท้องถิ่นที่จะเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านก็มักจะอยู่ในเมืองที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว

ผมได้ไปเที่ยวที่เมืองเปลกูซึ่งไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักของเวียดนาม แม้ว่าจะอยู่พักเพียงแค่คืนเดียว แต่ผมก็ยังมีโอกาสได้ไปเดินดูตลาดท้องถิ่นของที่เมืองเปลกูมาเช่นกัน สำหรับตลาดเมืองเปลกูก็ดูไม่ต่างจากตลาดท้องถิ่นในที่อื่นๆของเวียดนาม สินค้าที่ขายก็มีหลากหลายทั้งพวกเนื้อสัตว์ ผักผลไม้ ของที่ใช้ประกอบอาหาร เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย รวมไปถึงสินค้าจิปาถะอื่นๆ

ผมไปเดินเที่ยวชมตลาดเมืองเปลกูตอนช่วงสายๆก็ยังได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่นทั้งพ่อค้าแม่ค้าและกลุ่มลูกค้าซึ่งบรรยากาศการซื้อขายมีความคึกคักอย่างมาก นอกจากนั้นยังได้เห็นพวกเทศกิจที่มาทำการไล่พวกที่ขายของโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตซึ่งก็มีพ่อค้าแม่ค้ากลุ่มหนึ่งได้ทำการขนของเพื่อหนีกลุ่มเทศกิจ ส่วนบรรยากาศส่วนอื่นๆผมว่าก็ไม่ต่างจากตลาดท้องถิ่นของเมืองไทยเท่าไหร่นัก แต่เท่าที่ได้เห็นมาผมว่าพ่อค้าแม่ค้าของที่เมืองเปลกูดูจะมีความเป็นกันเอง แม้พวกเขาจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่เมื่อผมเดินถ่ายวีดีโอไปก็มักจะได้เห็นรอยยิ้มและการทักทายจากพวกเขาอยู่เสมอ


ผมได้ไปเดินเที่ยวชมตลาดท้องถิ่นเมืองเปลกู
เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา

ของที่ขายภายในตลาดมีขายกันหลายอย่าง

โซนขายพวกเนื้อสัตว์จะตั้งอยู่ภายในอาคาร

เป็ดและไก่เป็นๆถูกนำมาจำหน่ายขายให้แก่ลูกค้า
ซึ่งนี่เป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไปตามตลาดท้องถิ่นของเวียดนาม

ผมเดินดูบรรยากาศของตลาดเมืองเปลกูในหลายโซน
ซึ่งได้เห็นเสน่ห์ของความเป็นท้องถิ่นซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบ

ตลาดมีทั้งโซนที่ขายกันด้านนอกรวมถึงโซนที่ขายกัน
ในอาคารซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกเสื้อผ้า


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
26 เมษายน 2568



EP.202 นั่งรถบัสจากโฮจิมินห์ - พนมเปญ


ช่วง 1-2 ปีหลังของการเดินทางท่องเที่ยว ผมแทบจะไม่ได้ใช้บริการเครื่องบินเลยซึ่งผมเน้นความประหยัดในการเดินทางจึงทำให้มักเลือกเดินทางไปกลับด้วยรถบัสโดยสารระหว่างประเทศ โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาผมได้เดินทางกลับจากเวียดนามเพื่อจะกลับมาที่บ้านในเมืองไทยแผ่นดินเกิด แต่การเดินทางด้วยรถบัสจากเวียดนามไม่มีวิ่งตรงมาถึงที่เมืองไทยซึ่งรถบัสจากเวียดนามจะมีวิ่งมาแค่ประเทศกัมพูชาเท่านั้น

ผมเลือกเดินทางจากนครโฮจิมินห์ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนามและมาลงที่จุดหมายปลายทางที่กรุงพนมเปญของประเทศกัมพูชา โดยรถบัสที่วิ่งในเส้นทางนี้ก็มีให้บริการอยู่หลายบริษัทซึ่งในเวลานั้นผมมีเงินไม่มากเท่าไหร่ ทำให้ตัดสินใจเลือกรถบัสของบริษัท Khai Nam (ไคนาม) ซึ่งจากที่ผมเช็คราคามาแล้วก็มีราคาค่าโดยสารถูกที่สุด โดยค่าโดยสารก็อยู่ที่ประมาณ 550,000 ดงหรือตีเป็นเงินไทยก็อยู่ที่ประมาณ 700 กว่าบาท

รถบัสออกเดินทางจากนครโฮจิมินห์ในช่วง 9 โมงเช้าและใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 6-7 ชั่วโมง แต่เมื่อเดินทางจริงๆแล้วก็จะใช้เวลานานกว่าที่กำหนดไว้ครับ เพราะจะมีทั้งตอนที่ผู้โดยสารต้องเปลี่ยนมานั่งรถบัสอีกคัน รวมถึงตอนที่ลงจากรถบัสเพื่อผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองจากด่าน ตม.ของทั้ง 2 ประเทศและยังมีช่วงที่รถบัสแวะจอดให้ผู้โดยสารได้ทานข้าวกลางวันซึ่งราคาก็รวมอยู่ในตั๋วโดยสารอยู่แล้ว ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มโดยกว่าที่รถบัสจะเดินทางไปถึงกรุงพนมเปญก็เป็นช่วงเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว


ผมเดินทางจากนครโฮจิมินห์ในประเทศเวียดนามมาที่
กรุงพนมเปญของประเทศกัมพูชาด้วยรถบัสโดยสาร

ผมใช้บริการรถบัสของบริษัทไคนามซึ่งราคาค่าโดยสาร
ค่อนข้างถูกโดยจะอยู่ประมาณ 700 กว่าบาท

บรรยากาศบนรถบัสซึ่งเป็นรถนอนสไตล์แบบเวียดนาม

หน้าด่านมอคไบของทางเวียดนาม 
ส่วนด่านของกัมพูชาจะชื่อว่า ด่านบาเว็ท

รถบัสเดินทางเข้าสู่กัมพูชาประมาณช่วงบ่ายๆ

ผมเดินทางมาถึงกรุงพนมเปญก็เกือบ 6 โมงเย็น
โดยใช้เวลาเดินทางราวๆ 9 ชั่วโมง


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
12 มิถุนายน 2568

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น