EP.11 สวนสาธารณะย่านฟามงูเหลา
ฟามงูเหลา คือ ถนนสายหนึ่งที่ตั้งอยู่ในกรุงโฮจิมินห์ของประเทศเวียดนาม ถนนย่านนี้จะอยู่ที่แถวเขต 1 ซึ่งจะเป็นย่านที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้ถนนฟามงูเหลาถือว่ามีความคึกคักเต็มไปด้วยร้านอาหาร ผับบาร์ต่างๆและโรงแรมที่ต่างเปิดเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ตอนผมไปเที่ยวโฮจิมินห์ครั้งแรกผมก็มักมาตั้งหลักที่ย่านฟามงูเหลา เพราะเปรียบเสมือนกับ ถนนข้าวสารของเวียดนาม นักท่องเที่ยวต่างชาติก็มักมารวมตัวอยู่กันแถวๆนี้เยอะ
อีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ในย่านฟามงูเหลาก็คือ สวนสาธารณะ โดยเป็นสวนสาธารณะที่พื้นที่อาจไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นจุดรวมของผู้คนไม่ว่าจะเป็นคนเวียดนามเองหรือจะเป็นนักท่องเที่ยว ส่วนกิจกรรมที่จะพบเห็นได้บริเวณสวนสาธารณะในย่านฟามงูเหลา จากเท่าที่ผมไปเดินสำรวจมาก็ไม่ได้แตกต่างจากเมืองไทยมากนักมีทั้งผู้คนมาวิ่งมาเดินออกกำลังกาย รวมทั้งมาเล่นแบดมินตัน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการเตะลูกขนไก่ โดยจะมีพวกพ่อค้าแม่ค้านำมาตั้งขาย การเล่นก็เหมือนเตะตะกร้อโดยจะมีผู้เล่นล้อมวงประมาณ 3-4 คนขึ้นไปโดยมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ผมว่ามันน่าสนใจดีแต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ลองเตะถ้ากลับไปเที่ยวโฮจิมินห์ในโอกาสหน้าผมไม่พลาดแน่นอน
โดยผมได้เก็บบรรยากาศทั้งในช่วงกลางวัน ตอนเย็นและตอนหัวค่ำ ตอนเย็นจะมีผู้คนมาออกกำลังกายเยอะที่สุด ส่วนตอนหัวค่ำจะมีกลุ่มสมาชิกชมรมการต่อสู้ ถ้าเดาดูแล้วน่าจะเป็นพวกกังฟูไม่ก็คาราเต้หรือเทควันโด้อย่างใดอย่างหนึ่งมาฝึกฝนกัน ดูจากหน้าตาของแต่ละคนก็ยังเป็นวัยรุ่นวัยเรียนกันทั้งนั้น แต่การออกกำลังกายทุกอย่างดีหมด ผมเองก็ออกกำลังกายบ้างแต่ไม่บ่อยนัก แต่สวนสาธารณะคือสถานที่ที่ผมชอบไปพอสมควรอย่างน้อยไม่ได้ไปออกกำลังกายก็ออกไปนั่งชมบรรยากาศต่างๆดูผู้คนทำกิจกรรมกันก็สร้างความเพลิดเพลินได้ไม่น้อย สวนสาธารณะย่านฟามงูเหลาจึงเหมือนกับจุดนัดพบของชาวเมืองโฮจิมินห์ที่หลงรักในการเล่นกีฬาหรือจะมานั่งคุยกันชมวิถีชีวิตของผู้คนก็เพลินพอสมควรเลยทีเดียว
คนเวียดนามมาออกกำลังกายกันที่
สวนสาธาณะย่านฟามงูเหลา
ตีแบดมินตัน เตะลูกขนไก่ เสียดายที่ผมไม่ได้มีโอกาสลอง อีกมุมนึงของสวนสาธารณะ มีเก้าอี้ให้นั่งพอสมควร ต้นไม้ใหญ่ที่คอยให้ร่มเงา มีบึงน้ำตั้งอยู่กลางสวนสาธารณะ กลุ่มผู้หญิงที่เข้ามาออกกำลังกาย มีเครื่องออกกำลังกายมากมาย ช่วงหัวค่ำได้เห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่น มาทำกิจกรรมกันดูแล้วเหมือนเป็นฝึกวิชาการต่อสู้
มีหลากหลายวัยและดูมีความพร้อมเพรียงกัน พอสมควรเลยทีเดียว
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
20 กุมภาพันธ์ 2564
EP.12 เฝอประธานาธิบดี
คำว่า เฝอประธานาธิบดี ที่ผมได้จั่วหัวเอาไว้ไม่ใช่เป็นชื่อชนิดของเฝอที่เป็นอาหารประจำชาติของประเทศเวียดนาม แต่เป็นชื่อร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงโฮจิมินห์ของเวียดนามซึ่งมีเมนูหลักก็คือ เฝอ โดยตามชื่อภาษาอังกฤษจะมีชื่อว่า PHO2000 ซึ่งที่มาของการตั้งชื่อร้านแบบนี้ก็มาจากการที่ในยุคปี 2000 ในเวลานั้นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคือ บิล คลินตันได้มาเยือนประเทศเวียดนาม โดยนอกจากจะมาเข้าพบกับประธานาธิบดีของเวียดนามแล้ว บิล คลินตันยังถือโอกาสไปชิมรสชาติอาหารสไตล์เวียดนามแท้ๆอย่าง เฝอ อีกด้วย ซึ่งร้านที่นายคลินตันเข้าไปนั้นก็คือร้านเฝอที่ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนแถวๆตลาดเบนถั่น นับตั้งแต่นั้นมาร้านแห่งนี้จึงกลายเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เพราะการที่มีคนระดับประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเคยเข้ามารับประทานอาหารย่อมทำให้ชื่อเสียงของร้านโด่งดังกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
ส่วนบรรยากาศในร้านผมว่าค่อนข้างธรรมดาไม่ได้มีการตกแต่งขายไอเดียอะไรมากเป็นพิเศษ นอกจากจะนำรูปที่นายบิล คลินตันเคยเข้ามานั่งทานเฝอเมื่อปี 2000 มาติดโชว์ ขณะที่ตัวร้านก็ตั้งอยู่บริเวณด้านบนชั้น 2 เพราะด้านล่างเป็นพื้นที่ของร้านกาแฟ ลักษณะภายในก็ดูแคบลงถนัดตาเนื่องจากในแต่ละวันจะมีลูกค้าเข้ามารับประทานอาหารเป็นจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่เท่าที่ผมมองดูจากสายตาก็จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถือโอกาสมาเที่ยวยังกรุงโฮจิมินห์ก็ต้องแวะมาทานเฝอที่ร้าน PHO2000 ขณะที่เมนูก็มีไม่มากหลักๆก็จะเป็นเฝอเนื้อ เฝอไก่ และก็มีปอเปี๊ยะทอดไว้คอยบริการให้แก่ลูกค้า ส่วนรสชาติผมว่าค่อนข้างธรรมดาเอาจริงๆพวกร้านอื่นๆที่อร่อยกว่ายังมีอีกมากมายนักอีกทั้งราคาของเมนูเฝอที่นี่ก็จะแพงกว่าที่อื่นอย่างที่ผมไปสั่งผมเลือกทานเฝอเนื้อชามนึงก็ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่า 120 บาทเข้าไปแล้วซึ่งผมเองก็ไม่ได้แปลกใจนัก เพราะว่าร้าน PHO2000 เน้นขายชื่อเสียงของร้านมากกว่าเรื่องของบรรยากาศรวมถึงรสชาติ อาจจะพูดได้ว่าเป็นร้านที่โอเวอร์เรทเกินจริงก็คงจะว่าได้
ร้าน PHO2000 ตั้งอยู่หัวมุมถนนใกล้ๆตลาดเบนถั่น เข้ามาแล้วต้องเดินขึ้นไปชั้นที่ 2 เพราะ ชั้นล่างเป็นร้านกาแฟ
เมนูยอดฮิตของทางร้านก็คือ เฝอเนื้อ พนักงานมีหลายคน ขณะเดียวกันลูกค้าก็เข้ามาอย่าง
ต่อเนื่องแบบไม่ขาดสาย
ลูกค้าส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ โดยกลุ่มทัวร์จีนจะเยอะมากเป็นพิเศษ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
23 กุมภาพันธ์ 2564
EP.18 ประติมากรรมริมแม่น้ำหาน
ประติมากรรม คือ งานศิลปะแขนงหนึ่งที่เกี่ยวกับ การปั้น การแกะสลัก หลายคนมีความชื่นชอบและสนใจในงานศิลป์ด้านนี้ ทำให้มีผู้ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปะติมากรรมอย่างมากมายบนโลกใบนี้ ส่วนตัวผมนั้นแทบไม่มีความรู้ในเรื่องศิลปะไม่ว่าจะเป็นงานเขียน การวาดหรือการปั้นแกะสลักต่างๆ แต่ผมกลับชอบที่จะไปชมงานเหล่านี้ทั้งตามนิทรรศการต่างๆที่จัดแสดงในอาคารหรือจะเป็นงานศิลป์ที่หาพบได้ทั่วไปตามข้างถนนที่เรียกกันแบบรวมๆว่า สตรีทอาร์ต เพราะเมื่อได้ชมงานศิลปะผมมีความเชื่อลึกๆว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้อารมณ์เย็นและสงบลง แม้จะอยู่ในความเครียดแค้นอารมณ์โกรธจากไหนมาแต่เมื่ได้มองมามาเห็นมาสัมผัส ความรู้สึกต่างๆก็จะดูสดชื่นขึ้นอารมณ์โมโหก็จะหายไปเอง
สำหรับงานประติมากรรม ปกติแล้วสามารถชมกันได้ทุกที่ทั่วโลกในเมืองไทยก็มีให้เห็นมากมายตามสถานที่ต่างๆง่ายสุดคือ การเดินเข้าวัดก็จะสามารถพบเห็นพวกงานประติมากรรมได้เป็นจำนวนมาก ส่วนที่ประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนของไทยที่เวียดนามก็มีงานประติมากรรมให้ได้ชมเช่นกัน แถมงานพวกนี้ตั้งอยู่ริมถนนสามารถชมกันได้ตลอด 24 ชั่วโมงแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะสถานที่ตั้งของประติมากรรมพวกนี้อยู่ริมแม่น้ำหานในเมืองดานังซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของเวียดนาม โดยจุดของแม่น้ำหานจะมีความสวยงามอย่างมากเมื่อถึงตอนกลางคืน เพราะจะมีการเปิดไฟสร้างสีสันเห็นสะพานมังกรพ่นน้ำได้อย่างชัดเจน หลายคนที่มาเที่ยวดานังจึงมักไม่พลาดที่จะมาถ่ายรูปและชมบรรยากาศของสะพานมังกรบริเวณริมแม่น้ำหานในบรรยากาศช่วงเวลายามค่ำคืน
แตถ้าหากมาเดินในตอนกลางวันที่อากาศร้อน ผมต้องบอกไว้ก่อนเลยว่ากลางคืนนั้นสวยกว่าเยอะ ส่วนกลางวันนั้นบรรยากาศดูธรรมดาเอามากๆ แต่ถ้าใครอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศการมาเดินตอนกลางวันก็มีสิ่งน่าสนใจเช่นกันอย่าง งานประติมากรรมซึ่งมีรูปปั้นในลักษณะต่างๆมากมายหลายรูปและเห็นได้ชัดเจนได้มากกว่าเวลากลางคืน งานประติมากรรมเหล่านี้ผมเองก็ไม่ทราบข้อมูลว่าใครเป็นคนสร้าง แต่เมื่อมีการนำมาวางไว้บริเวณทางเดินริมแม่น้ำหานก็ดันกลายเป็นหนึ่งในจุดเช็คอินแห่งใหม่และเป็นจุดที่น่าสนใจของเมืองดานังเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแห่ง ซึ่งรูปปั้นเหล่านี้ก็มีในลักษณะหลายท่าทางเป็นการบ่งบอกถึงความหมายที่รูปปั้นรูปนั้นสื่อออกมา ผมใช้เวลาไม่นานนักในการเดินชม ส่วนหนึ่งเพราะอากาศค่อนข้างร้อนและอบอ้าวทำให้การเดินชมอาจเป็นไปแบบรีบๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า รูปปั้นต่างๆที่ตั้งอยู่บริเวณแม่น้ำหานนั้นมีความสวยงามและบ่งบอกถึงฝีมือของผู้สร้างได้เป็นอย่างดีว่าน่าจะเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านงานประติมากรรมค่อนข้างสูงเลยทีเดียว
มีรูปปั้นในลักษณะท่าทางต่างๆ รูปปั้นผู้หญิงดูแล้วมีความงดงามไม่น้อย รูปนก ดูแล้วอาจจะเป็นอินทรี รูปปั้นต่างๆบ่งบอกความหมายในตัวได้เป็นอย่างดี แต่ผมถ่ายรูปมาไม่หมด เพราะรีบเดินเนื่องจากอากาศร้อน
บรรยากาศสะพานมังกรและแม่น้ำหาน ในช่วงเวลากลางวัน
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
21 มีนาคม 2564
EP.20 บรรยากาศเมืองหวุงเต่า
หากไปถามชาวเมืองโฮจิมินห์ในประเทศเวียดนามว่า สถานที่พักผ่อนหย่อนใจในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ของพวกคุณคือที่ใด คำตอบที่ออกมาก็คงจะคล้ายๆกันนั่นก็คือ เมืองหวุงเต่า ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ห่างจากกรุงโฮจิมินห์ไม่ไกลนักการเดินทางสามารถไปได้ทั้งทางรถและทางเรือ แต่ถ้าหากต้องการความสะดวกรวดเร็วและความสบายการเดินทางด้วยเรือโดยสารถือว่าเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์อย่างมาก สำหรับการเดินทางด้วยเรือจากท่าเรือในกรุงโฮจิมินห์ไปที่เมืองหวุงเต่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 2 ชั่วโมง ซึ่งสิ่งที่แตกต่างจากการนั่งรถโดยสารก็คือไม่ต้องปวดหัวกับเสียงแตรบนท้องถนน ส่วนบรรยากาศระหว่างทางผมว่าไม่ค่อยสวยเท่าไหร่แม้ว่าผมจะพยายามกวาดสายตามองหามุมสวยๆแต่กลับพบว่าไม่มีเลย ดังนั้นผมจึงหวังว่าบรรยากาศที่เมืองหวุงเต่าอาจจะสวยก็ได้ซึ่งเมื่อมาถึงที่ก็ไม่มีผิดหวังเพราะบรรยากาศของที่หวุงเต่านั้นค่อนข้างโอเคเลยทีเดียว
เมื่อเดินทางมาถึงท่าเรือหวุงเต่าก็จะเจอรูปอนุสาวรีย์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองและพอขึ้นไปที่ฝั่งก็จะเจอพวกแท็กซี่และมอเตอร์ไซค์คอยดักถามหาลูกค้า ผมพยายามที่จะปฏิเสธไปเรื่อยๆแต่ก็มีแอบๆถามราคาดูบ้างเพราะบางทีเผื่อเดินไปเกิดหลงขึ้นมาอย่างน้อยถ้าราคาค่าโดยสารไปยังที่พักไม่แพงนักก็อาจจะมาใช้บริการรถรับจ้างพวกนี้ได้ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจนั่งมอเตอร์ไซค์ไปที่พักเนื่องจากเพราะสัมภาระที่เยอะและแดดที่ร้อนจัดของเมืองหวุงเต่า พอถึงที่พักและเก็บของเสร็จก็ออกมาเดินสำรวจเมือง ผมพักที่หวุงเต่าประมาณ 2 คืนเท่านั้นแต่กลับพบว่าตนเองชื่นชอบเมืองนี้พอสมควร ส่วนหนึ่งเพราะที่หวงเต่าเป็นเมืองชายทะเล แม้ว่าทะเลจะไม่สวยเหมือนที่เมืองไทยแต่บรรยากาศถือว่าค่อนข้างดีที่สำคัญไม่มีการมาวางเตียงผ้าใบให้เกะกะรกทางเดินและอีกอย่างคือ เสียงแตรที่เคยได้ยินจนชินในเวียดนามนั้นไม่ค่อยที่จะมีมากนักที่หวุงเต่า สาเหตุก็คงเพราะว่าการจราจรที่นี่ไม่แออัดจอแจเหมือนที่เมืองอื่นๆการบีบแตรจึงไม่ได้ยินตลอดเวลาเหมือนเมืองใหญ่ๆของเวียดนาม
สำหรับบรรยากาศของที่เมืองหวุงเต่าไฮไลท์หลักๆก็คือชายทะเลและผมพบว่าช่วงเย็นจะมีชาวเมืองคนท้องถิ่นออกมาเล่นน้ำทะเลกันเต็มไปหมด ทำให้บรรยากาศดูคึกคักอย่างมาก ส่วนสถานที่เที่ยวอื่นๆก็มีการนั่งกระเช้าลอยฟ้าข้ามทะเลซึ่งคล้ายๆกับที่เมืองญาจาง รวมทั้งยังมีจุดที่เป็นรูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่ซึ่งเมื่อเดินขึ้นไปยังด้านบนสุดก็จะเห็นวิวของเมืองหวุงเต่าได้แบบ 360 องศา นอกจากนั้นก็จะมีทั้งในส่วนของวัดสไตล์เวียดนามให้ได้เข้าชม ส่วนเรื่องของที่พักและร้านอาหารก็มีให้เลือกมากมาย เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยวและส่วนหนึ่งเอาไว้รองรับคนที่เดินทางมาจากกรุงโฮจิมินห์ การบริการต่างๆจึงมีอยู่แบบครบวงจรซึ่งถ้าจะให้เปรียบเปรยแบบง่ายๆกับเมืองไทย ถ้าหากโฮจิมินห์คือกรุงเทพฯ หวุงเต่าก็คล้ายๆกับพัทยา เพราะเดินทางไม่ไกลนักและเป็นเมืองชายทะเลเหมือนกัน นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะคนท้องถิ่นก็จะมาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์กันเยอะมาก แต่สิ่งที่อาจจะดูแตกต่างจากพัทยาก็คงเป็นที่ความเงียบสงบเหมาะแก่การมาพักผ่อนอย่างแท้จริง
นั่งเรือจากโฮจิมินห์มาหวุงเต่า แต่บรรยากาศระหว่างทางไม่ค่อยสวยเท่าไหร่
สัญลักษณ์ประจำเมืองหวุงเต่า ป้ายด้านหน้าเป็นคำเตือนเกี่ยวกับเรื่องหอยนางรม
ผู้ใหญ่พาเด็กมาวิ่งเล่นบริเวณลานกว้าง มีชาวเวียดนามมากราบไหว้และทำบุญ บรรยากาศช่วงสายๆบริเวณริมทะเล ชาวประมงช่วยกันคัดแยกปลาที่จับมาได้ อาชีพหลักของชาวเมืองหวุงเต่าคือ การทำประมง
ร้านอาหารสไตล์ท้องถิ่นที่หวุงเต่าโดยเฉพาะเรื่องการสื่อสาร
กันค่อนข้างเยอะ
กลุ่มผู้หญิงมารวมตัวกันเต้นดูแล้วก็เพลินดีเหมือนกัน
สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่ง
รูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่
มีรูปปั้นเกี่ยวกับทางศาสนาคริสต์
รูปปั้นระหว่างทางที่เดินขึ้นไป
เดินถึงด้านบนสุดก็เจอบรรยากาศแบบนี้
มองเห็นวิวสวยๆของทะเลที่หวุงเต่า
ภาพนี้ได้คุยกับสาวเวียดนามที่มาเที่ยวเหมือนกันเธอบอกว่าคล้ายๆกับพัทยา
เดินกลับจากชมรูปปั้นพระเยซูเสร็จ ระหว่างทางแดดร้อนมากเพราะเป็นช่วงเที่ยง
มีกระเช้าลอยฟ้าข้ามทะเลให้บริการ เหมือนกับที่เมืองญาจาง
ชายทะเลหวุงเต่าในช่วงเย็น มีชาวเมืองมาเล่นน้ำกันเยอะมาก
มีเรือประมงจอดกันเรียงราย เดินทางกลับลาก่อนหวุงเต่า มีโอกาสจะกลับไปเที่ยวอีกแน่นอน
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
28 มีนาคม 2564
EP.21 ทะเลทรายแห่งเวียดนาม
ถ้าหากพูดถึงคำว่า ทะเลทราย ผมเชื่อว่าหลายๆท่านน่าจะนึกไปถึงพื้นที่อันแห้งแล้งดูเวิ้งว้างเต็มไปด้วยผืนทะเลทรายท่ามกลางแสงแดดของดวงอาทิตย์ที่ร้อนระอุโดยจะนึกไปถึงว่า ดินแดนของทะเลทราย จะต้องอยู่ในย่านตะวันออกกลางหรือไม่ก็ทางทวีปแอฟริกาตอนเหนือซึ่งก็ถือว่าเป็นความคิดที่ถูกเพราะในย่านตะวันออกกลางหรือแอฟริกาตอนเหนืออย่าง อียิปต์ แอลจีเรียหรือโมร็อคโกก็มีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นทะเลทราย แต่ถ้าหากบอกว่าทะเลทรายที่อยู่ใกล้ๆบ้านเราหลายๆคนก็อาจจะคาดไม่ถึงหรือนึกไม่ออกว่ามันอยู่ที่ใดกันแน่ โดยทะเลทรายที่อยู่ใกล้ๆกับเมืองไทยนั้นต้องบอกเลยว่ามีอยู่จริงและอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนของไทยอย่าง เวียดนาม โดยทะเลทรายจะตั้งอยู่ในเมืองฟานเที้ยตซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโฮจิมินห์ไปประมาณ 200 กิโลเมตร แต่ในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเรียกกันว่า มุยเน่ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ชื่อเมืองแต่มาจากชื่อของผืนแผ่นดินที่ยื่นลงไปในทะเล แต่ไปๆมาๆชื่อมุยเน่กลายเป็นชื่อเรียกของตัวเมืองซะอย่างนั้น ทำให้ถูกเรียกกันมาอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน
สำหรับทะเลทรายที่มุยเน่จะมีอยู่ 2 ที่นั่นก็คือ ทะเลทรายแดง กับทะเลทรายขาว สำหรับการไปเที่ยวชมทะเลทรายก็สามารถเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่ไปเที่ยวเองหรือจะเป็นวิธียอดนิยมอย่างการนั่งรถจิ๊บเป็นกลุ่มโดยจะเป็นการเที่ยวแบบครึ่งวัน จริงๆแล้วตอนที่ผมไปมุยเน่ผมเช่ามอเตอร์ไซค์จากที่พักกะจะขี่ไปเที่ยวด้วยตนเอง แต่กลับเกิดอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ล้มจนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งจริงๆผมจะยกเลิกแผนการเที่ยวทั้งหมดแล้วแต่คิดว่าไหนๆก็มาแล้วก็ตัดสินใจซื้อทัวร์โดยการนั่งรถจิ๊บไปแบบครึ่งวัน สำหรับทั้ง 2 ทะเลทรายค่อนข้างมีความแตกต่างทะเลทรายแดงจะมีเอกลักษณ์คือเม็ดทรายที่เป็นสีแดงโดยเกิดจากสนิมเหล็ก แต่โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าไม่ค่อยสวยเท่าไหร่และดูเป็นทรายแบบหยาบๆ ส่วนทะเลทรายขาวนั้นอันนี้ถือว่าสวยงามกกว่าและไฮไลท์เด่นก็คือเวลามาชมในตอนพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าหรือพระอาทิตย์ตกดินจะได้เห็นแสงจากดวงอาทิตย์ตัดสะท้อนกับผืนทะเลทรายซึ่งมีความสวยงามอย่างมากหลายๆคนที่ได้เห็นก็มักไม่พลาดที่จะหยิบทั้งมือถือและกล้องถ่ายรูปมาถ่ายภาพบรรยากาศของแสงจากดวงอาทิตย์ที่ตัดสะท้อนกับผืนทะเลทราย
ส่วนกิจกรรมอื่นๆที่มีในขณะที่เที่ยวชมทะเลทรายทั้ง 2 แห่งก็คือ การนั่งรถเอทีวีตะลุยผืนทรายแต่เท่าที่ผมสังเกตุราคามาแล้วถือว่าค่อนข้างแพงเอาเรื่องกับการได้ลองขี่หรือนั่งรถเอทีวีซึ่งไม่ถึง 30 นาทีด้วยซ้ำและอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตคือการเล่นสไลเดอร์โดยจะมีพวกแม่ค้านำสไลเดอร์มาขายให้แก่นักท่องเที่ยวอันนี้ราคาไม่แพงมากเล่นได้หลายรอบ โดยความสนุกจะอยู่ที่การนั่งแผ่นรองสไลเดอร์จากที่สูงและปล่อยตัวลงมายังด้านล่าง แต่ทั้ง 2 กิจกรรมผมไม่ได้ลองเพราะอย่างที่ทราบกันคือได้รับบาดเจ็บก่อนที่จะมาเที่ยวทะเลทราย 1 วัน จึงได้แต่มองคนอื่นเล่นกันไป และสำหรับใครที่ซื้อทัวร์รถจิ๊บมาเที่ยวทะเลทรายที่มุยเน่แบบผมนอกจากจะได้มาชมทะเลทรายทั้ง 2 แห่งแล้วยังได้ไปเที่ยวหมู่บ้านชาวประมงเพราะที่มุยเน่นั้นชาวบ้านส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพชาวประมงและอีก 1 สถานที่ที่ได้ไปคือ แฟรี่สตรีมหรือลำธารสายเล็กๆที่มีชั้นหินและชั้นทรายสวยงามโดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินลุยผ่านลำธารแห่งนี้ได้ แต่สถานที่ทั้งหมดผมก็ได้เพียงแต่ยืนมองหรือนั่งดูเท่านั้น ช่างน่าเสียดายจริงๆที่มาบาดเจ็บเสียก่อน ยังไงเสียโอกาสก็ยังมีเสมอผมก็หวังว่าหากเปิดประเทศอีกครั้งก็จะกลับไปเที่ยวชมความงามของทะเลทรายที่มุยเน่อีกรอบให้จงได้
ทะเลทรายแห่งเวียดนาม
ทะเลทรายขาว วันที่ผมไปมีนักท่องเที่ยว
มาเที่ยวกันพอสมควร
เม็ดทรายที่ทะเลทรายแดง
ไม่ค่อยสวยเท่ากับที่ทะเลทรายขาว
บรรยากาศรอบๆของทะเลทรายแดง
กิจกรรมที่มีให้ทำหนึ่งในนั้นก็คือ
นั่งแผ่นรองสไลเดอร์
หรือจะเป็นการนั่งรถเอทีวีตะลุยทะเลทราย แต่ราคาค่อนข้างแพงเอาเรื่อง
ทะเลทรายขาวในช่วงยามบ่าย
รูปเงาที่เห็นคือ ผมเอง
บรรยากาศด้านหน้าของทะเลทรายขาว
หากซื้อทัวร์มาเที่ยวเหมือนอย่างผม
ท่านจะได้ชมบรรยากาศของหมู่บ้านชาวประมงด้วย
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
31 มีนาคม 2564
EP.25 พิพิธภัณฑ์สงครามกรุงโฮจิมินห์
สงครามมีแต่ความสูญเสีย สงครามสร้างความความเสียหายทั้งทางร่างกายและทางจิตใจไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้ชนะหรือฝ่ายผู้แพ้ ผมเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการเรียนรู้ในด้านประวัติศาสตรซึ่งเหตุการณ์จากในอดีตนั้นเรื่องของสงครามเป็นสิ่งที่จะสามารถได้ยินและได้รับฟังมาบ่อยครั้ง ในอดีตจะมีสงครามใหญ่ๆก็อย่างเช่นสงครามโลกครั้งที่ 2 และครั้งที่ 2 และยังมีสงครามยิบย่อยอีกเป็นจำนวนมาก โดยสงครามในอดีตที่เป็นสมรภูมิที่น่าจะคุ้นเคยสำหรับชาวไทยเป็นอย่างดีก็คงหนีไม่พ้น สงครามเวียดนาม ซึ่งเป็นสงครามที่เกิดขึ้นในย่านอาเซียนโดยจะเป็นในยุคของสงครามเย็นระหว่างฝ่ายโลกเสรีประชาธิปไตยที่นำโดยสหรัฐอเมริกา กับ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งนำโดยสหภาพโซเวียต สงครามเย็นก็จะเปรียบเสมือนสงครามตัวแทนทั้งฝ่ายอเมริกาและโซเวียตจะไม่ปะทะหรือเข้ารบกันเอง แต่จะอยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุนชาติตัวแทนของตนเองเสียมากกว่า
สงครามเวียดนามก็คือสงครามตัวแทนเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็น โดยจะเป็นการรบระหว่างฝ่ายเวียดนามด้วยกันเอง โดยจะมีการแบ่งฝ่ายคือ ฝ่ายเวียดนามเหนือหรือเวียดกงจะมีสหภาพโซเวียตคอยสนับสนุน ขณะที่อีกฝ่ายเวียดนามใต้ซึ่งจะมีสหรัฐอเมริกาคอยสนับสนุน ซึ่งสุดท้ายผลการรบคือฝ่ายเวียดนามเหนือเป็นฝ่ายชนะและทำให้โลกรู้ว่าอเมริกาต้องมาพ่ายแพ้การต่อสู้แบบกองโจร โดยหลังจากสงครามก็สร้างความเสียหายอย่างหนักแก่ประเทศเวียดนามส่งผลทั้งด้านร่างกายและทางด้านจิตใจซึ่งมันเป็นเรื่องที่สร้างบาดแผลในใจแก่ชาวเวียดนามหลายคน ทำให้ปัจจุบันคนเวียดนามจึงเลือกที่จะเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีขึ้นซึ่งจะไปในทางสร้างสรรค์และร่วมมือกันในการพัฒนาชาติ
ขณะเรื่องราวของสงครามเวียดนามก็ได้ถูกบันทึกในความทรงจำแต่สิ่งที่จะสะท้อนออกมาได้ดีนั่นก็คือการสร้างพิพิํธภัณฑ์เกี่ยวกับสงครามขึ้นมาซึ่งในกรุงโฮจิมินห์ได้มีพิพิธภัณฑ์ที่สะท้อนเรื่องราวของยุคสงครามเวียดนามและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกซึ่งจะเดินทางมาเข้าชมในแต่ละวันอย่างไม่ขาดสาย โดยในส่วนของพิพิธภัณฑ์ก็จะจัดแสดงเรื่องราวของสงครามเวียดนามอย่างละเอียดมีข้อมูลที่ครบถ้วน รวมถึงยังมีภาพเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นสมัยสงคราม ภาพความโหดร้ายที่ชาวเวียดนามต้องเจอทั้งการถูกทำร้ายร่างกายและการถูกฆ่า รวมถึงผลกระทบของสงครามที่ส่งผลมาถึงตัวพวกเขาในยุคปัจจุบันบางคนตาบอดมองไม่เห็น บางคนพิการแขนขา บางคนก็ได้รับบาดเจ็บจากระเบิดจนกลายเป็นผู้พิการซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นบาดแผลทางร่างกายและจิตใจแก่ชาวเวียดนามที่อยู่ในช่วงสงครามอย่างมาก
ผมใช้เวลาเดินชมพิพิธภัณฑ์สงครามอยู่ประมาณเกือบ 2 ชั่วโมงได้เห็นทั้งอาวุธที่ใช้กันจริงๆในช่วงสงครามเวียดนาม ยานพาหนะต่างๆทั้งเฮลิคอปเตอร์และรถถัง รวมถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามแต่ที่น่าหดหู่ที่สุดก็คงเป็นภาพของชาวเวียดนามโดยเฉพาะกลุ่มของฝ่ายเวียดนามเหนือที่หลายคนถูกฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหดบางคนถูกทรมานทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส บางรายก็เป็นเด็กเล็กแต่ก็ถูกกระทำอย่างทารุณ ภาพเหตุการณ์พวกนี้ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่รู้สึกหดหู่ใจแต่ผมลองสังเกตุนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาชมหลายๆคนเมื่อมองภาพพวกนี้ก็มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักและน่าจะรู้สึกหดหู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งจากเหตุการณ์ในอดีตที่ชาวเวียดนามต้องเผชิญกับภาพวะของสงครามมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในยุคปัจจุบันชาวเวียดนามต่างก็มีความมุ่งมั่นและความขยันจากที่ผมได้สังเกตุมาพวกเขาเลือกที่จะเรียนรู้เรื่องราวในอดีตและพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกและมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาประเทศชาติสู่ความเจริญไม่ว่าจะเป็นในปัจจุบันหรืออนาคต
พิพิธภัณฑ์สงครามกรุงโฮจิมินห์
ภาพเหตุการณ์ในยุคสงครามเวียดนาม พร้อมคำอธิบายทั้งภาษาเวียดนามและภาษาอังกฤษ
ภาพเหตุการณ์การทิ้งระเบิด จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก
ภาพประเทศที่สนับสนุนฝ่ายเวียดนามเหนือ ภาพนี้เป็นประเทศคิวบาที่มีผู้นำอย่างฟิเดล คาสโตร
ภาพเชลยศึกฝ่ายเวียดนามเหนือ ถูกฝ่ายทหารอเมริกันจับกุมตัว
ทหารอเมริกันถือซากศพของเชลยศึกฝ่ายเวียดนามเหนือ
ทหารอเมริกันโจมตีกองกำลังของเวียดนามเหนือ มีการเผาทำลายข้าวของจนพินาศ
ภาพประวัติศาสตร์เด็กหญิงวัย 9 ขวบ ในสภาพเปลือยกายกำลังร้องไห้หนีภัยสงคราม
อาวุธปืนที่ใช้ในสงครามเวียดนาม
อาวุธปืนที่ใช้ในสงคราม
ภาพศพของเชลยศึกที่ถูกหั่นตัดตอน
ถูกทิ้งอยู่บนเรือ
ภาพของเชลยศึกที่เสียชีวิต ดูทีไรก็หดหูุ่ใจ
ทหารฝ่ายเวียดนามใต้จับตัว
เชลยศึกฝ่ายเวียดนามเหนือและกำลังจะฆ่าทิ้ง
เฮลิคอปเตอร์หนึ่งในยานพาหนะ ที่ใช้ในสงครามเวียดนาม
เฮลิคอปเตอร์ตั้งอยู่โซนด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์
รถถังหนึ่งในยานพาหนะที่มีอานุภาพ
การโจมตีค่อนข้างรุนแรง
รถถังที่เคยถูกใช้ในสงครามเวียดนาม
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
14 เมษายน 2564
EP.29 โฮสเทลยอดนิยมแห่งเมืองดานัง
การเดินทางท่องเที่ยวในต่างแดนของผมนั้น ผมจะมีปณิธานตั้งไว้เสมอว่า พยายามกินง่ายอยู่ให้ง่ายทำตัวกลมกลืนกับคนท้องถิ่นและซึมซับวัฒนธรรมของแต่ละชาติให้ได้มากที่สุดซึ่งการตั้งเป้าหมายแบบนี้ก็ทำให้ผมสามารถประหยัดงบประมาณและเซฟเงินค่าใช้จ่ายในแต่ละทริปได้พอสมควร โดยเฉพาะในเรื่องของการหาที่พักซึ่งปกติเวลาผมไปเที่ยวต่างประเทศผมก็มักไปคนเดียว ดังนั้นการจะเลือกที่หลับที่นอนในแต่ละคืนผมจึงไม่เน้นความหรูหราอลังการในราคาหลักพันอัพขึ้น แต่จะเน้นในราคาที่ไม่เกิน 500 บาทต่อคืนซึ่งช่วงแรกๆผมก็คิดว่าคงน่าจะเป็นโรงแรมหรือเกสต์เฮาส์ราคาถูกๆนี่แหละ แต่การได้ออกได้เดินทางไปยังต่างประเทศทำให้ผมได้มารู้จักกับที่พักในสไตล์แบบประหยัดที่เขานิยมเรียกกันว่า โฮสเทล
โฮสเทล ก็คือที่พักยอดนิยมของบรรดาชาวแบ็คแพ็คเกอร์ โดยที่พักประเภทนี้มีจุดเริ่มต้นจากประเทศเยอรมันที่มีไอเดียทำที่พักเพื่อรองรับพวกบรรดานักเดินทางที่รอนแรมมาไกล ส่วนปัจจุบันโฮสเทลกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายซึ่งคนที่จะมาพักก็มักจะเป็นนักท่องเที่ยวจากฝั่งตะวันตกอย่างพวกฝรั่งหัวทอง แต่ปัจจุบันก็มีนักท่องเที่ยวจากโซนอื่นๆมาพักมากยิ่งขึ้นอย่างเช่นคนเอเชียหัวดำอย่างเราๆและนักท่องเที่ยวกลุ่มที่มาพักก็มักจะเป็นคนที่แบกเป้เที่ยวเป็นส่วนใหญ่และที่พักประเภทนี้มักมีราคาถูกแต่จะต้องแชร์หรือนอนรวมกับผู้อื่นที่เราไม่รู้จัก โดยตอนที่ผมไปเที่ยวที่เมืองดานังซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของประเทศเวียดนาม ผมก็มองหาที่พักประเภทโฮสเทลไว้ก่อนเนื่องจากต้องการประหยัดงบไว้ใช้จ่ายในส่วนอื่น แต่ด้วยความเป็นเมืองท่องเที่ยวทำให้ราคาที่พักของเมืองนี้จะสูงอยู่พอสมควร ผมเองก็ไม่ได้จองที่พักเอาไว้เรียกได้ว่าเจอที่ไหนก็กะจะวอล์คอินเข้าไปถามเลย สุดท้ายก็มาเจอกับโฮสเทลที่มีชื่อว่า The Vietnam Hostel (เดอะเวียดนามโฮสเทล) ซึ่งทำเลที่ตั้งถือว่าดีมากๆเพราะอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำหานซึ่งจะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูปและเช็คอินกัน เรียกได้ว่าเดินออกมาไม่กี่ก้าวก็จะเจอแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองดานังพอดิบพอดี
ผมวอล์คอินเข้าไปถามพนักงานก็ได้คำตอบว่าสามารถเข้าพักได้เลย เพราะปกติโฮสเทลมักจะว่างอยู่ตลอดเนื่องจากมีการเช็คอินเช็คเอาท์กันตลอดเวลา เนื่องจากคนที่มาพักส่วนมากจะอยู่กันไม่นานนัก สำหรับ The Vietnam Hostel จัดได้ว่าเป็นโฮสเทลที่ถูกสร้างขึ้นไม่นานโดยผมไปพักเมื่อเดือนพฤศจิกายนของปี 2018 ก็ได้ทราบจากพนักงานว่าที่นี่เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่กี่ปีทำให้บรรยากาศของโฮสเทลค่อนข้างดูใหม่และมีความทันสมัย ส่วนเจ้าของนั้นคือชาวอิตาลีที่มาทำธุรกิจในเวียดนามโดยเขามีไอเดียในการออกแบบที่ดูค่อนข้างสร้างสรรค์ ตัวของโฮสเทลมี 3 ชั้นโดยชั้นล่างสุดจะทำเป็นเคาน์เตอร์บาร์ซึ่งเป็นจุดไว้สำหรับจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มมีเก้าอี้ให้นั่งแบบสบายๆซึ่งตั้งอยู่ทั้งด้านในและด้านนอก มีเมนูอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายชนิดนอกจากนั้นยังมีลิฟท์ไว้บริการสำหรับผู้ที่ชอบในความสะดวกสบาย ส่วนชั้น 2 และ 3 จะถูกจัดทำเป็นห้องพักหลักๆก็จะเป็นห้องนอนรวมโดยจะถูกสรรเป็นล็อคมีชั้นบนและชั้นล่างและมีผ้าม่านปิดเพื่อความเป็นส่วนตัวของคนที่มาพัก ส่วนห้องน้ำจะอยู่ตรงกลางโดยแบ่งส่วนของห้องอาบน้ำและห้องสุขาแบบชัดเจน ขณะเดียวกันก็มีตู้เย็นและจุดบริการน้ำดื่มฟรีให้แขกที่เข้ามาพัก ส่วนใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัวก็จะมีในส่วนของห้องพักแบบส่วนตัวด้วยเช่นกันแต่ในส่วนนี้ผมไม่ทราบว่าลักษณะเป็นเช่นไร ส่วนเรื่องราคาก็อาจจะดูแพงกว่าโฮสเทลในที่อื่นๆเนื่องจาก The Vietnam Hostel นั้นได้เปรียบในเรื่องของทำเลที่ตั้งและความใหม่ทันสมัยของตัวที่พักซึ่งสนนราคาอยู่ที่ประมาณ 350 บาทต่อคืนสำหรับห้องนอนรวม
The Vietnam Hostel โฮสเทลยอดนิมยมแห่งเมืองดานัง
ถ่ายรูปจากบริเวณด้านหน้าของที่พัก สังเกตุได้ว่าจะมีสายไฟระโยงระยางเต็มไปหมด
เคาเตอร์บาร์ จุดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม
โดยมีเมนูให้เลือกหลากหลาย
สามารถเลือกนั่งมุมนั่งทานได้ตามใจชอบ
ใครที่ชอบบรรยากาศด้านนอก
ทางโฮสเทลก็มีที่นั่งให้บริการเช่นเดียวกัน
บันไดทางขึ้นลง ออกแบบได้ดูเก๋และสร้างสรรค์ดี
ใครที่ชอบความสะดวกสบาย
ก็มีลิฟท์ไว้คอยบริการเช่นกัน
จุดของห้องนอนรวมถูกแบ่งเป็นล็อคมี 2 ชั้น
และมีผ้าม่านปิดเพื่อความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น
พื้นที่ตรงส่วนกลางมีโต๊ะและเก้าอี้
ไว้สำหรับนั่งเล่นหรือนั่งทำงานได้
มีตู้เย็นและตู้กดน้ำดื่มไว้บริการฟรีให้แก่ผู้ที่มาพัก
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
26 เมษายน 2564
EP.32 สีสันเมืองเกิ่นเทอยามค่ำคืน
ประเทศเวียดนามมีเมืองท่องเที่ยวหลักๆอยู่ตามแต่ละภาคซึ่งแบ่งเป็นได้ดังนี้ ทางตอนเหนือมี ฮานอย ทางตอนกลางมีดานัง ส่วนทางตอนใต้มีกรุงโฮจิมินห์ ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติก็จะรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่เมื่อเวียดนามเน้นส่งเสริมในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น ทำให้มีอีกหลายเมืองที่น่าสนใจที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยเมืองอย่าง ญาจาง ดาลัท ฮอยอัน ซาปา ต่างก็เป็นจุดมุ่งหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว บางเมืองถึงกับมีสนามบินระหว่างประเทศและอีกหนึ่งเมืองที่สำคัญและมีสนามบินระหว่างประเทศให้บริการก็คือ เมืองเกิ่นเทอ ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 4 ของเวียดนามและเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
สำหรับเมืองเกิ่นเทอ ถ้าจะให้ผมพูดตรงๆก็คือ อาจยังไม่เป็นที่นิยมหรือคุ้นหูของคนไทยมากนักแม้เมืองนี้จะอยู่ห่างจากกรุงโฮจิมินห์ในระยะทางไม่ไกลนักโดยมีความห่างอยู่ประมาณ 169 กิโลเมตร แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวชาวไทยไปกันน้อย แต่ปัจจุบันนั้นเกิ่นเทอได้กลายเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นเนื่องจากมีสนามบินระหว่างประเทศมาตั้งแต่ปี 2011 โดยมีบินตรงจากเมืองไทยทำให้การเดินทางในปัจจุบันสะดวกมากยิ่งขึ้น สำหรับจุดขายของเมืองเกิ่นเทอก็คือ การนั่งเรือชมบรรยากาศของตลาดน้ำโดยจะมีเฉพาะแค่ในตอนเช้าซึ่งผมยอมรับว่าไม่ได้ไปดูเนื่องจากตื่นไม่ทัน เพราะการจะไปชมนั้นจะต้องออกจากที่พักตั้งแต่เช้ามืดโดยตลาดจะเริ่มวายก็สัก 8-9 โมงเช้า เพราะฉะนั้นหากตื่นสายก็จะพลาดเช่นเดียวกับผม นอกจากนั้นก็จะมีในส่วนของหมู่บ้านทำกระดาษสา พิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าความเป็นมาของเมืองเกิ่นเทอ แต่สำหรับในช่วงกลางคืนผมว่าเมืองเกิ่นเทอค่อนข้างจะมีความคึกคักเป็นอย่างมากทั้งๆที่ผมเดินเที่ยวตอนกลางวันบรรยากาศดูเงียบๆจืดๆแต่เมื่อพระอาทิตย์ตกดินบรรยากาศกลับกลายเป็นมีสีสันขึ้นมาทันทีทันใด
เมื่อเข้าสู่ช่วงหัวค่ำพวกบรรดาชาวเมืองเกิ่นเทอจะออกมาทำกิจกรรมต่างๆไม่ว่าจะเป็นการซื้อของกิน การรับประทานอาหารตามร้านอาหารต่างๆที่มีอยู่มากมาย พ่อค้าแม่ค้านำของมาขายกลายเป็นแหล่งรวมสตรีทฟู้ดในสไตล์เวียดนามและอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือบริเวณริมแม่น้ำซึ่งจะมีสะพานคนเดินสำหรับชื่อของสะพานผมก็ไม่แน่ใจและไม่มีข้อมูลตรงจุดนี้ แต่จากที่ได้สังเกตุก็เห็นว่าสะพานค่อนข้างมีความสวยงามรูปแบบการออกแบบได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตกแบบเต็มๆ ส่วนตรงกลางของสะพานจะมีสิ่งก่อสร้างรูปทรงคล้ายดอกบัว บางคนจึงเรียกว่า สะพานดอกบัวซึ่งจะมีการประดับไฟสวยงามเลยทีเดียว ผมเดินทางในเวียดนามมาหลายเมืองก็มักสังเกตุได้ว่าเวียดนามมักจะเน้นในเรื่องของลานสาธารณะซึ่งเขาจะประดับไฟอย่างสวยงามในเวลากลางคืนซึ่งผมไปที่ไหนก็มักจะเจอและผู้คนในแต่ละเมืองก็มักออกมาทำกิจกรรมต่างๆทั้งการนั่งพักผ่อน ชมไฟสวยๆหรือการออกกำลังกาย ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีนะเพราะสถานที่ต่างๆที่เคยรกร้างก็ถูกพัฒนาให้กลายเป็นแลนด์มาร์คประจำเมืองและเป็นจุดดึงดูดให้ทั้งคนท้องถิ่นและชาวต่างชาติให้ได้มาดื่มด่ำกับบรรยากาศอันสวยงาม
สีสันยามค่ำคืนแห่งเมืองเกิ่นเทอ
ภาพที่เห็นคือ สะพานดอกบัวที่ประดับไฟสวยงาม
บริเวณวงเวียนมีอนุสาวรีย์ดาวห้าแฉก
รูปปั้นของโฮจิมินห์ วีรบุรุษของชาวเวียดนาม
ทางเดินบริเวณริมแม่น้ำ
ทางค่อนข้างกว้างและเดินได้สบาย
บรรยากาศบนสะพาน ในแต่ละคืนจะมีนักท่องเที่ยว แวะมาถ่ายรูปเดินเล่นกันค่อนข้างมาก
บรรยากาศริมแม่น้ำ โดยเกิ่นเทอเป็น เมืองใหญ่ที่สุดบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
สะพานแห่งนี้คนไทยมักจะเรียกกันว่า สะพานดอกบัว
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
5 พฤษภาคม 2564
EP.36 รถไฟตู้นอนชั้น 1 แห่งเวียดนาม
รถไฟ คือ พาหนะการเดินทางชนิดหนึ่งที่เป็นทางเลือกให้แก่ผู้โดยสารที่ชื่นชอบบรรยากาศแบบชิวๆสโลว์ไลฟ์ เพราะบรรยากาศของการเดินทางด้วยรถไฟส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเร่งรีบเหมือนการเดินทางด้วยพาหนะชนิดอื่น เพราะฉะนั้นเมื่อพวกคุณตัดสินใจที่จะนั่งรถไฟแล้วก็แน่นอนว่าคุณยอมรับได้กับบรรยากาศที่ไปแบบช้าๆเนิบๆไม่รีบร้อน แต่ด้วยความช้าๆนี่แหละทำให้ผู้โดยสารรถไฟได้สัมผัสกับบรรยากาศข้างทางแบบเต็มที่ทั้งการเห็นวิวทิวทัศน์ต่างๆที่หาไม่ได้จากการนั่งเครื่องบิน เรือ หรือแม้กระทั่งรถยนต์ ปัจจุบันการเดินทางด้วยรถไฟจึงยังเป็นพาหนะที่สำคัญสำหรับผู้โดยสารที่มีเวลาในการเดินทางพอสมควรหรือผู้ที่ชื่นชอบและรักรถไฟก็มักเลือกเดินทางด้วยไฟเป็นอันดับแรกเสมอ
ปัจจุบันในหลายประเทศก็มักจะมีการเดินทางด้วยรถไฟ มีสถานีรถไฟในหลากหลายเมืองและมีรถไฟที่วิ่งข้ามพรมแดนระหว่างประเทศด้วยเช่นกันที่ดังๆก็คงจะหนีไม่พ้น ทางสายไฟสายทรานไซบีเรียซึ่งวิ่งข้าม 2 ทวีปคือเอเชียและยุโรป ขณะที่รถไฟในเวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ผมได้มีโอกาสไปสัมผัสมาซึ่งรถไฟของประเทศเวียดนามนั้นมีสถานีอยู่ในหลายเมืองซึ่งส่วนมากก็จะอยู่ตามเมืองท่องเที่ยวหลักๆที่หลายคนพอจะคุ้นหูกันดี คือ ฮานอย ซาปา เว้ ดานัง ญาจางรวมไปถึงโฮจิมินห์ โดยประสบการณ์ตรงของผมที่ได้นั่งรถไฟในเวียดนามมีอยู่ประมาณ 3-4 ครั้งแต่ครั้งที่ทรหดที่สุดคงหนีไม่พ้นตอนนั่งจากโฮจิมินห์ไปที่ฮานอย ส่วนครั้งล่าสุดเกิดขึ้นตอนเดือนพฤษภาคมปี 2019 โดยเริ่มจากญาจางไปลงที่โฮจิมินห์ซึ่งผมเลือกการเดินทางในรอบดึก เนื่องจากต้องการประหยัดค่าที่พักไปอีก 1 คืน การเดินทางจากญาจางไปโฮจิมินห์ด้วยรถไฟจะใช้เวลาเกือบ 9 ชั่วโมง ออกจากญางจากประมาณตอนหัวค่ำถึงโฮจิมินห์ก็ประมาณเช้ามืดตี 5 ส่วนค่าโดยสารจะอยู่ที่ประมาณ 8 แสนดองหรือคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณเกือบ 1100 บาท
ส่วนที่เห็นราคาเป็นหลักพันนั้นก็เป็นเพราะผมเลือกนั่งรถไฟตู้ขบวนชั้น 1 ซึ่งเป็นชั้นที่หรูหราที่สุดและสบายที่สุดราคาในระดับนี้จึงไม่น่าแปลกใจ สำหรับรถไฟชั้น 1 ตู้นอนที่ผมเลือกนั้นจะมีลักษณะเป็น 4 เตียงโดยอยู่ข้างบน 2 และข้างล่างอีก 2 ที่ปลั๊กไฟไว้ให้สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือ มีโต๊ะที่พับเก็บได้เป็นจุดไว้สำหรับวางขางในห้องมีไฟคอยให้แสงสว่างยามค่ำคืนมีหมอนและผ้าห่มรวมไปถึงผ้าม่านในทุกตู้นอน โดยราคาระหว่างเตียงบนและเตียงล่างก็จะแตกต่างกัน สำหรับคนตัวใหญ่การนอนที่เตียงบนเป็นสิ่งที่ไม่แนะนำเพราะทั้งต้องปีนและการขยับตัวก็ทำได้ลำบากแต่ของแบบนี้คงขึ้นแต่คนชอบ บางทีคนก็อาจชอบเตียงบนมากกว่าเตียงล่าง โดยตู้นอนชั้น 1 ส่วนมากที่ผมเห็นจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เลือกจองกันโดยมีคนเวียดนามมาปะปนบ้าง ส่วนจุดอื่นๆบนรถไฟผมได้มีโอกาสเดินสำรวจทั้งหมด นอกจากตู้นอนชั้น 1 แล้วยังมีตู้นอนชั้น 2 ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Hard Berth ลักษณะจะลำบากกว่าตู้ชั้น 1 เพราะจะมีทั้งสิ้น 6 เตียงแบ่งออกเป็นฝั่งละ 3 เตียงบรรยากาศก็ดูคับแคบและอึดอัดกว่าชั้นนี้ส่วนมากก็จะเป็นคนท้องถิ่นที่เลือกกันแต่ก็มีบ้างที่จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการเซฟเงินเลยเลือกตู้นอนรถไฟในชั้นที่ 2
ขณะที่ในส่วนอื่นๆนอกจากชั้นตู้นอนแล้วยังมีส่วนของชั้นประหยัดที่จะเป็นพวกเก้าอี้อย่างเดียวไม่มีตู้นอนเหมือนชั้นที่ 1 และ 2 โดยถ้าราคาแพงที่สุดจะเป็นเก้าอี้แบบเบาะนิ่มๆสามารถปรับเอนนอนได้ ส่วนที่ราคาถูกที่สุดจะเป็นเก้าอี้เบาะแข็งปรับเอนไม่ได้ลักษณะเหมือนเก้าอี้นั่งตามสวนสาธารณะ แต่ไม่ว่าจะตู้หรูหราหรือตู้ราคาถูกแต่ละห้องก็จะได้รับความเย็นจากแอร์ด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนห้องน้ำผมว่ารถไฟเวียดนามเขาทำได้ดีจุดของที่ปัสสาวะจุดของอ่างล่างหน้าดูดีกว่ารถไฟไทย ส่วนตู้เสบียงนั้นผมเดินเข้าไปพยายามถ่ายรูปแต่ถูกเจ้าหน้าที่บนรถไฟสั่งห้ามถ่ายเลยอดเก็บบรรยากาศมาฝากกัน ขณะที่ในเรื่องของอาหารรถไฟของเวียดนามจะแตกต่างจากไทยชัดเจน คือ จะไม่ให้พวกพ่อค้าแม่ค้าคนนอกนำอาหารขึ้นมาขายบนรถไฟแต่จะเป็นเจ้าหน้าที่บนรถไฟนี่แหละที่จะเข็นพวกอาหารและเครื่องดื่มมาขายให้แก่ผู้โดยสารซึ่งตรงจุดนี้ผมชอบรถไฟแบบไทยๆมากกว่า เพราะเสน่ห์ที่ดึงดูดส่วนหนึ่งของรถไฟไทยก็คือการที่พ่อค้าแม่ค้านำของขึ้นมาขายบนรถไฟนี่แหละบรรยากาศแบบบ้านๆดูสบายๆจึงเป็นเสน่ห์ที่อยู่คู่กับรถไฟมาอย่างยาวนาน
รถไฟตู้นอนชั้น 1 ของเวียดนาม
บรรยากาศด้านหน้าสถานีรถไฟแห่งเมืองญาจาง
จุดรอรถไฟ ผมเลือกเดินทางในช่วงค่ำ เพื่อประหยัดค่าที่พักไปอีก 1 คืน
ผู้โดยสารทั้งคนเวียดนามและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ต่างก็หิ้วสัมภาระขึ้นรถไฟ
ตั๋วรถไฟจากญาจางไปโฮจิมินห์ ผมเลือกตู้นอนชั้น 1 ราคาจึงแพงสุดประมาณเกือบ 1100 บาท
นี่คือตู้นอนชั้น 1 ที่ผมเลือก ลักษณะจะมีเตียงนอน 4 ชั้นมีปลั๊กไฟให้ชาร์จมือถือ
ตู้นอนชั้น 2 ลักษณะคือมี 6 เตียง โดยแบ่งเป็นฝั่งละ 3 เตียงดูคับแคบกว่าชั้นที่ 1
ส่วนตู้นี้ราคาถูกลงมา โดยจะมีเก้าอี้เบาะนิ่ม
สามารถปรับเบาะเพื่อเอนนอนได้
เบาะเหมือนพวกรถทัวร์นั่งได้แบบสบายๆ
ตู้ขบวนนี้มีราคาถูกที่สุด โดยเป็นเก้าอี้เบาะแข็ง ซึ่งผู้โดยสารในตู้นี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนท้องถิ่น
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
18 พฤษภาคม 2564
EP.40 จังหวัดเบ๋นแจ
ผมโปรยหัวข้อมาแบบสั้นๆให้จำกันได้แบบง่ายๆเช่นนี้ก็เพราะว่าบทความที่เขียนในครั้งนี้อาจจะไม่ได้มีอะไรยืดยาวหรือซับซ้อนมากมายนัก เนื่องจากว่าบทความนี้จะพูดถึงจังหวัดแห่งหนึ่งในประเทศเวียดนามที่ตั้งอยู่ทางดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง โดยชื่อของจังหวัดก็คือ เบ๋นแจ สำหรับนักท่องเที่ยวหลายคนคงไม่ค่อยคุ้นหูเพราะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักของเวียดนาม โดยออกแนวเป็นเมืองบรรยากาศแบบชนบทซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ของเบ๋นแจก็จะเป็นการทำสวนผลไม้กันซะส่วนมาก โดยผลไม้หลักของที่เบ๋นแจก็คือสวนมะพร้าวเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ขึ้นชื่อของจังหวัดเบ๋นแจกันเลยทีเดียว
หากจะพูดเปรียบเทียบให้นึกถึกกันได้แบบง่ายๆ เบ๋นแจก็เปรียบเสมือนสมุทรสงครามซึ่งพื้นที่ส่วนมากก็จะเป็นพื้นที่สวนมะพร้าว ชาวบ้านทำไร่ทำสวนกันเป็นอาชีพหลัก ตอนที่ผมนั่งรถเข้าสู่เขตจังหวัดเบ๋นแจก็เริ่มสังเกตุได้ว่าจะมีร้านขายของฝากอยู่ริมทางและส่วนมากสินค้าก็จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากมะพร้าว โดยลูกอมรสมะพร้าวเป็นสิ่งที่พบเห็นได้มากที่สุดและคนเวียดนามจากพื้นที่อื่นเมื่อได้มาที่เบ๋นแจก็มักจะซื้อลูกอมรสมะพร้าวเป็นของฝากให้แก่ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง นอกจากที่จะโดดเด่นในเรื่องของการทำสวนมะพร้าวแล้ว จังหวัดเบ๋นแจยังมีพื้นที่ค่อนข้างอุมดมสมบูรณ์เป็นพื้นที่ที่ส่งออกปลาดอร์รี่เป็นอันดับต้นๆของโลกและการทำประมงก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่พบได้มากพอๆกับการทำสวนผลไม้ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆก็มักจะการซื้อทัวร์เพื่อนั่งเรือเข้าชมวิถีชีวิตของชาวบ้านโดยเรือจะลัดเลาะไปตามร่องสวนซึ่งจะมีทั้งสวนมะพร้าว สวนกล้วยและผลไม้ชนิดอื่นๆอีกมากมาย
ผมนั่งรถจากโฮจิมินห์ไปลงที่เบ๋นแจใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าและเข้าพักที่โฮมสเตย์แห่งหนึ่งโดยอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัวชาวเวียดนาม จริงๆทางที่พักได้เสนอทัวร์เที่ยวชมสวนมะพร้าวให้แก่ผม แต่ผมปฏิเสธไปก็เพราะว่าบรรยากาศไม่แตกต่างจากเมืองไทยมากนัก ถ้าเป็นฝรั่งอาจจะตื่นเต้นแต่คนไทยอย่างเราๆก็คงจะเฉยๆ ผมจึงตัดสินใจสำรวจเมืองเบ๋นแจด้วยตนเองโดยการใช้จักรยานของที่พักปั่นสำรวจเมืองภายใน 1 วัน โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงสายแต่พอประมาณบ่ายโมงกว่าผมก็ขอยอมแพ้เพราะแดดที่แรงร้อนระอุไม่แพ้เมืองไทย สุดท้ายจึงกลับมาที่พักพอช่วงเย็นก็ออกไปสำรวจเมืองใหม่อีกรอบโดยได้ไปห้างที่ใหญ่ที่สุดของเมืองเบ๋นแจซึ่งดูแล้วบิ๊กซีหรือโลตัสของบ้านเราบางที่ยังดูใหญ่กว่า รวมถึงไปนั่งชมบรรยากาศบริเวณอนุสาวรีย์ประจำเมืองที่จะมีคนท้องถิ่นมาออกกำลังกายหรือนั่งพักผ่อนกันพอสมควร ซึ่งจากภาพรวมที่ผมได้ไปเห็นและสัมผัสด้วยตนเองก็คิดว่า เบ๋นแจคือหนึ่งในเมืองที่ค่อนข้างมีวิถีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์และผ่อนคลายหากใครไปเที่ยวที่เวียดนามแล้วเบื่อความวุ่นวายของเมืองใหญ่ ผมว่าการมาพักผ่อนที่เมืองเบ๋นแจทางตอนใต้ของเวียดนามก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมเอาอย่างมาก
เบ๋นแจ จังหวัดที่อยู่ทางตอนใต้ของเวียดนาม
ตั้งอยู่บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง
เบ๋นแจ มีชื่อเสียงเรื่องของมะพร้าว พื้นที่ส่วนใหญ่ก็มักเห็นการทำสวนปลูกมะพร้าวกันเยอะ
ผมตัดสินใจสำรวจเมืองเบ๋นแจภายใน 1 วัน
โดยการขี่จักรยาน
ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองเบ๋นแจ
ขนาดประมาณบิ๊กซีหรือโลตัสของบ้านเรา
โซนเครื่องเล่นภายในห้าง
โซนของร้านหนังสือ
โซนของบรรดาเสื้อผ้า
หลังจากเดินเล่นในห้างจนเพลิน
ผมก็ออกมาซื้อน้ำอ้อยทานดับกระหาย
รสชาติหวานอร่อยชื่นใจ
แต่ราคาจำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่
อนุสาวรีย์ประจำเมืองเบ๋นแจ ดูแล้วน่าจะเกี่ยวกับเรื่องการกู้ชาติหรือสงครามในอดีต
ภาพบนผนังกำแพงบริเวณอนุสาวรีย์ใจกลางเมือง
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
31 พฤษภาคม 2564
EP.43 ทะเลเมืองญาจาง
ทะเล คือ สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเสมอมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หากอยากพักผ่อนคลายร้อนในช่วงวันหยุดหยุดสัปดาห์สถานที่ที่หลายๆคนจะมุ่งไปก็คือ ทะเล โดยในเมืองไทยของเราก็มีทะเลอยู่หลากหลายที่และล้วนแต่มีความสวยงาม ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังของทะเลเมืองไทยทำให้พวกบรรดาชาวต่างชาติถึงกับต้องบินมาพักร้อนที่ทะเลเมืองไทยกันอย่างมากมาย ส่วนในประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างเวียดนามก็มีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้เวียดนามมีประเทศที่มีทะเลในหลายพื้นที่ไม่แพ้กับเมืองไทย โดยหนึ่งในเมืองของเวียดนามที่โดดเด่นในเรื่องของท้องทะเลนั่นก็คือ เมืองญาจาง
สำหรับเมืองญาจางในปัจจุบันนั้นถือว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของเวียดนาม โดยมีทั้งสนามบินแห่งชาติและสถานีรถไฟประจำเมือง แม้ว่าจะถูกชาวต่างชาติเรียกผิดบ่อยครั้งว่านาตรัง แต่ถึงจะเป็นนาตรังหรือญาจางเสน่ห์ของเมืองก็ยังคงชวนสะกดให้นักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศมาเยี่ยมเยือน สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่เด่นสุดในญาจางก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของทะเล เพราะเป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเล ถ้าให้เปรียบกับเมืองไทยผมว่าที่ญาจางจะดูคล้ายพัทยา นอกจากจะมีในเรื่องของทะเลแล้วยังเป็นเมืองที่ไว้สำหรับพักผ่อนตากอากาศและอีกหนึ่งส่วนที่เหมือนกันก็คือบรรดานักท่องเที่ยวชาวรัสเซียที่เดินกันให้ขวักไขว่ ซึ่งจากที่ผมได้เดินสำรวจบรรยากาศในเมืองก็พบว่ามีการเขียนป้ายภาษารัสเซียไว้ตามที่ต่างๆไม่ว่าจะเป็นโรงแรม เกสต์เฮาส์ ร้านอาหาร ร้านขายของ เรียกได้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวที่ญาจางเยอะที่สุดก็คือ กลุ่มชาวรัสเซียนั่นเอง
ส่วนทะเลที่เมืองญาจางเท่าที่ผมได้เห็นมากับตาตัวเอง ผมตัดสินได้ภายในเวลาไม่กี่นาทีว่าทะเลที่เมืองไทยบ้านเรานั้นสวยกว่า เพราะทะเลที่เวียดนามหากมองแบบไกลๆก็จะดูสวยแต่ถ้าลองไปสัมผัสแบบใกล้ๆจะพบว่าน้ำไม่ใสเท่าที่ควร ทรายดูค่อนข้างหยาบ แต่ทะเลที่ญาจางจะมีจุดเด่นที่สามารถสังเกตุเห็นได้อย่างหนึ่งนั่นก็คือ เขาเหมือนจะมีการแบ่งโซนกันค่อนข้างชัดเจน โดยด้านนึงจะเป็นทะเลที่มีผืนทรายดูละเอียดและน้ำทะเลดูค่อนข้างสวยใสซึ่งโซนนี้จะเป็นโซนที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะมาเที่ยวกันมีเตียงกางเอาไว้บริการแก่นักท่องเที่ยว รวมถึงร้านอาหารทะเลที่อยู่ใกล้ๆ ส่วนมากโซนนี้จะมีคนไม่หนาแน่นแออัดมากนักท่องเที่ยวก็จะเป็นฝรั่งโดยเฉพาะชาวรัสเซีย ส่วนอีกหนึ่งโซนจะมีทรายค่อนข้างหยาบและน้ำทะลก็ดูค่อนข้างขุ่น ส่วนมากคนที่มาเที่ยวตรงโซนนี้ก็คือคนเวียดนามหรือชาวท้องถิ่นนั่นเอง ผมเดินเล่นตอนเย็นทั้ง 2 โซนก็เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน โซนนักท่องเที่ยวจะดูมีความหรูหราและเงียบสงบฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นพวกบรรดาโรงแรมและร้านอาหาร ส่วนฝั่งที่คนท้องถิ่นเที่ยวกันก็จะเต็มไปด้วยความวุ่นวายมีคนเวียดนามมาเล่นน้ำทะเลเป็นจำนวนมาก แต่ก็นับว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของทะเลเมืองญาจางที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคนนั่นเอง
ทะเลเมืองญาจาง
โซนนี้เป็นโซนของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
น้ำทะเลจะดูใสและทรายค่อนข้างละเอียด
โซนนักท่องเที่ยว บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ
อากาศร้อนๆผมเลยแวะซื้อน้ำมะพร้าวทาน
ราคาพอๆกับบ้านเรา แต่รสชาติไม่ค่อยอร่อย
โซนนี้จะเป็นโซนของคนท้องถิ่น
บริเวณนี้ทรายค่อนข้างหยาบ
ส่วนน้ำทะเลจะดูขุ่นกว่าโซนของนักท่องเที่ยว
ผมเดินเล่นริมทะลตั้งแต่บ่ายแก่ๆจนถึงช่วงเย็น
โซนของคนท้องถิ่นในช่วงเย็นๆ
บรรยากาศจะคึกคักอย่างมาก
คนเวียดนามพากันมาเล่นน้ำคลายร้อนในตอนเย็น ส่วนมากจะเป็นกลุ่มครอบครัว
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
9 มิถุนายน 2564
EP.74 ตลาดอาหารทะเลเมืองห่าเทียน
ตลาดเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับชุมชนเมืองซึ่งในแต่ละเมืองก็มักจะมีพวกตลาดสดต่างๆเพื่อเป็นสถานที่ให้ผู้คนในท้องถิ่นได้มาเดินซื้อสินค้าต่างๆ สำหรับในมุมนักเดินทางอย่างผมแน่นอนครับว่า ตลาดสดคือสถานที่ที่จะทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นนั้นแบบจริงๆจังๆซึ่งตรงกับเป้าหมายในการเดินทางของผมซึ่งชอบที่จะได้ไปเห็นวัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่นเพื่อซึมซับบรรยากาศแล้วนำมาบอกเล่าในรูปแบบของคลิปวีดีโอรวมถึงงานเขียนทั้งในเพจเฟซบุ๊คและในบล็อกแห่งนี้
ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่เมืองห่าเทียนของประเทศเวียดนามและก็เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติในการเดินทางทุกครั้งที่ผมจะต้องหาโอกาสแวะไปชมตลาดประจำเมือง ซึ่งในเมืองห่าเทียนนั้นจะตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนามโดยตั้งอยู่ในพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงและเป็นเมืองที่มีพื้นที่มีแม่น้ำไหลผ่าน ทำให้ชาวบ้านท้องถิ่นหลายคนยึดอาชีพทั้งเป็นชาวประมงรวมถึงอาชีพค้าขายสินค้าที่เกี่ยวกับของทะเลต่างๆ
สำหรับตลาดของเมืองห่าเทียนนั้นจะมีทั้งในส่วนของตลาดสดที่ขายของทั่วๆไปทั้งเนื้อสัตว์ ผักผลไม้และสินค้าอื่นๆกับอีกจุดนึงที่ตั้งอยู่ติดกันก็จะเป็น ตลาดขายอาหารทะเล ซึ่งจะมีของทะเลหลากหลายมาวางจำหน่ายทั้ง ปลา ปลาหมึก กุ้ง กั้ง หอย ปู โดยจะมีที่ขายกันในอาคารและที่วางขายแบบแบกะดินตามข้างทาง โดยที่ตลาดอาหารทะเลของที่เมืองห่าเทียนจะตั้งอยู่บริเวณโซนริมแม่น้ำโดยจะขายกันตั้งแต่เช้าตรู่ไปจนถึงช่วงบ่าย ส่วนบรรยากาศก็ดูคึกคักดีเพราะจะมีผู้คนท้องถิ่นแวะเวียนมาซื้อสินค้าอาหารทะเลกันอยู่เรื่อยๆตลอดทั้งวัน
ตลาดขายอาหารทะเลของเมืองห่าเทียน
ตั้งอยู่บริเวณโซนริมแม่น้ำ
สินค้าที่ขายกันก็มีทั้งปลา ปลาหมึก กุ้ง กั้ง หอย ปู
และของทะเลอื่นๆอีกมากมาย
พ่อค้าแม่ค้านำของทะเลมาวางขาย
โดยจะขายกันตั้งแต่ช่วงเช้าไปจนถึงช่วงบ่าย
พ่อค้าแม่ค้านำของทะเลมาวางขายกันทั้ง 2 ข้างทาง
ใกล้ๆกันจะเป็นตลาดสดที่ขายสินค้าทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ผักผลไม้
ตลาดสดของเมืองห่าเทียน เดินหาไม่ยาก เพราะอยู่โซนใจกลางเมืองซึ่งใกล้ๆกันก็จะมีโรงแรมที่พักมากมาย
บริเวณแม่น้ำจะเห็นภาพของชาวประมงล่องเรือหาปลา โดยฝั่งตรงข้ามจะมีเรือหลายลำจอดอยู่
ซึ่งจะเป็นเรือที่จะเดินทางไปยังเกาะฟูโกว๊ก
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
20 พฤศจิกายน 2565
EP.75 ชายหาดเมืองหวุงเต่า
เมืองหวุงเต่า ถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวของเวียดนามมีสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆก็คือ พวกบรรดาชายหาดซึ่งถึงแม้ว่าชายหาดและท้องทะเลของเวียดนามจะสวยสู้ที่เมืองไทยบ้านเราไม่ได้ แต่ทะเลที่เมืองหวุงเต่ากลับได้รับความนิยมจากบรรดานักท่องเที่ยวมากพอสมควร ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มักจะมาเที่ยวกันก็จะเป็นกลุ่มคนเวียดนาม โดยจะมาเที่ยวกันอย่างมากมายโดยเฉพาะช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
ผมเที่ยวที่หวุงเต่ามาแล้ว 2 ครั้งและทั้ง 2 ครั้งที่ได้ไปก็ไม่พลาดที่จะต้องไปเดินเล่นชมบรรยากาศบริเวณชายหาดซึ่งบรรยากาศที่ได้เห็นก็พบว่า พื้นที่ตรงชายหาดจะมีผู้คนท้องถิ่นออกมาเล่นน้ำทะเลกันเป็นจำนวนมากและมีกันทุกเพศทุกวัยไม่ว่าจะหนุ่มสาว เด็กโตและเด็กเล็กรวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ แต่แทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เห็นเท่าไหร่นัก ส่วนบรรยากาศของชายหาดแม้ไม่สวยแบบเมืองไทย แต่ก็ไม่มีพวกเตียงผ้าใบมารุกล้ำพื้นที่ตรงชายหาดไม่มีมาเฟียมาคอยไล่ที่จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงมีผู้คนมาพักผ่อนกันอย่างมากมาย
ส่วนบริเวณใกล้ๆกับชายหาดก็จะเป็นพื้นที่ของสวนสาธารณะ ส่วนบริเวณที่ไม่มีคนเล่นน้ำก็จะเป็นจุดที่จะเห็นเรือประมงหลายลำจอดอย่างเรียงราย นอกจากนั้นก็จะมีพวกพ่อค้าแม่ค้าขายของทั้งพวกห่วงยางเล่นน้ำหรือบรรดาของกินต่างๆและอีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างไปจากเมืองไทยก็คือ การอาบน้ำจืด โดยที่หวุงเต่าเขาจะมีจุดอาบน้ำจืดตั้งบริการให้แก่นักท่องเที่ยวอยู่ตรงริมชายหาดและใช้บริการกันฟรีซึ่งแตกต่างจากที่เมืองไทยที่จะต้องเสียเงินในการอาบน้ำจืดประมาณ 10-20 บาท
ชายหาดเมืองหวุงเต่า เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม
ในแต่ละวันจะมีผู้คนมาเล่นน้ำและพักผ่อนกันเป็นจำนวนมาก
ชายหาดของเมืองหวุงเต่าไม่ได้สวยงามเหมือนที่เมืองไทย
แต่ได้รับความนิยมจากคนเวียดนามไม่น้อย
บรรดาแม่ค้านำอุปกรณ์เกี่ยวกับการเล่นน้ำมาขาย
ซึ่งก็จะเป็นพวกบรรดาห่วงยาง
ชายหาดที่หวุงเต่าจะมีจุดอาบน้ำจืดให้บริการกันฟรี ซึ่งแตกต่างจากที่เมืองไทยที่จะต้องเสียเงิน
ใกล้ๆกับบริเวณชายหาดจะเป็นพื้นที่ของสวนสาธารณะ
ช่วงเย็นๆจะเห็นผู้คนทุกเพศทุกวัยมาเดินเล่นพักผ่อน
รวมถึงเล่นน้ำบริเวณชายหาดกันเป็นจำนวนมาก
จุดที่ไม่มีผู้คนเล่นน้ำก็จะเป็นจุดที่เรือประมงหลายลำ
จะมาจอดกันซึ่งส่วนใหญ่ก็คือเรือของชาวบ้านที่จะมาหาปลา
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
24 พฤศจิกายน 2565
EP.76 ตลาดเบนถั่น
30 พฤศจิกายน 2561 คือวันแรกที่ผมได้ทำการอัพโหลดคลิปแรกลงในช่องยูทูปซึ่งถ้านับถึงเวลาปัจจุบันก็เป็นเวลาครบ 4 ปีพอดิบพอดี ซึ่งถึงแม้ยอดวิวและยอดผู้ติดตามจะไม่ได้มากมายอะไรแต่ผมก็รู้สึกสุขใจทุกครั้งที่ได้อัพคลิปลงในยูทูปซึ่งถ้าคลิปไหนมีประโยชน์ต่อผู้ชม ผมเองก็รู้สึกปลาบปลื้มใจซึ่งผมได้ตั้งปณิธานกับตนเองว่าจะทำคลิปลงช่องยูทูปไปตลอดจนกว่าจะสิ้นลมหายใจเช่นเดียวกับการเขียนบทความลงเพจและลงบล็อกแห่งนี้ ผมก็จะทำไปตลอดเรื่อยๆเช่นเดียวกันซึ่งก็กว่าจะถึงวันนี้ได้ก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่สนับสนุนติดตามและเป็นกำลังใจมาให้กันโดยตลอดครับ
เอาล่ะครับเกริ่นนอกเรื่องกันมาพอสมควรก็เข้าเข้าเนื้อเรื่องในบทความของวันนี้ซึ่งก็จะเกี่ยวข้องกับสถานที่ท่องเที่ยวในต่างแดนซึ่งครั้งนี้ก็ขอนำเสนอเรื่องราวของ ตลาดเบนถั่น ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ตั้งอยู่ในกรุงโฮจิมินห์ของประเทศเวียดนาม โดยตลาดเบนถั่นสำหรับคนที่ไม่เคยไปอาจจะงงว่าบรรยากาศของสถานที่เป็นยังไงซึ่งผมก็ขอแนะนำให้พวกท่านนึกถึง ตลาดนัดสวนจตุจักร ซึ่งลักษณะของตลาดเบนถั่นและตลาดนัดสวนจตุจักรแทบจะไม่แตกต่างอะไรกันมาก เพราะเป็นตลาดขายสินค้าที่มีชื่อเสียงเหมือนกันและเป็นตลาดที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมักจะนิยมมาเดินเที่ยวกันพอสมควร
สำหรับตลาดเบนถั่นเมื่อได้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของกรุงโฮจิมินห์นั่นก็หมายความว่าในแต่ละวันจะเต็มไปด้วยผู้คนโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต่างมาเดินเลือกซื้อสินค้าที่มีอยู่อย่างมากมาย โดยร้านค้าต่างๆภายในตลาดเบนถั่นมีไม่ต่ำกว่า 6000 ร้าน สินค้าที่ขายกันก็มีหลากหลายครับทั้งเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋าซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของก๊อปทำเลียนแบบ นอกจากนั้นก็จะมีทั้งของแห้งรวมถึงพวกกาแฟชนิดต่างๆรวมไปถึงพวกบรรดาของที่ระลึกต่างๆอีกมากมายให้ได้เลือกซื้อกัน
นอกจากนั้นก็ยังมีโซนของร้านอาหารซึ่งมีขายทั้งอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ โดยหากใครเคยไปเดินที่นี่ก็จะพบกับบรรยากาศของพ่อค้าแม่ค้าที่พูดเชิญชวนให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาจะเน้นขายให้แก่ชาวต่างชาติซึ่งเมื่อเน้นลูกค้าจากต่างแดนก็แน่นอนครับว่าพวกเขาเหล่านี้ย่อมสามารถพูดได้หลายภาษาเพื่อเป็นการดึงดูดให้ลูกค้ามาซื้อของนั่นเอง แต่การจะซื้อของที่นี่นอกจากจะต้องพิจารณาในเรื่องของตัวสินค้าแล้วยังต้องรู้จักการต่อรองราคาให้ดี เพราะที่ตลาดเบนถั่นก็จะเหมือนตลาดอื่นๆทั่วโลกที่คนขายมักจะบอกราคาสินค้าในราคาที่ค่อนข้างสูง ถ้าหากเราไม่รู้จักการต่อรองราคารับรองเลยว่าถูกพ่อค้าแม่ค้าฟันราคาแบบหัวแบะอย่างแน่นอน
ตลาดเบนถั่น เป็นตลาดขายสินค้าสารพัดอย่าง โดยตั้งอยู่ในกรุงโฮจิมินห์ของประเทศเวียดนาม
สินค้าในตลาดเบนถั่นมีหลากหลายอย่าง
โดยพวกพ่อค้าแม่ค้ามักจะเน้นขายของให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
กระเป๋าเดินทางมีให้เลือกสรรกันอย่างมากมาย
แต่ส่วนมากจะเป็นสินค้าเลียนแบบของแบรนด์เนม
โซนของร้านอาหารซึ่งจะเน้นขายอาหารท้องถิ่น
แต่ราคาก็จะขายแพงกว่าร้านอาหารทั่วไปที่อยู่ด้านนอก
ผมสั่งน้ำสัปปะรดปั่นมาดื่มแก้กระหาย
ซึ่งเห็นแก้วขนาดนี้ แต่ราคาก็แพงเอาเรื่องเหมือนกัน
บรรยากาศด้านนอกรอบๆตลาดเบนถั่นซึ่งในตอนกลางคืน
พื้นที่รอบนอกจะเต็มไปด้วยร้านขายของต่างๆมากมาย
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
30 พฤศจิกายน 2565
EP.77 อู่รถเมล์ย่านฟามงูเหลา
รถเมล์เป็นยานพาหนะที่ใช้สัญจรกันในตัวเมือง โดยตามพวกเมืองหลวงและเมืองใหญ่ๆของแต่ละประเทศก็ล้วนแต่มีรถเมล์ให้บริการแก่บรรดาพ่อแม่พี่น้องประชาชนในประเทศกันทั้งนั้นอย่างในพื้นที่กรุงเทพมหานครก็มีรถเมล์วิ่งให้บริการแก่ผู้โดยสารกันอยู่หลายสายซึ่งก็ไม่ต่างจากที่กรุงโฮจิมินห์ในประเทศเวียดนามซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศ แต่ก็เป็นเมืองสำคัญและเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในโซนเวียดนามตอนใต้
สำหรับรถเมล์ที่วิ่งให้บริการในกรุงโฮจิมินห์ก็มีอยู่มากมายหลายสาย ตอนผมไปโฮจิมินห์ในแต่ละครั้งก็มักหาโอกาสนั่งรถเมล์อยู่เสมอซึ่งสายที่นั่งบ่อยสุดก็คงจะเป็นสายที่วิ่งระหว่างย่านฟามงูเหลาและสนามบินเตินเซินเญิ้ตซึ่งบริเวณย่านฟามงูเหลาก็เปรียบเสมือนย่านถนนข้าวสารในกรุงเทพฯซึ่งก็จะเป็นแหล่งรวมที่พัก ร้านอาหาร ผับบาร์ บริษัททัวร์ต่างๆซึ่งจะเป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินกันให้ขวักไขว่นั่นจึงทำให้มีอู่รถเมล์ตั้งอยู่ใกล้ๆกับบริเวณย่านฟามงูเหลา
ส่วนมากแล้วนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะไม่ได้นั่งรถเมล์ท้องถิ่นกันมากนัก แต่ถ้าใครอยากจะสัมผัสบรรยากาศแบบท้องถิ่นผมว่าก็ควรที่จะมาลองนั่งสักครั้ง โดยรถเมล์ในย่านฟามงูเหลาก็มีอยู่หลายสายทั้งรถเมล์ที่วิ่งไปสนามบินซึ่งก็คือ สาย 109 ส่วนสายอื่นๆก็จะวิ่งไปตามจุดหมายปลายทางต่างๆในพื้นที่ของกรุงโฮจิมินห์ ส่วนบรรยากาศของรถเมล์ที่เวียดนามจากที่ผมเคยนั่งมาแล้วก็พบว่าไม่ได้แตกต่างจากเมืองไทยเท่าไหร่ เพราะเวียดนามยังใช้ระบบเก็บเงินโดยมีกระเป๋ารถเมล์เป็นคนเดินเก็บเงินแต่แตกต่างกันเล็กน้อย คือ เมืองไทยจะมีกระบอกตั๋วรถเมล์ส่วนที่เวียดนามจะไม่มีซึ่งเมื่อจ่ายเงินเสร็จกระเป๋ารถเมล์ก็จะส่งตั๋งมาให้แก่ผู้โดยสาร
อู่รถเมล์ย่านฟามงูเหลาของกรุงโฮจิมินห์ จะมีรถเมล์จอดอยู่หลากหลายสาย
ผู้โดยสารชาวเวียดนามกำลังนั่งรอรถเมล์ในช่วงเวลาเย็น
รถเมล์วิ่งเข้ามาจอดเพื่อรับส่งผู้โดยสาร
รถมินิบัสสาย 109 คันนี้เป็นรถที่วิ่งรับส่งระหว่าง
ย่านฟามงูเหลาไปยังสนามบินเตินเซินเญิ้ต
ป้ายรถเมล์ที่บอกสายรถเมล์ที่จะมาเข้าจอด
และเส้นทางต่างๆที่รถเมล์จะวิ่งผ่าน
ผมไปถ่ายบรรยากาศตอนช่วงเย็น
ซึ่งเวลานั้นที่โฮจิมินห์ฝนกำลังตกลงมาพอดี
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
4 ธันวาคม 2565
EP.78 นั่งเรือเร็วชมบรรยากาศ
แม่น้ำไซ่ง่อน
แม่น้ำไซ่ง่อนเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของกรุงโฮจิมินห์ ปัจจุบันการท่องเที่ยวของกรุงโฮจิมินห์ได้มีการส่งเสริมในด้านการท่องเที่ยวโดยใช้เรือเป็นยานพาหนะซึ่งจุดไฮไลท์เด่นก็คือ การนั่งเรือเร็วชมบรรยากาศของแม่น้ำไซ่ง่อนซึ่งเรือเร็วจะมีให้บริการในหลายช่วงเวลาโดยจะเริ่มตั้งแต่ช่วงสายๆไปจนถึงช่วงมืดค่ำซึ่งบรรยากาศก็จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกนั่งเรือเร็วในช่วงเวลาค่ำเพื่อที่จะชมแสงสียามค่ำคืนบริเวณแม่น้ำไซ่ง่อน
สำหรับเรือเร็วที่ให้บริการในการชมบรรยากาศแม่น้ำไซ่ง่อนจะถูกเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Saigon Water Bus ตอนที่ผมไปเที่ยวที่กรุงโฮจิมินห์ในครั้งล่าสุดก็ได้มีโอกาสนั่งเรือเร็วชมบรรยากาศแม่น้ำไซ่ง่อน โดยเลือกช่วงเวลาในการเดินทางคือประมาณ 10 โมงกว่าซึ่งผมเลือกเดินทางในวันธรรมดาแต่กลับพบว่าเรือเร็วที่ผมจะเดินทางไปนั้นกลับมีนักท่องเที่ยวอยู่หลายคนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนเวียดนามซึ่งก็บ่งบอกได้ว่า เรือเร็วสำหรับชมบรรยากาศของแม่น้ำไซ่ง่อน ค่อนข้างที่จะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากพอสมควร
ส่วนราคาค่าโดยสารของเรือเร็วนั้นจะอยู่ที่ 15000 ดงต่อ 1 เที่ยวซึ่งตีเป็นเงินไทยได้ประมาณ 20 กว่าบาทแต่ถ้าซื้อแบบไปกลับก็จะอยู่ที่ 30000 ดงหรือ 40 กว่าบาทซึ่งผมเลือกเดินทางแบบไปกลับ โดยที่เรือเร็วจะเริ่มต้นออกเดินทางจากท่าเรือบัคดังและจะวิ่งไปสิ้นสุดตรงท่าเรือลินดอง โดยจะใช้เวลาในการเดินทางต่อ 1 เที่ยวประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าซึ่งบรรยากาศที่เรือเร็วแล่นผ่านก็จะเจอบ้านเรือนของผู้คนที่อยู่ริมแม่น้ำไซ่ง่อนและพวกตึกอาคารต่างๆที่ตั้งอยู่อย่างเรียงราย
เรือเร็วที่มีบริการในด้านการท่องเที่ยวของกรุงโฮจิมินห์
โดยมีไว้สำหรับชมบรรยากาศของแม่น้ำไซ่ง่อน
เรือเร็วจะเริ่มต้นให้บริการจากท่าเรือบัคดัง
และจะไปถึงจุดสุดท้ายที่ท่าเรือลินดอง
ตารางเวลาที่เรือเร็วจะวิ่งให้บริการ
โดยจะมีหลายช่วงเวลาตั้งแต่สายๆไปจนถึงช่วงค่ำ
บรรยากาศบนเรือเร็วซึ่งมีผู้โดยสารพอสมควร
แม้ว่าจะเป็นการเดินทางในวันธรรมดาก็ตามที
ขนมหลากหลายที่มีขายอยู่บนเรือเร็ว
ตึกสูงตั้งอยู่อย่างเรียงรายบริเวณริมแม่น้ำไซ่ง่อน
สะพานข้ามแม่น้ำไซ่ง่อน โดยที่เรือเร็วจะแล่นผ่าน
ลอดใต้สะพาน
บ้านเรือนของผู้คนที่ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำ ซึ่งถ้าเป็น ตอนกลางคืนจะเห็นสีสันจากแสงไฟที่ประดับกันอย่างสวยงาม
เรือเร็วจะเดินทางจากท่าเรือบัคดังมาถึงจุดหมายปลายทาง คือ
ท่าเรือลินดอง โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า
ผู้โดยสารกำลังนั่งรอเรือเที่ยวขากลับไปยังท่าเรือบัคดัง
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
12 ธันวาคม 2565
EP.79 จัตุรัสโฮจิมินห์ยามค่ำคืน
ช่วงเวลายามค่ำคืนของมนุษย์เราผมว่ามีความแตกต่างกันไปในความคิดของแต่ละคน บางคนก็คิดไว้ว่ามันคือช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนนอนหลับ บางคนก็ใช้เวลาตอนกลางคืนเป็นช่วงเวลาทำมาหากิน แต่อีกหลายคนก็ใช้เวลาในตอนกลางคืนเป็นการผ่อนคลายและเดินชมสีสันในยามค่ำคืนซึ่งตามเมืองหลวงและตามเมืองใหญ่ต่างๆของแต่ละประเทศก็จะมีการเปิดแสงไฟเพื่อเป็นสีสันในยามค่ำคืนและเป็นเสน่ห์ให้แก่เมืองนั้นๆได้มีสีสันและเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวไปในตัว
ตอนผมไปเที่ยวที่กรุงโฮจิมินห์ตอนเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผมก็ไม่พลาดที่จะแวะชมสีสันยามค่ำคืนของกรุงโฮจิมินห์ซึ่งจุดที่ได้รับความนิยมจากคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เป็นบริเวณจัตุรัสโฮจิมินห์ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากแม่น้ำไซ่ง่อนมากนักซึ่งเมื่อผมได้ไปเห็นบรรยากาศกับตาตนเองก็ต้องยอมรับว่าที่แห่งนี้เป็นจุดที่ได้รับความนิยมจากผู้คนอย่างมาก โดยมีทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวมาเดินชมบรรยากาศและนั่งพักผ่อนกันเป็นจำนวนมาก
ส่วนบรรยากาศโดยรวมเท่าที่ได้เดินสำรวจมาก็พบว่ามีผู้คนทุกเพศทุกวัยมาเดินเล่นและนั่งพักผ่อนกันบริเวณจัตุรัสโฮจิมินห์กันพอสมควร โดยจุดเด่นที่เป็นสัญลักษณ์ก็คือ อนุสาวรีย์ของลุงโฮซึ่งเป็นวีรบุรุษของชาวเวียดนาม ส่วนด้านหลังก็เป็นที่ตั้งของศาลาว่าการกรุงโฮจิมินห์เมื่อถึงตอนกลางคืนก็จะเปิดไฟเป็นอันสวยงามจนกลายเป็นจุดถ่ายรูปที่สำคัญ ส่วนบรรยากาศอื่นๆก็จะมีผู้คนออกมานั่งพูดคุย จิตรกรมานั่งรับจ้างวาดภาพเหมือน กลุ่มวัยรุ่นเวียดนามมาจับกลุ่มเต้นคัฟเวอร์เพลงและมีคนมายืนเป็นหุ่นนิ่งเพื่อให้ผู้คนได้มาถ่ายรูปและที่ขาดไม่ได้เลยก็คือพวกของกินประเภทสตรีทฟู้ด
จัตุรัสโฮจิมินห์ ถือว่าเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของกรุงโฮจิมินห์
โดยในยามค่ำคืนจะมีสีสันเป็นอย่างมาก
ศาลาว่าการกรุงโฮจิมินห์กลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม
เพราะตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟแสงสีสวยงาม
พื้นที่ลานกว้างตรงจัตุรัสโฮจิมินห์ กลายเป็นแหล่งรวมผู้คนที่จะมาทำกิจกรรมต่างๆ
พวกสถานที่ต่างๆที่ตั้งอยู่รอบๆจัตุรัสโฮจิมินห์มีอยู่มากมาย
ทั้งโรงแรม ห้างสรรพสินค้า ร้านกาแฟ
กลุ่มจิตรกรมานั่งรับจ้างวาดภาพเหมือน
บางคนใช้สีมาทาทั่วตัวแล้วมายืนเป็นหุ่นนิ่ง
เพื่อให้ผู้คนที่ผ่านไปมาได้มาถ่ายรูป
พวกตึกและอาคารต่างๆล้วนแต่เปิดไฟแสงสีสวยงาม
ของกินประเภทสตรีทฟู้ดก็มีมาขายเช่นกัน
ส่วนพื้นที่ด้านหลังจะเป็น แม่น้ำไซ่ง่อน
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
16 ธันวาคม 2565
EP.91 สถานีขนส่งเมืองห่าเทียน
สถานีขนส่ง คือ ศูนย์รวมบรรดารถโดยสารสาธารณะซึ่งจะมีกันอยู่ในทุกประเทศทั่วโลกครับซึ่งผมก็มีประสบการณ์ในการเดินทางไปตามสถานีขนส่งอยู่บ่อยๆก็เพราะว่าต้องเดินทางอยู่บ่อยครั้งนั่นเอง โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศซึ่งผมมักจะเดินทางไปในหลายเมืองซึ่งก็ต้องใช้บริการรถโดยสารสาธารณะตามสถานีขนส่งเพื่อจะเดินทางไปยังเมืองต่างๆที่เป็นจุดหมายปลายทาง
ผมไปเที่ยวเวียดนามอยู่บ่อยครั้งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นประเทศที่ผมเดินทางไปบ่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ซึ่งการเที่ยวแต่ละครั้งผมมักจะเดินทางไปหลากหลายเมืองของเวียดนามและด้วยสไคล์การเที่ยวของผมที่เป็นประเภทแบกเป้เที่ยว ทำให้ยานพาหนะในการเดินทางที่ผมใช้บ่อยสุดก็คือ รถบัสโดยสาร อย่างเมื่อช่วงปีที่แล้วผมเดินทางท่องเที่ยวในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงของเวียดนามที่เมืองห่าเทียนและเชาด็อกซึ่งเป็น 2 เมืองที่อยู่ไม่ไกลกันมากเท่าไหร่
การเดินทางจากห่าเทียนไปเชาด็อกผมก็เลือกใช้บริการรถบัสโดยสารที่จอดอยู่ที่สถานีขนส่งของเมืองห่าเทียน สำหรับบรรยากาศของสถานีขนส่งที่เมืองห่าเทียนต้องบอกเลยว่าที่นี่ไม่ใช่สถานีขนส่งที่ใหญ่อะไรมากมายนั่นก็คงเพราะเมืองห่าเทียนไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักของเวียดนาม ทำให้บรรยากาศของสถานีขนส่งไม่ได้ใหญ่โตและไม่ได้มีผู้โดยสารมาใช้บริการเยอะเหมือนสถานีขนส่งตามเมืองใหญ่ๆ
สำหรับสถานีขนส่งเมืองห่าเทียนที่ผมได้ใช้บริการและเดินสำรวจบรรยากาศก็พบว่าเป็นสถานีขนส่งที่จะมีรถบัสโดยสารเดินทางไปยังเมืองต่างๆที่ตั้งอยู่ในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงทั้ง เชาด็อก เกิ่นเทอ เบ๋นแจ ก่าเมา จ่าวิญและอีกหลากหลายเมือง โดยรถที่ให้บริการมีทั้งรถบัส รถตู้และรถมินิบัส โดยบริเวณพื้นที่ด้านหลังของจุดจำหน่ายตั๋วโดยสารจะเป็นจุดของรถบัสของบริษัทต่างๆและมีร้านอาหารและร้านกาแฟให้บริการแก่ผู้โดยสาร
สถานีขนส่งเมืองห่าเทียน เป็นสถานีขนส่งที่ไม่ใหญ่มาก
โดยตั้งอยู่ในเมืองห่าเทียนของจังหวัดเกียนยาง
บริเวณด้านหน้าจะเป็นจุดจำหน่ายตั๋วโดยสาร
สถานีขนส่งเมืองห่าเทียนจะมีรถบัสเดินทางไปยังเมืองต่างๆ
ทั้งเชาด็อก เบ๋นแจ จ่าวิญ ก่าเมา เกิ่นเทอและอีกหลากหลายเมือง
รถบัสโดยสารของบริษัทต่างๆจอดอยู่ภายในสถานีขนส่ง
นอกจากรถบัสแล้วก็ยังมีรถตู้รวมไปถึงรถมินิบัส
ที่ทำการรถบัสของบริษัทเฟืองจาง
ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับความนิยมจากผู้โดยสารพอสมควร
นอกจากนั้นก็จะมีร้านอาหารและร้านกาแฟหลายร้าน
ซึ่งผู้โดยสารจะมานั่งทานระหว่างที่รอขึ้นรถ
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
19 กุมภาพันธ์ 2566
EP.92 วิธีการข้ามถนน
ในประเทศเวียดนาม
เวียดนาม เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นเดียวกับไทย แม้ว่าจะไม่มีอาณาเขตติดต่อระหว่างกัน แต่ปัจจุบันการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างไทยกับเวียดนามเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมากครับ เพราะมีตัวเลือกการเดินทางอย่างมากถ้าจะเอารวดเร็วก็นั่งเครื่องบิน แต่ถ้าต้องการบรรยากาศแบบสโลว์ไลฟ์ก็เดินทางด้วยรถบัสโดยสารที่เป็นรถบัสเดินทางข้ามประเทศ เช่น รถบัสจากไทยไปลาวและไปเวียดนาม
ปัจจุบันคนไทยไปเที่ยวเวียดนามกันเยอะครับ แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะต้องแปลกใจเมื่อได้ไปถึงเวียดนามนั่นก็คือ บรรยากาศการจราจรซึ่งมีความระห่ำและดุเดือดมากกว่าที่ไทย โดยการจราจรบนท้องถนนของเวียดนามต้องยอมรับเลยว่าไม่เป็นมิตรแก่คนเดินเท้าอย่างยิ่งครับ เพราะรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่เวียดนามจะไม่มีวันหยุดรถเพื่อให้คนเดินเท้าได้ข้ามถนน แม้ว่าเราจะไปยืนตรงทางม้าลายก็ไม่มีประโยชน์อันใดทั้งสิ้น
การข้ามถนนในเวียดนามจึงเป็นเรื่องที่ดูอันตรายสำหรับชาวต่างชาติโดยเฉพาะเมื่อพวกท่านได้ไปเวียดนามเป็นครั้งแรก แตสำหรับคนที่ไปเวียดนามมาหลายครั้งอย่างผมค่อนข้างคุ้นชินกับการข้ามถนนในเวียดนามแล้วครับ ซึ่งการข้ามถนนในเวียดนามก็ไม่ได้ยากอะไรถ้าหากว่าเรารู้จังหวะในการข้ามถนน แม้ว่ารถจะไม่หยุดให้ก็ตามแต่เมื่อเรารู้จังหวะและรู้วิธีก็จะสามารถข้ามถนนในเวียดนามได้อย่างปลอดภัย
สำหรับวิธีการข้ามถนนในเวียดนามที่ผมจะนำมาแนะนำแก่ทุกๆท่านนั่นก็คือ เราต้องไม่หวาดหวั่นหรือคิดว่าข้ามไม่ได้แน่ๆ สิ่งที่ควรทำนั่นก็คือพยายามเดินไปตามจังหวะของเราไม่ต้องไปหยุดหรือชะงักกลางถนน เพราะถ้าเราลังเลหรือชะงักอาจจะถูกมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์เฉี่ยวชนเอาได้ซึ่งเมื่อเดินข้ามก็ควรเดินไปให้ถึงอีกฝั่งของถนน ส่วนพวกรถที่สัญจรบนถนนถึงแม้จะไม่หยุดแต่พวกนี้เขาจะคอยหลบหลีกเมื่อเห็นคนข้ามถนน
เมื่อเดินตรงไปตามจังหวะและไม่หยุดชะงักกลางคันก็จะทำให้ท่านปลอดภัยในการข้ามถนนที่เวียดนามครับ เพราะพวกรถบนท้องถนนจะมองคนข้ามถนนเป็นเหมือนกรวยจราจรที่พวกเขาจะหลบหลีกซึ่งเมื่อข้ามได้สำเร็จเป็นครั้งแรกแล้ว ผมเชื่อว่าครั้งต่อๆไปก็จะรู้จังหวะและไม่เกิดอาการเกร็งหรือกดดันยามที่ต้องข้ามถนนในประเทศเวียดนามและเมื่อไม่กดดันก็จะทำให้การข้ามถนนในเวียดนามเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
การข้ามถนนในเวียดนามเป็นเรื่องยากสำหรับชาวต่างชาติ
แต่เมื่อรู้จังหวะในการข้ามก็จะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
ผมสาธิตวิธีการข้ามถนนในเวียดนาม
บริเวณอนุสาวรีย์ ตรันฮึงดาว ซึ่งเป็นวีรบุรุษของชาวเวียดนาม
บริเวณวงเวียนถิ่นจ๋องเป็นอีกจุดหนึ่งที่ อาจจะยากต่อการข้ามถนนในกรุงโฮจิมินห์
ที่เวียดนามมอเตอร์ไซค์เป็นใหญ่บนท้องถนน
ต่อให้มีทางม้าลาย แต่รถที่เวียดนามจะไม่หยุดให้คนข้าม
ดังนั้นการข้ามถนนควรจะรู้จังหวะและอย่าหยุดชะงักกลางถนน
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
23 กุมภาพันธ์ 2566
EP.94 สนามบินเตินเซินเญิ้ต
ปกติแล้วการเดินทางท่องเที่ยวของผมในแต่ละครั้ง ผมพยายามที่จะเดินทางด้วยเครื่องบินให้น้อยที่สุด เพราะเครื่องบินเป็นยานพาหนะที่ผมชื่นชอบน้อยที่สุด สาเหตุไม่ใช่เพราะเรื่องของความกลัวแต่เป็นเพราะการนั่งเครื่องบินนั้นไม่สามารถที่จะทำให้ได้เห็นวิวบรรยากาศข้างทางใดๆได้เลย นี่จึงเป็นเหตุผลหลักๆที่ผมมักจะไม่ค่อยนั่งเครื่องบินมากนัก ทำให้ความผูกพันของผมเกี่ยวกับเครื่องบินค่อนข้างมีน้อยหากไปเทียบกับยานพาหนะอื่นๆ
แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่เคยมีประสบการณ์ในการนั่งเครื่องบินเลย เพราะบางครั้งผมก็เลือกนั่งเครื่องบินโดยเฉพาะการเดินทางกลับไทย โดยครั้งล่าสุดที่ผมได้นั่งเครื่องบินก็คือการนั่งจากกรุงโฮจิมินห์ในประเทศเวียดนามกลับมายังที่สนามบินสุวรรณภูมิซึ่งเวลาในการเดินทางก็เพียงแค่ 1 ชั่วโมงนิดๆโดยผมเลือกเดินทางกับสายการบินต้นทุนต่ำของเวียดนามอย่าง เวียตเจ็ทแอร์ ซึ่งปัจจุบันมีเส้นทางการบินไปยังหลากหลายเมืองของเวียดนามรวมถึงในต่างประเทศด้วย
ในส่วนของการเดินทางผมคงไม่ขอพูดถึงแต่จะเน้นบอกเล่าเรื่องราวบรรยากาศของสนามบินซะมากกว่า โดยสนามบินที่กรุงโฮจิมินห์เป็นหนึ่งในสนามบินนานาชาติของเวียดนาม โดยมีชื่อว่าสนามบินเตินเซินเญิ้ต โดยในอดีตเคยเป็นฐานทัพของกองทัพอากาศของสหรัฐอเมริกาและเวียดนามใต้ในช่วงยุคสงครามเวียดนาม เมื่อหมดยุคสงครามก็แปรเปลี่ยนมาเป็นสนามบินแห่งชาติที่ให้บริการในเชิงพานิชย์และเป็นสนามบินนานาชาติประจำโซนตอนใต้ของเวียดนาม
ส่วนบรรยากาศของสนามบินเตินเซินเญิ้ตแม้ว่าจะไม่ใหญ่โตเหมือนสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ก็สามารถรองรับผู้โดยสารได้กว่า 13 ล้านคนต่อปี โดยอาคารระหว่างประเทศแห่งใหม่เปิดใช้งานเมื่อช่วงปี 2007 โดยมีสายการบินของต่างชาติอย่างมากมายที่คอยบริการรับส่งผู้โดยสารในแต่ละวัน นอกจากนั้นยังเป็นที่ทำการของสายการบินแห่งชาติอย่างเวียดนามแอร์ไลน์และสายการบินต้นทุนต่ำของเวียดนามอย่าง แบมบูแอร์เวยส์
ปัจจุบันสนามบินเตินเซินเญิ้ตมีผู้โดยสารมาใช้บริการกันอย่างต่อเนื่องในทุกๆวันไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในประเทศหรือเดินทางระหว่างประเทศและมีรถแท็กซี่รวมไปถึงรถเมล์ที่จะวิ่งเข้าสู่โซนใจกลางเมือง รวมไปถึงพวกบรรดาร้านอาหารของเวียดนามและร้านอาหารต่างชาติมาเปิดให้บริการแก่ผู้โดยสารซึ่งจะว่าไปแล้วสนามบินเตินเซินเญิ้ตก็คือสนามบินของต่างชาติที่ผมได้มีโอกาสเดินทางบ่อยที่สุดจึงอาจจะมีความทรงจำเกี่ยวกับสนามบินที่นี่มากเป็นพิเศษ
สนามบินเตินเซินเญิ้ต เป็นหนึ่งในสนามบินแห่งชาติของเวียดนาม
และตั้งอยู่ในกรุงโฮจิมินห์ที่อยู่ทางตอนใต้ของเวียดนาม
บรรยากาศบริเวณด้านหน้าของอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ
หากใครต้องการเดินทางเข้าสู่โซนใจกลางเมือง
ก็จะมีรถแท็กซี่ รถเมล์ รถมินิบัสคอยให้บริการ
ตารางของเส้นทางการบินภายในสนามบินเตินเซินเญิ้ต
ซึ่งจะมีอยู่หลากหลายสายการบิน
ผู้โดยสารต่อคิวเช็คอินเพื่อเดินทางไปสิงคโปร์
จุดรับแลกเงินและเคาท์เตอร์ของเวียดนามแอร์ไลน์
จุดจำหน่ายพวกของที่ระลึกต่างๆ
ระหว่างที่รอขึ้นเครื่องก็มีจุดชมเครื่องบินให้ดูกันเพลินๆ
ซึ่งสามารถมองเห็นวิวได้แบบชัดเจน
ผมเดินทางกลับไทยด้วยสายการบินเวียตเจ็ทแอร์ โดยเป็นการเดินทางไปลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
1 มีนาคม 2566
EP.102 บ้านโบราณบิญถวี
บ้าน คือ สถานที่พักผ่อนที่ดีที่สุดของชีวิตมนุษย์และก็เป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ของมนุษย์รวมถึงเป็นสถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสถาบันครอบครัว มนุษย์หลายคนที่ชอบใช้ชีวิตอยู่บ้านแต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ชอบอยู่บ้าน ส่วนผมอาจจะอยู่ระหว่างกลางๆคือมีทั้งช่วงที่ชอบเดินทางและช่วงที่ต้องการพักผ่อนอยู่กับบ้านซึ่งแต่ละคนก็มีบ้านที่มีลักษณะแตกต่างกันไป บางคนอาจจะอยู่คฤหาสน์หรือบางคนอาจจะอยู่แค่กระท่อมเล็กๆแต่บ้านทุกหลังก็ล้วนแต่ให้ความสุขแก่เจ้าของและผู้อาศัยได้เป็นอย่างดี
เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาผมได้ไปท่องเที่ยวที่เมืองเกิ่นเทอในประเทศเวียดนามซึ่งที่เมืองนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆก็คือ ตลาดน้ำไคราง แต่ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเที่ยวตามกระแสหรือไปตามสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ ผมจึงเปิดหาข้อมูลว่าในเมืองเกิ่นเทอมีอะไรน่าสนใจนอกจากตลาดน้ำซึ่งก็ได้เจอกับ บ้านโบราณบิญถวี ซึ่งดูแล้วมีความน่าสนใจดี ผมจึงได้ตัดสินใจเรียกแกร็บเพื่อให้ไปส่งยังสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ทันที
สำหรับบ้านโบราณบิญถวีในเมืองเกิ่นเทอถือว่าเป็นบ้านเก่าแก่โดยเป็นบ้านของคนในตระกูลเดือง ซึ่งบ้านหลังนี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปีแต่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีซึ่งปัจจุบันบ้านโบราณบิญถวีได้แปรเปลี่ยนกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและเปิดให้ผู้คนได้เข้าชมโดยจะมีการเก็บเงินค่าเข้าชมประมาณ 20000 ดงหรือประมาณ 30 บาทซึ่งก็เป็นค่าในการทำนุบำรุงบ้านโบราณให้มีความสวยงามและคงทนอยู่คู่กับเมืองเกิ่นเทอตลอดไป
ส่วนบรรยากาศด้านภายในของบ้านโบราณบิญถวีก็ต้องยอมรับเลยว่าแม้จะเป็นบ้านเก่าแก่มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปีแต่ก็ยังคงมีสภาพแบบสมบูรณ์ซึ่งก็ไ้ดรับการบูรณะและดูแลจากบรรดารุ่นลูกหลานของตระกูลเดืองเป็นอย่างดีซึ่งบริเวณด้านนอกรอบๆบ้านจะมีการปลูกพวกไม้ประดับต่างๆมากมายเพื่อเพิ่มความสดชื่น ส่วนบริเวณภายในบ้านจะเห็นพวกเฟอร์นิเจอร์ต่างๆที่มีคุณค่าทั้งแจกัน ถ้วย ชามและของเก่าที่มีราคาอีกมาย รวมทั้งยังเห็นภาพบรรพบุรุษของตระกูลเดือง นอกจากนั้นแล้วในช่วงปี 1986 บ้านหลังนี้ยังเคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่อง The Lover อีกด้วย
บ้านโบราณบิญถวีเป็นบ้านที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี
โดยตั้งอยู่ในเมืองเกิ่นเทอของประเทศเวียดนาม
บริเวณด้านภายในตัวบ้านจะพบเจอกับของที่มีคุณค่า
และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆมากมาย
โต๊ะและเก้าอี้ไม้ซึ่งยังคงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ยังมีพวกแจกันและถ้วยชามต่างๆ
รูปภาพด้านบนเป็นภาพบรรพบุรุษของตระกูลเดือง
ส่วนด้านขวาเป็นรูปภาพหนังเรื่อง The Lover
ผมเดินสำรวจจนทั่วก็พบว่าบ้านโบราณบิญถวี
ค่อนข้างได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและได้รับการบูรณะอยู่ตลอด
บริเวณภายนอกจะมีการปลูกไม้ประดับต่างๆมากมาย
และมีบ่อน้ำเล็กๆตั้งอยู่ซึ่งให้ความสดชื่นได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้นยังมีร้านขายเครื่องดื่มคอยบริการแก่
ผู้ที่มาเข้าชมซึ่งมีเมนูหลากหลายทั้งกาแฟและชา
ร้านขายพวกภาพวาดงานศิลปะต่างๆ
ภาพส่วนใหญ่จะเป็นภาพตลาดน้ำซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเกิ่นเทอ
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
6 มิถุนายน 2566
EP.103 เซาบีช
ชายหาดตอนใต้บนเกาะฟูโกว๊ก
ปัจจุบันล่าสุดคือเดือนมิถุนายน แต่สภาพอากาศโดยรวมของเมืองไทยก็ยังคงร้อนๆอยู่บ้างโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลซึ่งเมื่อพูดถึงหน้าร้อนสำหรับเมืองไทยนั้นก็ถือว่าได้ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อย เพราะปกติในช่วงเดือนมิถุนายนสำหรับเมืองไทยก็เป็นช่วงฤดูกาลหน้าฝนแบบเต็มรูปแบบ แต่ถ้าหากย้อนกลับไปในช่วงหน้าร้อนผมเชื่อครับว่าสถานที่ท่องเที่ยวที่หลายๆท่านจะต้องนึกถึงเป็นอันดับแรกนั่นก็คือ ชายหาดและท้องทะเล
ชายหาดและทะเลในเมืองไทยนั้นมีมากมายหลายแห่งและก็มีความสวยงามไม่แพ้ที่ใดในโลก ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติแวะวเียนมาเที่ยวทะเลที่เมืองไทยกันแบบไม่ขาดสาย ส่วนผมถึงแม้หลังๆจะไม่ค่อยได้ไปเที่ยวทะเลในเมืองไทยแต่ก็มีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวชมบรรยากาศของทะเลและชายหาดของต่างแดนซึ่งหนึ่งในชายหาดของต่างแดนที่ผมได้ไปก็อยู่ในประเทศเวียดนามซึ่งตั้งอยู่บนเกาะฟูโกว๊ก โดยชายหาดที่ผมได้ไปเยี่ยมเยือนเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาก็มีชื่อว่า เซาบีชหรือแปลแบบตรงๆก็คือ ชายหาดทางตอนใต้
สำหรับเกาะฟูโกว๊กปัจจุบันถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเวียดนามเลยทีเดียวครับ โดยมีจุดเด่นก็คือเรื่องของชายหาดที่มีอยู่อย่างมากมาย แต่สำหรับเซาบีชถือว่าเป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของเกาะฟูโกว๊ก โดยเซาบีชตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะและเป็นชายหาดที่ได้รับความนิยมทั้งจากคนเวียดนามและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปัจจุบันมีพวกร้านอาหารและรีสอร์ทตั้งอยู่ใกล้ๆกับชายหาดและมีเตียงนอนอาบแดดซึ่งกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ก็คือพวกฝรั่งซึ่งบรรยากาศก็ดูคล้ายๆกับชายหาดที่เราได้เห็นกันในเมืองไทย
ส่วนบรรยากาศต่างๆที่ผมเดินสำรวจก็พบว่าเซาบีชนั้นความสวยงามของทั้งชายหาดและท้องทะเลยังดูเป็นรองเมืองไทย แต่ถึงความสวยงามจะไม่เท่ากับทะเลที่ประเทศไทยแต่ก็ถือว่าเป็นชายหาดที่มีคนมาท่องเที่ยวกันพอสมควร รวมทั้งมีให้บริการต่างๆทั้งพาราชูตเตอร์ เช่าเจ็ทสกีขับหรือแม้กระทั่งเรือกล้วยอย่างบานาน่าโบ๊ท นอกจากนั้นยังมีจุดถ่ายรูปที่นักท่องเที่ยวมักแวะมาถ่ายรูปเช็คอินกันอย่างต่อเนื่องรวมไปถึงพวกของกินต่างๆทั้งพวกของทอดและไอศครีม ทำให้เซาบีชเป็นชายหาดที่มีความคึกคักและไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจึงถูกยกให้เป็นชายหาดยอดนิยมแห่งเกาะฟูโกว๊ก
เซาบีชเป็นชายหาดที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะฟูโกว๊ก ในประเทศเวียดนาม
จากการที่ผมเดินสำรวจดูก็พบว่าความสวยงามต่างๆ
อาจสู้ทะเลเมืองไทยไม่ได้ แต่ก็มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันพอสมควร
บรรยากาศของชายหาดจะมีต้นมะพร้าวเป็นองค์ประกอบหลัก พร้อมกับทางเดินริมหาดที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา
เซาบีชที่เกาะฟูโกว๊กก็จะคล้ายๆกับทะเลในเมืองไทย
ที่จะมีให้บริการเช่าเจ็ทสกีขับ
ผู้คนจำนวนมากทั้งคนเวียดนามและชาวต่างชาติ
มักนิยมมาเที่ยวพักผ่อนที่เซาบีชกันพอสมควร
เตียงสำหรับนอนอาบแดดซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็คือ ฝรั่ง
ร้านอาหารที่ตั้งอยู่บริเวณริมชายหาดซึ่งราคาน่าจะสูง
แต่ถ้าใครชอบของถูกที่เซาบีชก็มีพวกสตรีทฟู้ดให้ได้เลือกทานกัน
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
12 มิถุนายน 2566
EP.104 เรือนจำเกาะฟูโกว๊ก
คำว่า คุก ในความเข้าใจของผมและของทุกๆท่านน่าจะมีความคิดที่คล้ายๆกันนั่นก็คือ การเป็นสถานที่ที่ไม่น่าอภิรมย์และไม่เหมาะแก่คนธรรมดาทั่วไปอย่างยิ่งนั่นก็เป็นเพราะว่า คุกหรือเรือนจำเป็นสถานทีี่ที่ใช้คุมขังนักโทษที่ได้กระทำความผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองในคดีต่างๆซึ่งปัจจุบันนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำมีมากมายมหาศาลซึ่งคดีต้องโทษอันดับ 1 ก็หนีไม่พ้นเรื่องของยาเสพติดครับซึ่งในปัจจุบันมันคือปัญหาร้ายแรงต่อสังคมไทยและในอีกหลายๆประเทศทั่วโลก
นักโทษที่ถูกคุมขังในเรือนจำก็มีคดีติดตัวที่แตกต่างกันออกไปอย่างในยุคนี้ก็จะมีนักโทษคดียาเสพติดมากกว่าคดีอื่นๆ แต่ถ้าหากย้อนกลับไปในยุคของสงครามอินโดนจีนครั้งที่ 1 ในสมัยที่มีการสู้รบระหว่างฝ่ายฝรั่งเศสกับฝ่ายของเวียดมินห์หรือเวียดนามในปัจจุบัน คุกได้เป็นส่วนหนึ่งที่ใช้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษหรือเชลยศึกซึ่งส่วนมากจะเป็นกลุ่มกองกำลังของเวียดมินห์รวมไปถึงกลุ่มชาวเวียดนามผู้รักชาติซึ่งจะถูกจับมาคุมขังและทำการทรมานอย่างสาหัสที่เรือนจำที่ถูกสร้างขึ้นบนเกาะฟูโกว๊ก
เรือนจำเกาะฟูโกว๊กตั้งอยู่ในหมู่บ้านอันเท่ย โดยที่ฝรั่งเศสได้เริ่มสร้างขึ้นในช่วงปี 1949 และเรือนจำแห่งนี้มีขนาดพื้นที่โดยรวมแล้วกว่า 40 ไร่และสามารถรองรับนักโทษได้ถึง 14000 คน ซึ่งบรรดานักโทษที่ถูกนำมาจองจำที่เรือนจำบนเกาะฟูโกว๊กก็จะเป็นนักโทษคดีการเมืองซึ่งบรรยากาศภายในเรือนจำต้องถือว่าค่อนข้างมีความโหดร้ายอยู่ไม่น้อยและเรือนจำที่เคยใช้คุมขังนักโทษที่ต้องคดีมากกว่า 10 ปีก็แปรเปลี่ยนสภาพกลายเป็นค่ายกักกันเชลยไม่ต่างจากค่ายเอาท์ชวิตช์ในประเทศโปแลนด์เลยทีเดียว
ผมมีโอกาสได้เข้าไปชมบรรยากาศของเรือนจำเกาะฟูโกว๊กซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนสภาพเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ให้นักท่องเที่ยวได้มาศึกษาซึ่งเมื่อเข้าไปชมบรรยากาศด้านก็สัมผัสได้ถึงความโหดร้ายทารุณของเรือนจำแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี โดยสภาพด้านในจะเต็มไปด้วยรั้วลวดหนามรวมไปถึงหอคอยสังเกตุการณ์ที่เอาไว้ใช้ส่องมองนักโทษที่จะหลบหนี ขณะที่ส่วนของเรือนจำก็จะมีการแบ่งเป็นห้องๆและมีรูปปั้นที่แสดงให้เห็นถึงวิธีที่ผู้คุมใช้ทรมานนักโทษซึ่งมีหลายวิธีไม่ว่าจะ ตอกด้วยตะปูหรือเหล็กแหลม เอาเหล็กร้อนมาจี้ตัว จับกดลงไปในถังน้ำ ช็อตไฟฟ้าเข้าสู่ดวงตา นำนักโทษไปทรมานลงในกระทะร้อนและอีกหลายสารพัดวิธีซึ่งล้วนแต่โหดๆและดูซาดิสต์ไม่น้อย
นอกจากนั้นแล้วก็จะมีจุดของโรงครัวซึ่งนักโทษที่มาทำงานในโรงครัวก็ใช่ว่าจะสบายกว่าคนอื่นๆ เพราะอาหารดีๆที่มีประโยชน์ก็จะตกเป็นเมนูของผู้คุม ส่วนนักโทษในหลายครั้งก็มักไม่ได้ทานอาหารหรือถ้าได้ทานก็จะเป็นของที่เน่าเสียที่แทบจะทานไม่ได้กันเลยทีเดียวและในส่วนตจุดอื่นๆที่เหลือก็จะมีรูปปั้นที่นำเสนอให้เห็นวิธีหลบหนีของนักโทษที่ตกเป็นเชลยศึกโดยจะใช้วิธีการขุดพื้นดินและค่อยๆคลานจนเจอกับทางออก โดยผมใช้เวลาในการสำรวจเรือนจำเกาะฟูโกว๊กเกือบๆ 2 ชั่วโมงทำให้ได้ข้อคิดและสัจธรรมต่างๆนานามากมายและขอยกให้เรือนจำเกาะฟูโกว๊กเป็นหนึ่งในสถานที่ที่น่าละอายที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติซึ่งก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เกิดซ้ำรอยขึ้นอีกครั้ง
เรือนจำเกาะฟูโกว๊ก คือ สถานที่ที่ในอดีตเคยใช้ คุมขังนักโทษทางการเมืองซึ่งทั้งหมดจะเป็นชาวเวียดนาม
หอคอยสังเกตุการณ์ที่ผู้คุมใช้ตรวจตรานักโทษที่จะหลบหนี ซึ่งว่ากันว่าหากเจอนักโทษที่จะหลบหนีก็จะใช้ปืนยิงปลิดชีวิตทันที
ด้านภายในเรือนจำมีการแบ่งเป็นห้องหลายห้อง
โดยจะจัดแสดงเกี่ยวกับวิธีทรมานและความเป็นอยู่ของนักโทษ
จุดของโรงครัวซึ่งนักโทษจะถูกใช้ทำอาหารให้แก่ผู้คุม
ส่วนนักโทษแทบไม่ได้อะไรหรือถ้าได้กินก็จะเป็นของเน่าเสีย
รูปปั้นที่แสดงให้เห็นถึงวิธีการทรมานนักโทษในรูปแบบต่างๆ ซึ่งภาพนี้เป็นการตอกด้วยเหล็กแหลมรวมไปถึงตะปู
วิธีทรมานนักโทษมีหลากหลายวิธีรวมไปถึงการช็อตไฟฟ้า
นำนักโทษลงไปในกระทะร้อนๆรวมถึงจับกดน้ำแล้วเอาเหล็กเคาะ
ชีวิตความเป็นอยู่ของนักโทษในเรือนจำซึ่งมีทั้งพวกที่ล้มตาย
ส่วนพวกที่ยังมีลมหายใจอยู่ก็เหมือนกับคนที่กำลังตายทั้งเป็น
วิธีการหลบหลีของบรรดานักโทษซึ่งส่วนใหญ่จะใช้วิธีขุดหลุม
แล้วค่อยๆคลานหาทางไปเรื่อยๆจนเจอกับทางออก
นักโทษบางส่วนที่หลบหนีออกมาได้ในสภาพที่ดูอิดโรย
ซึ่งเปรียบเสมือนพวกเขาได้หลุดพ้นออกจากขุมนรกแล้ว
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
16 มิถุนายน 2566
EP.107 โรงแรมที่พักเมืองลักย้า
เมืองลักย้าในประเทศเวียดนามอาจจะไม่ใชเมืองที่เป็นที่คุ้นหูสำหรับนักท่องเที่ยวไทยและบรรดานักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆมากนักซึ่งก็ไม่แปลกครับ เพราะว่าเมืองลักย้าก็ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักของเวียดนาม โดยที่เมืองลักย้าตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศและอยู่ในพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงแต่ก็ไม่ได้มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเหมือนกับที่เกิ่นเทอหรือแม้กระทั่งเบ๋นแจ โดยส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่แวะมาที่ลักย้าก็มีจุดประสงค์เพื่อต้องการนั่งเรือข้ามไปยังเกาะฟูโกว๊กซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวของเวียดนาม
ผมได้มีโอกาสแวะไปที่เมืองลักย้าเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาซึ่งก็มีเหตุผลที่ไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวคนอื่นๆซึ่งก็คือการนั่งเรือเฟอร์รี่จากลักย้าเพื่อข้ามไปเที่ยวที่เกาะฟูโกว๊ก โดยที่ลักย้ามีเรือเฟอร์รี่ให้บริการไปยังเกาะฟูโกว๊กอยู่ทุกวันและจุดของท่าเรือก็อยู่ใจกลางเมืองซึ่งหาไม่ยาก เนื่องจากลักย้าเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากและด้วยความที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาพักที่ลักย้าก็เพื่อข้ามไปยังเกาะฟูโกว๊ก ทำให้หลายๆคนมักจะเลือกค้างคืนในโรงแรมที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับท่าเรือเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง
โรงแรมในเมืองลักย้าอาจจะมีไม่เยอะเหมือนเมืองใหญ่อื่นๆในเวียดนาม แต่โรงแรมเท่าที่ผมเห็นส่วนมากจะกระจุกตัวอยู่ใกล้ๆกับท่าเรือ โดยหนึ่งในนั้นก็เป็นโรงแรมที่ผมได้เข้าพักซึ่งก็คือ Kiet Hong Hotel ซึ่งทำเลที่ตั้งนั้นถือว่าค่อนข้างดีเนื่องากตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับท่าเรือเมืองลักย้า เรียกได้ว่าเดินข้ามฝั่งถนนก็ถึงจุดของท่าเรือแล้วซึ่งด้วยความที่ทำเลอยู่ติดกับท่าเรือ ทำให้นักท่องเที่ยวที่จะนั่งเรือไปยังเกาะฟูโกว๊กมักเลือกพักที่โรงแรมแห่งนี้กันพอสมควร
ส่วนบรรยากาศของโรงแรมแม้ว่าจะไม่ใช่หรูหราอะไร แต่จุดเด่นก็อย่างที่ผมบอกไปนั่นก็คือเรื่องทำเล โดยที่ผมเลือกพัก 1 คืนในห้องมาตรฐานซึ่งราคาที่ตีเป็นราคาเงินไทยก็อยู่ที่ราวๆเกือบ 500 บาท โดยภายในห้องพักก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งแอร์ ทีวี ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า โต๊ะสำหรับนั่งแต่งหน้าหรือทำงาน โดยมีเตียงนอนให้ 2 เตียงซึ่งขนาดจะแตกต่างกัน ห้องน้ำก็เป็นแบบมาตรฐานทั่วไปของโรงแรมซึ่งมีให้เลือกปรับน้ำร้อนและน้ำเย็นได้ นอกจากนั้นก็ยังมีระเบียงด้านนอกซึ่งสามารถมองเห็นจุดของท่าเรือและอนุสาวรีย์ประจำเมืองลักย้าได้แบบชัดเจน
ห้องมาตรฐานของโรงแรม Kiet Hong Hotel ในเมืองลักย้า
เป็นห้องแบบเตียงคู่ โดยราคาต่อคืนก็เกือบๆ 500 บาท
โต๊ะเอาไว้สำหรับแต่งหน้าและนั่งทำงาน
ทีวีในห้องพักเป็นแบบรุ่นเก่า ส่วนตู้เย็นเป็นแบบขนาดเล็ก โดยน้ำดื่มที่เห็นในตู้เย็นส่วนใหญ่ต้องเสียเงินเพิ่มต่างหาก
ตู้เสื้อผ้าภายในห้องพัก โดยมาพร้อมกับตะกร้าและไม้แขวนเสื้อ
โต๊ะสำหรับนั่งทานอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ
ห้องน้ำจะอยู่ติดกับประตูของห้องพัก
โดยลักษณะของห้องน้ำก็เป็นไปตามมาตรฐานทั่วๆไป
บริเวณระเบียงด้านนอกจะมองเห็นอนุสาวรีย์ประจำเมือง
รวมไปถึงจุดของท่าเรือเมืองลักย้าที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
13 กรกฎาคม 2566
EP.112 นั่งรถมินิบัสระหว่างประเทศ
กัมพูชา - เวียดนาม
การเดินทางในยุคปัจจุบันผมว่ามีความสะดวกสบายอย่างมากและเดินทางไปมาหาสู่กันง่ายขึ้นด้วยไม่ว่าจะเป็นการเดินทางด้วยยานพาหนะชนิดใดก็ตามซึ่งการเดินทางที่สะดวกสบายทำให้เกิดนักเดินทางหน้าใหม่อย่างมากมาย โดยการเดินทางระหว่างประเทศโดยที่ไม่นั่งเครื่องบินก็ถือว่าเป็นอีกทางเลือกยอดนิยมของนักเดินทางในสไตล์แบกเป้เที่ยวซึ่งแน่นอนว่าผมก็คือหนึ่งในนั้นเช่นกันครับ
เวลาผมเดินทางไปต่างประเทศผมไม่ค่อยนิยมการนั่งเครื่องบินเท่าไหร่ โดยส่วนมากมักจะเน้นการเดินทางด้วยรถโดยสารซึ่งการเดินทางในประเทศแถบอาเซียนก็มีเส้นทางระหว่างประเทศอยู่ไม่น้อยและก็มีรถโดยสารให้บริการจากประเทศนึงไปยังประเทศนึงเช่นในเมืองไทยของเราก็มีรถบัสวิ่งไปลาว รถบัสวิ่งไปกัมพูชาหรือจะเป็นรถตู้ที่ข้ามแดนไปมาเลเซีย ส่วนในประเทศอื่นๆก็มีเช่นกันอย่างเช่น รถโดยสารที่วิ่งระหว่างประเทศกัมพูชาและเวียดนาม
ผมมีโอกาสข้ามแดนจากกัมพูชาไปเวียดนามก็หลายครั้งอยู่เหมือนกันและในแต่ละครั้งก็มักจะนั่งรถบัสโดยสารจากกรุงพนมเปญไปยังกรุงโฮจิมินห์ซึ่งเส้นทางนี้ถือว่าเป็นเส้นทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวและใช้เวลาในการเดินทางประมาณแค่ 7 ชั่วโมง โดยรถโดยสารที่ข้ามแดนจากกัมพูชาไปยังเวียดนามก็มีให้บริการอยู่หลายบริษัทซึ่งราคาก็เป็นไปตามมาตรฐานของแต่ละบริษัท ถ้าอยากนั่งสบายก็คงต้องจ่ายแพงหน่อย แต่ถ้าอยากประหยัดงบก็มีตัวเลือกอยู่ไม่น้อยแต่มาตรฐานอาจจะดร็อปลงมา
ครั้งล่าสุดที่ผมเดินทางจากกัมพูชาไปเวียดนาม คือ ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาโดยพวกผมเลือกซื้อตั๋วกับบริษัทวิรัก บุญธรรม ซึ่งเป็นบริษัทเดินรถที่ค่อนข้างมีมาตรฐานของกัมพูชา โดยรถที่ได้นั่งเป็นรถมินิบัสเดินทางจากกรุงพนมเปญไปยังกรุงโฮจิมินห์ใช้เวลา 7 ชั่วโมงกว่า ส่วนค่าตั๋วอยู่ที่ 33 ดอลลาร์หรือตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1100 บาทซึ่งในความคิดก็ถือว่าค่อนข้างแพง แต่ด้วยความที่อยากนั่งแบบสบายๆและได้รถที่มีมาตรฐานจึงยอมจ่ายไป
ส่วนเรื่องการเดินทางผมได้รอบ 11 โมงซึ่งกว่าจะไปถึงที่โฮจิมินห์ก็ราวๆเกือบ 2 ทุ่ม โดยเส้นทางที่รถวิ่งผ่านจะผ่านตัวเมืองสวายเรียงซึ่งเป็นเมืองชายแดนของกัมพูชาก่อนที่จะเข้าไปยังเวียดนาม นอกจากนี้ก็ต้องผ่านจุดผ่านแดนของทั้ง 2 ประเทศโดยด่านของกัมพูชามีชื่อว่า ด่านบาเวท ส่วนด่านของเวียดนามมีชื่อว่า ด่านมอคไบ โดยรถจะมีการจอดให้ผู้โดยสารแวะเข้าห้องน้ำรวมไปถึงจอดแวะทานข้าวในช่วง 5 โมงเย็นในเขตพื้นที่ของประเทศเวียดนาม
รถมินิบัสระหว่างประเทศที่ให้บริการในเส้นทาง
กรุงพนมเปญของกัมพูชา - กรุงโฮจิมินห์ของเวียดนาม
ผมเลือกเดินทางกับบริษัท วิรัก บุญธรรม
ซึ่งเป็นบริษัทเดินรถที่ค่อนข้างมีมาตรฐานดีของกัมพูชา
ตารางเส้นทางเดินรถของบริษัท วิรัก บุญธรรม
ซึ่งมีเส้นทางทั้งในประเทศและเส้นทางระหว่างประเทศ
รถจะแวะจอดให้ผู้โดยสารได้เข้าห้องน้ำ ซื้อของ
โดยจะไปจอดให้ทานข้าวในช่วงเย็นตรงเขตพื้นที่ประเทศเวียดนาม
ด่านพรมแดนของกัมพูชาซึ่งผู้โดยสารต้องลงไป
เพื่อให้เจ้าหน้าที่ปั๊มพาสปอร์ต โดยด่านนี้มีชื่อว่า ด่านบาเวท
บรรยากาศของประเทศเวียดนามซึ่งจะเห็น
มอเตอร์ไซค์จำนวนมากเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น
รถมินิบัสใช้เวลาเดินทางเกือบๆ 8 ชั่วโมง
โดยมาถึงจุดหมายปลายทางที่กรุงโฮจิมินห์ก็เกือบๆ 2 ทุ่ม
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
23 สิงหาคม 2566
EP.117 ตลาดสดเมืองเชาด็อก
เมืองเชาด็อกเป็นเมืองหนึ่งในประเทศเวียดนาม โดยตั้งอยู่ในจังหวัดอันเกียงซึ่งเมืองนี้ไม่ได้เป็นที่คุ้นหูของนักท่องเที่ยวมากนัก แม้แต่คนเวียดนามบางคนก็ยังไม่ค่อยคุ้นกับเมืองเชาด็อกสักเท่าไหร่ โดยเมืองเชาด็อกตั้งอยู่ในทางตอนใต้ของเวียดนามและอยู่ในพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงซึ่งบริเวณนี้เมืองที่นักท่องเที่ยวจะคุ้นเคยก็จะเป็นเกิ่นเทอ เบ๋นแจ กันเสียมากกว่า
ผมไปเที่ยวที่เมืองเชาด็อกเมื่อช่วงเดือนกันยายนของปี 2022 ซึ่งเป็นช่วงหน้ามรสุมของเวียดนามทำให้เจอฝนตกตลอดแต่เมื่อฝนหยุดตกผมก็ได้โอกาสลองลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศของเมืองเชาด็อก โดยสถานที่ที่ผมไปสำรวจก็คือ ตลาดสด ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไปได้ง่ายและสามารถทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตจริงๆของผู้คนในท้องถิ่นนั้นๆ
สำหรับบรรยากาศของตลาดสดที่เมืองเชาด็อกก็ดูไม่แตกต่างจากตลาดในเมืองไทยเท่าไหร่ สินค้าที่ขายก็มีมากมายและเห็นได้ทั่วไปตามท้องตลาดของเมืองไทย โดยจุดที่ผมไปสำรวจผมเน้นเดินดูพวกโซนของกินและของที่ใช้ประกอบอาหารซึ่งมีหลายอย่างทั้งผักสด ผลไม้ พวกอาหารทะเล เนื้อสัตว์ต่างๆ ของแห้ง อาหารสำเร็จรูป นอกจากนั้นพื้นที่ของตลาดเมืองเชาด็อกยังมีอากาศดูเย็นสบายเนื่องจากตั้งอยู่ริมแม่น้ำบาสสัก ทำให้มีลมพัดผ่านอยู่แทบตลอดเวลา
ตลาดสดเมืองเชาด็อกตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชาด็อก
ซึ่งมีสินค้าขายอยู่อย่างมากมาย
ร้านนี้ขายพวกของเล่น ส่วนใกล้ๆกันเป็นร้านขายเสื้อผ้า
ร้านขายพวกอาหารทะเลซึ่งมีหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น
กุ้ง ปลา หอย ปลาหมึก
ไก่ตัวเป็นๆถูกนำมาตั้งขายซึ่งเป็นเรื่องปกติของ
ตลาดสดในประเทศเวียดนาม
ไข่ไก่และไข่เป็ดซึ่งมีราคาเขียนบอกชัดเจน
ร้านอาหารสไตล์ท้องถิ่นก็มีขายอยู่เช่นกัน
ซึ่งจะเป็นเมนูออกแนวพวกข้าวราดแกง
ตลาดสดเมืองเชาด็อกจะตั้งอยู่ริมแม่น้ำบาสสัก ทำให้มีบรรยากาศที่ค่อนข้างเย็นสบาย
แม่น้ำบาสสักเป็นแม่น้ำสายสำคัญของเมืองเชาด็อก
ซึ่งมีทั้งเรือประมงและหมู่บ้านลอยน้ำตั้งเรียงรายกันเต็มไปหมด
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
3 ตุลาคม 2566
EP.125 ซากโบสถ์เก่าเมืองด่งเฮ้ย
สงครามเวียดนามอุบัติขึ้นในช่วงยุคทศวรรษที่ 50 ไปจนถึงประมาณกลางยุค 70 ซึ่งกินระยะเวลาเกือบ 20 ปีซึ่งแน่นอนว่าแม้ฝ่ายเวียดนามเหนือจะเป็นฝ่ายที่มีชัยและสามารถรวบรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ แต่ถึงกระนั้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในสงครามก็คือความสูญเสียครั้งใหญ่ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของทหาร พลเรือนรวมไปถึงสภาพบ้านเมืองที่ถูกถล่มและเสียหายเป็นอย่างมาก
ผมเพิ่งไปเที่ยวเวียดนามมาแบบสดๆร้อนๆเป็นเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ โดยหนึ่งในเมืองที่ได้ไปเที่ยวก็คือ เมืองด่งเฮ้ยซึ่งเป็นเมืองหลักของจังหวัดกว๋างบิ่ญซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางค่อนไปทางเหนือของเวียดนาม เมืองด่งเฮ้ยอาจจะไม่ใช่ไม่ใช่เมืองที่นักท่องเที่ยวทั่วไปรู้จักมากนักแต่ที่นี่ในอดีตเคยได้รับผลกระทบจากสงครามเวียดนามมาเช่นกันซึ่งหลักฐานที่บ่งบอกได้ชัดเจนก็คงเป็นซากโบสถ์เก่าที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองตรงบริเวณสวนสาธารณะริมแม่น้ำยัทเล
สำหรับซากโบสถ์เก่าของเมืองด่งเฮ้ยมีชื่อเรียกก็คือ โบสถ์ตามเต๋า โดยเป็นโบสถ์คาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเวียดนาม โดยถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 จนกระทั่งในช่วงสงครามเวียดนาม ทางฝั่งสหรัฐอเมริกาได้ทำการทิ้งระเบิดในพื้นที่ของจังหวัดกว๋างบิ่ญเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ปี 1965 และนั่นจึงทำให้โบสถ์ตามเต๋าได้รับผลกระทบและได้รับความเสียหายไปอย่างหนัก โดยที่ตัวโบสถ์หลายส่วนถึงกับพังทลายลงไปจากการถูกทิ้งระเบิดและปัจจุบันก็เหลือเพียงซากโบสถ์บางส่วนที่ยังหลงเหลือให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน
สำหรับในปัจจุบันโบสถ์ตามเต๋าได้กลายเป็นอนุสรณ์แห่งสงครามเวียดนามและเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองด่งเฮ้ยโดยที่ตัวซากโบสถ์จะตั้งในพื้นที่ของสวนสาธารณะริมแม่น้ำยัทเลซึ่งในแต่ละวันจะมีผู้คนมาเยี่ยมชมซากโบสถ์เก่าแห่งนี้ เพราะนี่คือหนึ่งในอนุสรณ์แห่งประวัติศาสตร์จากยุคสงครามเวียดนามที่ยังคงหลงเหลือให้ได้เห็น แม้ว่าในปัจจุบันจะเหลือแต่ซากเพียงส่วนนึงก็ตาม
ซากโบสถ์เก่าเมืองด่งเฮ้ย เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถาน
จากเหตุการณ์ยุคสงครามเวียดนาม
สภาพปัจจุบันของโบสถ์ตามเต๋าซึ่งเหลือแต่ซากบางส่วน
โดยสาเหตุเพราะถูกทิ้งระเบิดเมื่อตอนปี 1965
บริเวณรอบๆพื้นที่ของซากโบสถ์เก่าถูกปกคลุมไปด้วยหญ้า
แต่ก็ได้มีการล้อมรั้วเพื่อไม่ให้มีการรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่
จุดด้านหน้าจะมีข้อมูลรายละเอียดของซากโบสถ์เก่า
ซึ่งมีทั้งภาษาเวียดนามและภาษาอังกฤษ
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
28 พฤศจิกายน 2566
EP.129 รถไฟตู้นอนเวียดนาม
ผมชอบการเดินทางและมักชื่นชอบการเดินทางด้วยรถไฟซึ่งการนั่งรถไฟถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเดินทาง โดยผมมีประสบการณ์การนั่งรถไฟทั้งในไทยรวมถึงในต่างแดน สำหรับการนั่งรถไฟในต่างแดนก็จะเป็นการนั่งรถไฟในประเทศเพื่อนบ้านของไทยทั้งกัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย พม่ารวมไปถึงอินโดนีเซีย ซึ่งในประเทศเวียดนามผมมีประสบการณ์ใช้บริการรถไฟตู้นอนของเวียดนามมาประมาณ 2 ครั้ง
ครั้งแรกเกิดขึ้นตอนปี 2018 เป็นการเดินทางสุดทรหดโดยเริ่มเส้นทางจากโฮจิมินห์ไปฮานอย ขณะที่การเดินทางครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนของปี 2023 หรือเมื่อเดือนที่แล้ว โดยผมก็ใช้บริการรถไฟตู้นอนอีกเช่นเคยโดยมีเส้นทางเริ่มต้นจากโฮจิมินห์ที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศไปยังจุดหมายปลายทาง คือ ด่งเฮ้ย ที่อยู่ทางตอนกลางของประเทศ
สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟตู้นอนของเวียดนามในเส้นทาง โฮจิมินห์ - ด่งเฮ้ย ผมเลือกเดินทางไปกับตู้นอนชั้นที่สบายที่สุดและมีราคาแพงที่สุด โดยผมเดินทางไปกับรถไฟขบวน SE4 และเลือกนอนเตียงล่างซึ่งราคาค่าโดยสารตีเป็นเงินไทยก็อยู่ที่ประมาณ 1900 กว่าบาท ส่วนเวลาเดินทางจากต้นทางไปถึงปลายทางจะใช้เวลาทั้งหมด 24 ชั่วโมงหรือประมาณ 1 วันเต็มๆแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับตัวผม เนื่องจากผมเคยนั่งรถไฟในเส้นทางที่ไกลกว่านี้มาแล้ว
โดยการเดินทางเริ่มต้นจากสถานีรถไฟไซ่ง่อนในนครโฮจิมินห์ซึ่งรถไฟเริ่มออกเดินทางตอน 1 ทุ่มตรง ส่วนบรรยากาศบนรถไฟเท่าที่ผมได้สำรวจจนทั่วถ้าเริ่มจากจุดตู้นอนของผมก็จะประกอบไปด้วย 4 เตียงนอนแบ่งเป็นชั้นบนและชั้นล่างอย่างละ 2 เตียง มีจุดไว้สำหรับเปิดปิดไฟ นอกจากนั้นยังมีโต๊ะไว้สำหรับทานอาหารและเครื่องดื่มซึ่งจะตั้งอยู่ตรงหัวเตียงนอนชั้นล่างซึ่งการนอนเตียงล่างสบายที่สุดแต่ราคาก็สูงที่สุดเช่นกัน
ขณะที่ส่วนอื่นๆของรถไฟตู้นอนเวียดนามก็จะมีจุดของห้องน้ำรวมไปถึงอ่างล้างหน้าและล้างมือ มีจุดของตู้น้ำไว้ให้บริการซึ่งมีทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็น นอกจากนั้นก็จะมีตู้นอนที่ราคาถูกลงซึ่งก็เป็นตู้นอนที่มี 6 เตียงนอนและแบ่งออกเป็น 3 ชั้นรวมไปถึงตู้ที่เป็นเบาะนั่งซึ่งราคาถูกที่สุดในขบวนรถไฟ SE4 ขณะที่เรื่องของกินก็ดูจะแตกต่างจากรถไฟของเมืองไทยพอสมควรเพราะว่าจะไม่มีการให้พ่อค้าแม่ค้านำของกินนำขึ้นมาขายให้แก่ผู้โดยสาร แต่จะให้พนักงานบนรถไฟเดินเข็นรถที่มีของกินขายให้แก่ผู้โดยสารไปตลอดทั้งขบวนรถ โดยผมนั่งๆนอนๆอยู่บนรถไฟไปประมาณ 25 ชั่วโมงก็ถึงสถานีรถไฟเมืองด่งเฮ้ยในช่วงเวลา 2 ทุ่ม
ผมนั่งรถไฟเวียดนามขบวน SE4 โดยนั่งเริ่มต้นจาก
สถานีไซ่ง่อนไปยังจุดหมายปลายทางที่สถานีด่งเฮ้ย
ผมได้เดินทางไปกับตู้นอนและนอนเตียงล่าง
ซึ่งมีราคาแพงสุดตีเป็นเงินไทยก็ 1900 กว่าบาท
พื้นที่ทางเดินของตู้นอนบนรถไฟขบวน SE4
อ่างล้างหน้าและล้างมือบนขบวนรถไฟ SE4
จุดให้บริการน้ำร้อนซึ่งเหมาะมากสำหรับใครที่ต้องการ
ทานกาแฟหรือต้มพวกมาม่าคัพ
ของกินบนรถไฟของเวียดนามซึ่งจะแตกต่างจากเมืองไทย
โดยที่นี่จะให้พนักงานเดินเข็นรถมาขายให้แก่ผู้โดยสาร
ตู้นอนรถไฟที่มี 6 เตียงแบ่งเป็นเตียงละ 3 ชั้น
จะมีราคาที่ถูกลงมาแต่การนอนจะอึดอัดกว่าตู้นอนที่มี 4 เตียง
ตู้นี้คือตู้สำหรับนั่งเท่านั้นซึ่งมีราคาถูกที่สุด
วิวบรรยากาศระหว่างทางซึ่งจะมีสลับกันไป
ทั้งวิวของย่านชุมชนและบรรยากาศของท้องทุ่งนา
ผมเดินทางมาถึงสถานีรถไฟเมืองด่งเฮ้ยตอน 2 ทุ่มกว่า
ใช้เวลาการเดินทางทั้งสิ้น 25 ชั่วโมง
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
20 ธันวาคม 2566
EP.130 สะพานมังกรยามค่ำคืน
ผมได้แวะไปเที่ยวที่เมืองดานังของประเทศเวียดนามในช่วงปลายปีซึ่งตรงกับช่วงเดือนพฤศจิกายน โดยอากาศที่ดานังรวมถึงตอนกลางของเวียดนามในช่วงปลายปีไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ครับเพราะตอนผมไปก็เจอฝนตกที่ดานังเกือบตลอด แต่ถึงแม้ช่วงปลายปีจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของที่เมืองดานังแต่ถึงกระนั้นก็มีนักท่องเที่ยวแวะมาเที่ยวที่ดานังกันอยู่พอสมควรโดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้
สำหรับเมืองดานังถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของเวียดนามไม่แพ้ฮานอย ซาปาหรือที่โฮจิมินห์ นอกจากนั้นยังมีเส้นทางบินระหว่างประเทศอยู่มากมายทำให้ที่ดานังมีนักท่องเที่ยวแวะมาเยี่ยมเยือนกันอยู่ตลอด ส่วนแลนด์มาร์กเด่นๆก็คงหนีไม่พ้นสะพานมังกรครับซึ่งเป็นดั่งสัญลักษณ์ประจำเมืองและนักท่องเที่ยวที่แวะมาดานังก็ล้วนแต่มาเที่ยวชมบรรยากาศของสะพานมังกรกันแทบทั้งนั้น
แม้ว่าผมจะเป็นคนที่ไม่ชอบการไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวดังๆ แต่ก็ใช่ว่าจะต้องแอนตี้ไปเสียทั้งหมดซึ่งช่วงที่อยู่ดานัง ผมก็มีโอกาสแวะไปเที่ยวชมและเก็บบรรยากาศของสะพานมังกรมาเช่นกัน โดยที่ผมเลือกไปในช่วงกลางคืนซึ่งจะมีความสวยงามจากแสงสีที่เปิดจนดูสวยงาม แต่ถ้ามาในวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์จะมีการแสดงมังกรพ่นน้ำให้ได้ชมกันด้วย ส่วนบรรยากาศในทุกค่ำคืนก็จะมีการสัญจรของรถยนต์และมอเตอร์ไซค์กันอยู่ตลอด ขณะเดียวกันก็ยังมีบรรดาผู้คนทั้งชาวเวียดนามและชาวต่างชาติแวะมาเดินชมบรรยากาศแลถะถ่ายรูปสะพานมังกรกันอย่างมากมายในทุกๆค่ำคืน
สะพานมังกรเป็นสะพานที่เปิดใช้งานครั้งแรกตอนปี 2013
และเป็นสะพานที่ใช้ข้ามแม่น้ำหาน
ช่วงค่ำคืนจะมีการเปิดไฟแสงสีสวยงาม
และเป็นช่วงที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูปกันอย่างมากมาย
อีกหนึ่งจุดที่ผู้คนนิยมมาถ่ายรูป เพราะได้เห็นบรรยากาศทั้ง
สะพานมังกรรวมไปถึงแม่น้ำหาน
แม่น้ำหานยามค่ำคืนซึ่งถูกรายล้อมไปด้วย
ตึกอาคารต่างๆซึ่งมีการเปิดไฟสีสันสวยงาม
ทางเดินบริเวณริมแม่น้ำหานจะคราคร่ำไปด้วยผู้คน
สะพานมังกรจะเปิดไฟสีสันสวยงามในทุกค่ำคืน แต่ในคืนวันศุกร์ เสาร์อาทิตย์จะมีการแสดงมังกรพ่นน้ำให้ได้ชมกัน
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
29 ธันวาคม 2566
EP.135 ซอยแห่งสตรีทอาร์ต
ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกต่างก็ให้การยอมรับกับงานศิลปะบนกำแพงหรือที่ถูกเรียกกันสั้นๆในชื่อของ สตรีทอาร์ต ซึ่งเป็นสิ่งที่ถือกำเนิดเกิดขึ้นในทวีปยุโรปและปัจจุบันวัฒนธรรมก็แพร่หลายไปยังหลายประเทศทั่วโลกซึ่งในเมืองไทยของเราเองก็มีงานสตรีทอาร์ตกันอย่างมากมายและถ้าหากให้นับดูแล้วผมว่าคงนับกันไม่หวาดไม่ไหว ขณะที่ในประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนของไทยอย่างเวียดนามก็มีงานสตรีทอาร์ตให้ได้ชมกันอยู่ไม่น้อย โดยหนึ่งในจุดชมสตรีทอาร์ตที่มีความน่าสนใจก็คือที่เมืองดานังซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ
ผมไปเที่ยวดานังครั้งล่าสุดก็ตอนปลายปี 2023 ซึ่งผมมีเวลาไม่เยอะมากส่วนมากจึงเน้นสำรวจเมืองและก็ได้ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวจากในกูเกิลแมพซึ่งก็ค้นพบกับซอยแห่งหนึ่งซึ่งไม่ใช่ซอยธรรมดาเพราะภายในซอยจะเต็มไปด้วยภาพสตรีทอาร์ตที่ถูกรังสรรค์อยู่บนกำแพง โดยภาพสตรีทอาร์ตเหล่านี้มีให้ชมกันอย่างมากมายไปตลอดทั้งซอยซึ่งผลงานเหล่านี้ก็มาจากฝีมือของกลุ่มกราฟฟิตี้ฝีมือดีชาวเวียดนามรวมไปถึงชาวต่างชาติบางส่วน
สำหรับภาพสตรีทอาร์ตที่สามารถพบเห็นได้ในซอยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นภาพที่บอกเล่าเรื่องราววิถึชีวิตของชาวเมืองดานังซึ่งส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพด้วยการเป็นชาวประมงซึ่งที่ถูกสื่อออกมาก็จะเกี่ยวกับเรือหาปลาบางภาพก็เป็นเรือกระด้ง นอกจากนั้นก็ยังมีภาพอื่นๆที่ไม่ได้เกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวเวียดนามให้ได้ชมกันอย่างมากมาย โดยการที่งานสตรีทอาร์ตเหล่านี้ตั้งอยู่ในซอยทำให้ผู้ที่เข้ามาเดินชมจะได้เห็นภาพบรรยากาศแบบท้องถิ่นจริงๆ เพราะพื้นที่ในซอยก็จะเต็มไปด้วยบ้านเรือนของชาวบ้านซึ่งขณะที่เดินชมงานสตรีทอาร์ตก็อาจจะได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในซอยไปพร้อมๆกัน
ซอยเล็กๆแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานมังกรในเมืองดานัง
จะเต็มไปด้วยงานภาพสตรีทอาร์ตบนกำแพง
บรรยากาศภายในซอยดูค่อนข้างเล็กแต่เมื่อมีภาพสตรีทอาร์ต
ก็ทำให้พื้นที่ในซอยดูมีสีสันและมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ภาพสตรีทอาร์ตมีอยู่มากมายให้ได้ชมกัน
ซึ่งจะมีภาพที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของชาวเมืองดานังให้ได้ชมด้วย
ภาพผู้คนพายเรือกระด้งออกหาปลา
ถือว่าเป็นภาพวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวเมืองดานัง
เรือประมงเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของเมืองดานัง เพราะที่ดานังเป็นเมืองที่อยู่ติดกับท้องทะเล
ผู้ที่สนใจสามารถมาชมภาพสตรีทอาร์ตกันได้ตลอดเวลา และเข้าชมกันฟรีไม่เสียค่าเข้าชม
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
2 กุมภาพันธ์ 2567
EP.136 บังเกอร์นายพลทหารฝรั่งเศส
ยุทธการเดียนเบียนฟูเป็นสงครามระหว่างฝ่ายฝรั่งเศสกับฝ่ายเวียดนาม โดยเกิดขึ้นในช่วงยุคทศวรรษที่ 50 ซึ่งในสมัยก่อนฝรั่งเศสคือเจ้าอาณานิคมของเวียดนาม แต่เมื่อมีกลุ่มชาวเวียดนามผู้รักชาติได้ลุกฮือต่อต้านการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศส ทำให้สงครามเกิดขึ้นและยุทธการเดียนเบียนฟูก็ได้มีสงครามปะทะกันระหว่าง 2 ฝ่ายซึ่งกินระยะเวลา 1 เดือนกว่าจนในที่สุดฝ่ายกองทัพเวียดนามก็มีชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในปีคริสตศักราช 1954
สำหรับในยุคปัจจุบันเมืองเดียนเบียนฟูคือเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามและเป็นเมืองที่มีพรมแดนติดกับประเทศลาว ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่เดียนเบียนฟูเมื่อช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ผ่านมาซึ่งการเที่ยวที่เมืองเดียนเบียนฟูของผมตลอดทั้ง 4 วัน ผมเน้นในการเดินเที่ยวสำรวจบรรยากาศในตัวเมือง โดยสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆของเมืองเดียนเบียนฟูมักจะมีความเกี่ยวข้องกับสงคราม เพราะที่เมืองแห่งนี้ในอดีตก็คือสมรภูมิการสู้รบกันระหว่างกองทัพเวียดนามกับกองทัพฝรั่งเศส
ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเดียนเบียนฟูผมได้ไปสำรวจอยู่หลายแห่งโดยหนึ่งในนั้นก็คือ บังเกอร์นายพลทหารฝรั่งเศส ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับสะพานเมืองทันห์ สำหรับบังเกอร์นายพลทหารฝรั่งเศสในครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ที่กองทัพฝรั่งเศสใช้เป็นฐานทัพในการบัญชาแผนการรบ นอกจากนั้นยังเป็นสถานที่พักของทหารระดับยศนายพลของทางฝ่ายฝรั่งเศส โดยบรรยากาศของตัวบังเกอร์จะมีลักษณะที่ถูกสร้างโดยการใช้ปูนซีเมนต์ก่อให้สูงซึ่งจะมีบันไดทางลงไปยังชั้นด้านล่างซึ่งจะเป็นจุดของฐานทัพที่ใช้ในการวางแผนการสู้รบ
สำหรับจุดชั้นล่างจะถูกแบ่งห้องทั้งในส่วนของห้องบัญชาแผนการรบพร้อมกับโต๊ะเก้าอี้สีเขียว นอกจากนั้นยังมีแผนที่เส้นทางที่บอกพิกัดในสมรภูมิของการสู้รบซึ่งจากการที่ผมสำรวจดูแล้วแม้ว่าจะเป็นบังเกอร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบชั่วคราว แต่ลักษณะด้านภายในก็ดูไม่อึดอัดมีขนาดกว้างมากพอที่จะเข้าไปพักผ่อนหรือใช้ในการวางแผนการรบซึ่งดูแตกต่างจากอุโมงค์กูจีในนครโฮจิมินห์ซึ่งทหารเวียดนามใช้ในการซุ่มโจมตีศัตรูซึ่งมีลักษณะเล็กแคบและอึดอัด โดยปัจจุบันบังเกอร์นายพลฝรั่งเศสเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของเมืองเดียนเบียนฟูและเปิดให้เข้าชมกันทุกวัน โดยมีราคาค่าเข้าชมอยู่ที่ 20000 ดงหรือประมาณ 30 บาท
บังเกอร์นายพลทหารฝรั่งเศสเป็นหนึ่งใน สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของเมืองเดียนเบียนฟู
จุดจำหน่ายตั๋วค่าเข้าชมโดยตีเป็นเงินไทยประมาณ 30 บาท
บังเกอร์นายพลทหารฝรั่งเศสถูกก่อสร้างด้วยปูนซีเมนต์
โดยเป็นสถานที่บัญชาแผนการรบของทหารฝรั่งเศส
บริเวณชั้นล่างจะเป็นทางเดินชมจุดต่างๆซึ่งถูกแบ่งเป็นห้อง โดยหลักๆจะเป็นจุดที่ใช้วางแผนการสู้รบ
ห้องที่ใช้ในการบัญชาการสู้รบซึ่งจะมีทั้งแผนที่
โต๊ะและเก้าอี้สีเขียว
บังเกอร์นายพลทหารฝรั่งเศสของเมืองเดียนเบียนฟู
มีลักษณะกว้างไม่อึดอัดและเดินได้แบบสบายๆ
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
8 กุมภาพันธ์ 2567
EP.139 กำแพงกระเบื้องโมเสก
งานจิตรกรรมฝาผนังเป็นงานศิลปะที่มีอยู่ให้เห็นกันแทบทุกมุมโลก โดยแต่ละจุดต่างก็มีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป ขณะที่งานจิตรกรรมฝาผนังในกรุงฮานอยของประเทศเวียดนามก็มีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน โดยงานจิตรกรรมฝาผนังในกรุงฮานอยต่างก็ถูกขนานนามว่า ถนนเซรามิก ซึ่งเป็นงานจิตรกรรมฝาผนังที่ใช้กระเบื้องเซรามิกหรืองานโมเสกเป็นองค์ประกอบหลักในการสร้างสรรค์ผลงาน
สำหรับถนนเซรามิกในกรุงฮานอยมีความยาวประมาณ 6.5 กิโลเมตร โดยผลงานจิตรกรรมฝานังจากกระเบื้องโมเสกถูกรังสรรค์จากบรรดากลุ่มศิลปินชาวเวียดนามและยังมีศิลปินจากต่างชาติที่ร่วมสร้างผลงานชิ้นนี้เช่นเดียวกับองค์กรและสถาบันจากทั้งเยอรมัน อิตาลี สหราชอาณาจักร รัสเซียรวมไปถึงเกาหลีใต้ที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ผลงานกำแพงกระเบื้องโมเสกขึ้นมา
ผมได้มีโอกาสไปเดินสำรวจดูกำแพงกระเบื้องโมเสกมาเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาซึ่งจากที่ได้สำรวจดูก็พบว่าภาพต่างๆที่อยู่บนกำแพงมักจะเป็นภาพที่บอกเรื่องราวของประวัติศาสตร์ของประเทศเวียดนามรวมถึงวัฒนธรรมต่างๆ นอกจากนั้นยังมีภาพที่เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงฮานอยอย่างเช่น เจดีย์เสาเดียว ซึ่งภาพจิตรกรรมฝาผนังกระเบื้องโมเสกได้ถูกบันทึกจากกินเนส์เวิล์ดเรคคอร์ดว่าเป็นกำแพงกระเบื้องโมเสกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ส่วนบรรยากาศบริเวณจุดชมวิวกำแพงกระเบื้องโมเสกต้องยอมรับว่าค่อนข้างที่จะดูวุ่นวายเนื่องจากกำแพงกระเบื้องโมเสกหรือถนนเซรามิกตั้งอยู่ติดกับถนนสายหลักที่มีการจราจรพลุกพล่านรวมถึงยังมีปัญหาเรื่องฝุ่นควันและมลพิษ ทำให้การที่จะเดินชมงานจิตรกรรมฝาผนังของถนนเซรามิกคงอาจจะต้องหาหน้ากากอนามัยมาสวมใส่เพื่อป้องกันมลพิษทางอากาศขณะที่มลพิษทางเสียงก็มีอยู่ไม่น้อย เนื่องจากการจราจรของที่เวียดนามมักจะมีการบีบแตรกันเป็นประจำนั่นจึงทำให้การเดินชมกำแพงกระเบื้องโมเสกอาจจะต้องใช้ความอดทนกันสักหน่อย
กำแพงกระเบื้องโมเสกหรือถนนเซรามิก
เป็นงานจิตรกรรมฝาผนังที่ตั้งอยู่ในกรุงฮานอยของประเทศเวียดนาม
ภาพบนกำแพงกระเบื้องโมเสกจะบอกเล่าถึงวัฒนธรรม
วิถีชีวิตรวมไปถึงประวัติศาสตร์ของทางเวียดนาม
กำแพงกระบื้องโมเสกมีความยาวกว่า 6.5 กิโลเมตร
และถูกบันทึกให้เป็นกำแพงกระบื้องโมเสกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ภาพจิตรกรรมฝาผนังได้รับการรังสรรค์จากจิตรกรชาวเวียดนาม
รวมไปถึงองค์กรและสถาบันการศึกษาของต่างประเทศ
ระหว่างที่เดินชม ผมก็ได้ยินเสียงการบีบแตรดังสนั่น
เพราะถนนเซรามิกตั้งอยู่ในย่านที่วุ่นวายอีกแห่งหนึ่งในกรุงฮานอย
VIDEO
คลิปวีดีโอ
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
5 มีนาคม 2567
EP.145 ร้านกาแฟไฮแลนด์
อเมซอน คือ ชื่อร้านขายกาแฟและเครื่องดื่มชื่อดังของเมืองไทยและเป็นแบรนด์ที่คนไทยสร้างคนไทยทำซึ่งในปัจจุบันร้านอเมซอนก็ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างมากและได้มีร้านอเมซอนหลากหลายสาขาตั้งอยู่ทั้งตามห้างสรรพสินค้ารวมไปถึงในปั๊มน้ำมัน ปตท. โดยผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบทานเครื่องดื่มของร้านอเมซอนแม้ว่าอาจจะไม่บ่อยนักแต่เมื่อมีโอกาสก้มักแวะเข้าไปสั่งเครื่องดื่มและขนมปังทานอยู่เรื่อยๆ
เมืองไทยของเรามีร้านอเมซอนที่เป็นร้านขายกาแฟและเครื่องดื่มที่มีชื่อเสียง ขณะที่ในประเทศเวียดนามก็มีร้านกาแฟและเครื่องดื่มที่เป็นแบรนด์เวียดนามแท้ๆซึ่งก็คือ ร้านไฮแลนด์คอฟฟี่ ตอนผมไปเที่ยวเวียดนามผมก็มักจะแวะเข้าไปนั่งสั่งเครื่องดื่มทานอยู่เสมอทั้งนี้ก็อยากรู้ว่าเมนูต่างๆและรสชาติจะสู้กับทางอเมซอนของบ้านเราได้หรือเปล่า
สำหรับประวัติของกาแฟไฮแลนด์นั้นถูกก่อตั้งครั้งแรกในปี 1999 โดยนักธุรกิจลูกครึ่งเวียดนาม - อเมริกัน โดยช่วงแรกนั้นเป็นแค่การจำหน่ายกาแฟบรรจุกล่องเพื่อขายตามซุปเปอร์มาร์เกต แต่ต่อมาเมื่อได้รับความนิยมมากขึ้นก็ได้มีการเปิดสาขาแรกที่นครโฮจิมินห์เมื่อปี 2002 และในปี 2009 ก็ได้มีการขยายสาขาไปยัง 6 เมืองใหญ่ของเวียดนามและมีสาขาไม่ต่ำกว่า 80 สาขา
ปัจจุบันร้านกาแฟไฮแลนด์มีสาขาอยู่มากมายไปทั่วทั้งประเทศเวียดนาม โดยนอกจากพวกเมนูกาแฟแล้วก็ยังเมนูน้ำปั่นซึ่งมีอยู่หลากหลายเมนู นอกจากนั้นยังมีขนมปังที่เอาไว้ทานคู่กับเครื่องดื่มและยังได้มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งเมล็ดกาแฟคั่วบดและสินค้าของที่ระลึกทั้งกระติกน้ำ แก้วน้ำและอื่นๆอีกมากมาย ส่นราคาเท่าที่ผมลองคำนวณเป็นเงินไทยก็พบว่าไม่ค่อยต่างจากราคาที่ขายในร้านอเมซอนมากนัก ส่วนเรื่องรสชาติคงแล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคล โดยร้านกาแฟไฮแลนด์ที่ผมได้ไปเก็บภาพบรรยากาศมาก็เป็นสาขาที่อยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟในกรุงฮานอย
ไฮแลนด์คอฟฟี่ เป็นร้านกาแฟชื่อดังสัญชาติเวียดนาม
โดยก่อตั้งครั้งแรกในปี 1999
จุดสั่งเครื่องดื่มซึ่งผมสังเกตุมีเมนูให้เลือกค่อนข้างเยอะ
ไม่ต่างจากร้านกาแฟอเมซอนในบ้านเรา
ขนมปังหลากหลายไว้ทานคู่กับพวกกาแฟและเครื่องดื่ม
สินค้าต่างๆที่มีจำหน่ายภายในร้านซึ่งจะมีทั้ง กระติกน้ำ แก้วน้ำ เมล็ดกาแฟคั่วบด
บรรยากาศภายในร้านกาแฟไฮแลนด์
โดยสาขานี้อยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟในกรุงฮานอย
ผมลองสั่งมา 1 เมนูซึ่งก็คือคุ้กกี้แอนด์ครีมปั่น
ราคาแก้วนึงก็ไม่ต่างจากร้านอเมซอนบ้านเรา
เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
18 เมษายน 2567
EP.150 ถ้ำมัว
นินห์บิญ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามโดยตั้งอยู่ห่างจากกรุงฮานอยไปประมาณ 1.30 - 2 ชั่วโมง โดยสามารถเดินทางไปได้ทั้งรถยนต์รวมไปถึงรถไฟซึ่งผมได้มีโอกาสไปเที่ยวที่เมืองนินห์บิญในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาและเป็นช่วงที่เพิ่งผ่านพ้นช่วงปีใหม่มาไม่กี่วัน โดยที่สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ของนินห์บิญก็คือ สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติซึ่งมีอยู่อย่างมากมาย
ผมพักอยู่ที่นินห์บิญประมาณ 3 คืนและใช้เวลาที่มีอยู่ไม่มากนักในการสำรวจพื้นที่ของนินห์บิญซึ่งแน่นอนว่าที่นี่มีจุดเด่นเรื่องของธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นการเดินขึ้นเขาหรือการล่องเรือชมแม่น้ำ โดยหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของนินห์บิญซึ่งผมได้ไปสำรวจก็คือ ถ้ำมัว ซึ่งว่ากันว่านี่คือจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดของเมืองนินห์บิญกันเลยทีเดียว
ถ้ำมัวมีบันไดทางเดินเพื่อไปยังจุดชมวิวซึ่งอยู่ด้านบนสุดอยู่ที่ประมาณเกือบๆ 500 ขั้นซึ่งแม้ว่าอาจจะดูว่าไม่เท่าไหร่นัก แต่เมื่อเดินจริงแล้วก็เอาหลายคนถึงกับหอบและออกอาการเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ค่อนข้างและรู้สึกเหนื่อยอยู่ไม่น้อย เนื่องจากว่าทางเดินขึ้นถ้ำมัวมีลักษณะทางเดินที่ค่อนข้างจะชันนั่นทำให้นักท่องเที่ยวจะเกิดอาการเหนื่อยมากเป็นพิเศษ
ในขณะที่ผมเดินขึ้นไปเรื่อยๆก็จะเจอนักท่องเที่ยวมากมายจากหลากหลายชาติซึ่งจะมีกลุ่มแบ็คแพ็คเกอร์ที่เดินทางมากันเองรวมไปถึงกลุ่มที่มากันแบบกรุ๊ปทัวร์ โดยเมื่อเดินไปจนถึงยอดด้านบนสุดก็ทำให้ความเหนื่อยล้าจากการเดินขึ้นมาหายไปในทันที โดยที่ผมใช้เวลาอยู่พักนึงในการชมบรรยากาศวิวทิวทัศน์จากบริเวณจุดชมวิวของถ้ำมัวซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีความสวยงามสมกับเขาร่ำลือกันจริงๆ เพราะบรรยากาศที่ได้เห็นก็จะเป็นวิวของธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นภูเขา แม่น้ำไปจนถึงท้องนาและบ้านเรือนของผู้คนซึ่งสามารถมองเห็นวิวได้ถึง 360 องศา
นอกจากนั้นยังมีจุดที่สามารถชมวิวที่อยู่บนยอดสูงสุดซึ่งจะอยู่บริเวณรูปปั้นมังกร แต่จุดนี้ผมไม่แนะนำให้ขึ้นไปเพราะค่อนข้างเสี่ยงและไม่มีทางบันไดให้เดินขึ้นไปนั่นหมายความว่าถ้าหากพลาดขึ้นมาก็อาจเกิดอันตรายถึงชีวิต ส่วนราคาค่าเข้าชมของถ้ำมัวจะอยู่ที่ 100,000 ดงหรือตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 140 บาท นอกจากนั้นยังมีจุดถ่ายรูปอีกมากมายรวมทั้งยังมีการให้บริการเช่าชุดพื้นเมืองซึ่งบรรยากาศของถ้ำมัวในแต่ละวันค่อนข้างคึกคัก เพราะนี่คือหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองนินห์บิญนั่นเอง
จุดทางเข้าของถ้ำมัวซึ่งราคาตั๋วจะอยู่ที่ 100,000 ดง หรือประมาณ 140 บาท
ร้านให้เช่าชุดพื้นเมืองซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่บริเวณด้านนอก
เมื่อเดินเข้าไปก็จะเจอกับจุดถ่ายรูปมากมาย
รูปปั้นตัวละครไซอิ๋วซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยว นิยมมาถ่ายรูปกัน
บันไดทางเดินเพื่อไปยังจุดชมวิว
โดยมีบันไดอยู่ราวๆเกือบ 500 ขั้น
นักท่องเที่ยวเดินขึ้นถ้ำมัวซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการคล้ายกัน
นั่นก็คือ หอบและเหนื่อยล้า เนื่องจากทางเดินค่อนข้างชัน