EP.36 รถไฟตู้นอนชั้น 1 แห่งเวียดนาม
รถไฟ คือ พาหนะการเดินทางชนิดหนึ่งที่เป็นทางเลือกให้แก่ผู้โดยสารที่ชื่นชอบบรรยากาศแบบชิวๆสโลว์ไลฟ์ เพราะบรรยากาศของการเดินทางด้วยรถไฟส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเร่งรีบเหมือนการเดินทางด้วยพาหนะชนิดอื่น เพราะฉะนั้นเมื่อพวกคุณตัดสินใจที่จะนั่งรถไฟแล้วก็แน่นอนว่าคุณยอมรับได้กับบรรยากาศที่ไปแบบช้าๆเนิบๆไม่รีบร้อน แต่ด้วยความช้าๆนี่แหละทำให้ผู้โดยสารรถไฟได้สัมผัสกับบรรยากาศข้างทางแบบเต็มที่ทั้งการเห็นวิวทิวทัศน์ต่างๆที่หาไม่ได้จากการนั่งเครื่องบิน เรือ หรือแม้กระทั่งรถยนต์ ปัจจุบันการเดินทางด้วยรถไฟจึงยังเป็นพาหนะที่สำคัญสำหรับผู้โดยสารที่มีเวลาในการเดินทางพอสมควรหรือผู้ที่ชื่นชอบและรักรถไฟก็มักเลือกเดินทางด้วยไฟเป็นอันดับแรกเสมอ
ปัจจุบันในหลายประเทศก็มักจะมีการเดินทางด้วยรถไฟ มีสถานีรถไฟในหลากหลายเมืองและมีรถไฟที่วิ่งข้ามพรมแดนระหว่างประเทศด้วยเช่นกันที่ดังๆก็คงจะหนีไม่พ้น ทางสายไฟสายทรานไซบีเรียซึ่งวิ่งข้าม 2 ทวีปคือเอเชียและยุโรป ขณะที่รถไฟในเวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ผมได้มีโอกาสไปสัมผัสมาซึ่งรถไฟของประเทศเวียดนามนั้นมีสถานีอยู่ในหลายเมืองซึ่งส่วนมากก็จะอยู่ตามเมืองท่องเที่ยวหลักๆที่หลายคนพอจะคุ้นหูกันดี คือ ฮานอย ซาปา เว้ ดานัง ญาจางรวมไปถึงโฮจิมินห์ โดยประสบการณ์ตรงของผมที่ได้นั่งรถไฟในเวียดนามมีอยู่ประมาณ 3-4 ครั้งแต่ครั้งที่ทรหดที่สุดคงหนีไม่พ้นตอนนั่งจากโฮจิมินห์ไปที่ฮานอย ส่วนครั้งล่าสุดเกิดขึ้นตอนเดือนพฤษภาคมปี 2019 โดยเริ่มจากญาจางไปลงที่โฮจิมินห์ซึ่งผมเลือกการเดินทางในรอบดึก เนื่องจากต้องการประหยัดค่าที่พักไปอีก 1 คืน การเดินทางจากญาจางไปโฮจิมินห์ด้วยรถไฟจะใช้เวลาเกือบ 9 ชั่วโมง ออกจากญางจากประมาณตอนหัวค่ำถึงโฮจิมินห์ก็ประมาณเช้ามืดตี 5 ส่วนค่าโดยสารจะอยู่ที่ประมาณ 8 แสนดองหรือคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณเกือบ 1100 บาท
ส่วนที่เห็นราคาเป็นหลักพันนั้นก็เป็นเพราะผมเลือกนั่งรถไฟตู้ขบวนชั้น 1 ซึ่งเป็นชั้นที่หรูหราที่สุดและสบายที่สุดราคาในระดับนี้จึงไม่น่าแปลกใจ สำหรับรถไฟชั้น 1 ตู้นอนที่ผมเลือกนั้นจะมีลักษณะเป็น 4 เตียงโดยอยู่ข้างบน 2 และข้างล่างอีก 2 ที่ปลั๊กไฟไว้ให้สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือ มีโต๊ะที่พับเก็บได้เป็นจุดไว้สำหรับวางขางในห้องมีไฟคอยให้แสงสว่างยามค่ำคืนมีหมอนและผ้าห่มรวมไปถึงผ้าม่านในทุกตู้นอน โดยราคาระหว่างเตียงบนและเตียงล่างก็จะแตกต่างกัน สำหรับคนตัวใหญ่การนอนที่เตียงบนเป็นสิ่งที่ไม่แนะนำเพราะทั้งต้องปีนและการขยับตัวก็ทำได้ลำบากแต่ของแบบนี้คงขึ้นแต่คนชอบ บางทีคนก็อาจชอบเตียงบนมากกว่าเตียงล่าง โดยตู้นอนชั้น 1 ส่วนมากที่ผมเห็นจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เลือกจองกันโดยมีคนเวียดนามมาปะปนบ้าง ส่วนจุดอื่นๆบนรถไฟผมได้มีโอกาสเดินสำรวจทั้งหมด นอกจากตู้นอนชั้น 1 แล้วยังมีตู้นอนชั้น 2 ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Hard Berth ลักษณะจะลำบากกว่าตู้ชั้น 1 เพราะจะมีทั้งสิ้น 6 เตียงแบ่งออกเป็นฝั่งละ 3 เตียงบรรยากาศก็ดูคับแคบและอึดอัดกว่าชั้นนี้ส่วนมากก็จะเป็นคนท้องถิ่นที่เลือกกันแต่ก็มีบ้างที่จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการเซฟเงินเลยเลือกตู้นอนรถไฟในชั้นที่ 2
ขณะที่ในส่วนอื่นๆนอกจากชั้นตู้นอนแล้วยังมีส่วนของชั้นประหยัดที่จะเป็นพวกเก้าอี้อย่างเดียวไม่มีตู้นอนเหมือนชั้นที่ 1 และ 2 โดยถ้าราคาแพงที่สุดจะเป็นเก้าอี้แบบเบาะนิ่มๆสามารถปรับเอนนอนได้ ส่วนที่ราคาถูกที่สุดจะเป็นเก้าอี้เบาะแข็งปรับเอนไม่ได้ลักษณะเหมือนเก้าอี้นั่งตามสวนสาธารณะ แต่ไม่ว่าจะตู้หรูหราหรือตู้ราคาถูกแต่ละห้องก็จะได้รับความเย็นจากแอร์ด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนห้องน้ำผมว่ารถไฟเวียดนามเขาทำได้ดีจุดของที่ปัสสาวะจุดของอ่างล่างหน้าดูดีกว่ารถไฟไทย ส่วนตู้เสบียงนั้นผมเดินเข้าไปพยายามถ่ายรูปแต่ถูกเจ้าหน้าที่บนรถไฟสั่งห้ามถ่ายเลยอดเก็บบรรยากาศมาฝากกัน ขณะที่ในเรื่องของอาหารรถไฟของเวียดนามจะแตกต่างจากไทยชัดเจน คือ จะไม่ให้พวกพ่อค้าแม่ค้าคนนอกนำอาหารขึ้นมาขายบนรถไฟแต่จะเป็นเจ้าหน้าที่บนรถไฟนี่แหละที่จะเข็นพวกอาหารและเครื่องดื่มมาขายให้แก่ผู้โดยสารซึ่งตรงจุดนี้ผมชอบรถไฟแบบไทยๆมากกว่า เพราะเสน่ห์ที่ดึงดูดส่วนหนึ่งของรถไฟไทยก็คือการที่พ่อค้าแม่ค้านำของขึ้นมาขายบนรถไฟนี่แหละบรรยากาศแบบบ้านๆดูสบายๆจึงเป็นเสน่ห์ที่อยู่คู่กับรถไฟมาอย่างยาวนาน
เพื่อประหยัดค่าที่พักไปอีก 1 คืน
ต่างก็หิ้วสัมภาระขึ้นรถไฟ
ผมเลือกตู้นอนชั้น 1 ราคาจึงแพงสุดประมาณเกือบ 1100 บาท
ลักษณะจะมีเตียงนอน 4 ชั้นมีปลั๊กไฟให้ชาร์จมือถือ
โดยแบ่งเป็นฝั่งละ 3 เตียงดูคับแคบกว่าชั้นที่ 1
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น