วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

 


EP.40 จังหวัดเบ๋นแจ

ผมโปรยหัวข้อมาแบบสั้นๆให้จำกันได้แบบง่ายๆเช่นนี้ก็เพราะว่าบทความที่เขียนในครั้งนี้อาจจะไม่ได้มีอะไรยืดยาวหรือซับซ้อนมากมายนัก เนื่องจากว่าบทความนี้จะพูดถึงจังหวัดแห่งหนึ่งในประเทศเวียดนามที่ตั้งอยู่ทางดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง โดยชื่อของจังหวัดก็คือ เบ๋นแจ สำหรับนักท่องเที่ยวหลายคนคงไม่ค่อยคุ้นหูเพราะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักของเวียดนาม โดยออกแนวเป็นเมืองบรรยากาศแบบชนบทซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ของเบ๋นแจก็จะเป็นการทำสวนผลไม้กันซะส่วนมาก โดยผลไม้หลักของที่เบ๋นแจก็คือสวนมะพร้าวเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ขึ้นชื่อของจังหวัดเบ๋นแจกันเลยทีเดียว

หากจะพูดเปรียบเทียบให้นึกถึกกันได้แบบง่ายๆ เบ๋นแจก็เปรียบเสมือนสมุทรสงครามซึ่งพื้นที่ส่วนมากก็จะเป็นพื้นที่สวนมะพร้าว ชาวบ้านทำไร่ทำสวนกันเป็นอาชีพหลัก ตอนที่ผมนั่งรถเข้าสู่เขตจังหวัดเบ๋นแจก็เริ่มสังเกตุได้ว่าจะมีร้านขายของฝากอยู่ริมทางและส่วนมากสินค้าก็จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากมะพร้าว โดยลูกอมรสมะพร้าวเป็นสิ่งที่พบเห็นได้มากที่สุดและคนเวียดนามจากพื้นที่อื่นเมื่อได้มาที่เบ๋นแจก็มักจะซื้อลูกอมรสมะพร้าวเป็นของฝากให้แก่ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง นอกจากที่จะโดดเด่นในเรื่องของการทำสวนมะพร้าวแล้ว จังหวัดเบ๋นแจยังมีพื้นที่ค่อนข้างอุมดมสมบูรณ์เป็นพื้นที่ที่ส่งออกปลาดอร์รี่เป็นอันดับต้นๆของโลกและการทำประมงก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่พบได้มากพอๆกับการทำสวนผลไม้ สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆก็มักจะการซื้อทัวร์เพื่อนั่งเรือเข้าชมวิถีชีวิตของชาวบ้านโดยเรือจะลัดเลาะไปตามร่องสวนซึ่งจะมีทั้งสวนมะพร้าว สวนกล้วยและผลไม้ชนิดอื่นๆอีกมากมาย

ผมนั่งรถจากโฮจิมินห์ไปลงที่เบ๋นแจใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าและเข้าพักที่โฮมสเตย์แห่งหนึ่งโดยอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัวชาวเวียดนาม จริงๆทางที่พักได้เสนอทัวร์เที่ยวชมสวนมะพร้าวให้แก่ผม แต่ผมปฏิเสธไปก็เพราะว่าบรรยากาศไม่แตกต่างจากเมืองไทยมากนัก ถ้าเป็นฝรั่งอาจจะตื่นเต้นแต่คนไทยอย่างเราๆก็คงจะเฉยๆ ผมจึงตัดสินใจสำรวจเมืองเบ๋นแจด้วยตนเองโดยการใช้จักรยานของที่พักปั่นสำรวจเมืองภายใน 1 วัน โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงสายแต่พอประมาณบ่ายโมงกว่าผมก็ขอยอมแพ้เพราะแดดที่แรงร้อนระอุไม่แพ้เมืองไทย สุดท้ายจึงกลับมาที่พักพอช่วงเย็นก็ออกไปสำรวจเมืองใหม่อีกรอบโดยได้ไปห้างที่ใหญ่ที่สุดของเมืองเบ๋นแจซึ่งดูแล้วบิ๊กซีหรือโลตัสของบ้านเราบางที่ยังดูใหญ่กว่า รวมถึงไปนั่งชมบรรยากาศบริเวณอนุสาวรีย์ประจำเมืองที่จะมีคนท้องถิ่นมาออกกำลังกายหรือนั่งพักผ่อนกันพอสมควร ซึ่งจากภาพรวมที่ผมได้ไปเห็นและสัมผัสด้วยตนเองก็คิดว่า เบ๋นแจคือหนึ่งในเมืองที่ค่อนข้างมีวิถีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์และผ่อนคลายหากใครไปเที่ยวที่เวียดนามแล้วเบื่อความวุ่นวายของเมืองใหญ่ ผมว่าการมาพักผ่อนที่เมืองเบ๋นแจทางตอนใต้ของเวียดนามก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมเอาอย่างมาก


เบ๋นแจ จังหวัดที่อยู่ทางตอนใต้ของเวียดนาม
ตั้งอยู่บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง

เบ๋นแจ มีชื่อเสียงเรื่องของมะพร้าว
พื้นที่ส่วนใหญ่ก็มักเห็นการทำสวนปลูกมะพร้าวกันเยอะ

ผมตัดสินใจสำรวจเมืองเบ๋นแจภายใน 1 วัน
โดยการขี่จักรยาน

ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองเบ๋นแจ
ขนาดประมาณบิ๊กซีหรือโลตัสของบ้านเรา

โซนเครื่องเล่นภายในห้าง

โซนของร้านหนังสือ

โซนของบรรดาเสื้อผ้า

หลังจากเดินเล่นในห้างจนเพลิน
ผมก็ออกมาซื้อน้ำอ้อยทานดับกระหาย

รสชาติหวานอร่อยชื่นใจ
แต่ราคาจำไม่ได้แล้วว่าเท่าไหร่

อนุสาวรีย์ประจำเมืองเบ๋นแจ
ดูแล้วน่าจะเกี่ยวกับเรื่องการกู้ชาติหรือสงครามในอดีต

ภาพบนผนังกำแพงบริเวณอนุสาวรีย์ใจกลางเมือง

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

 

EP.39 หมู่บ้านชนบทแห่งเมืองพะสิม

ประเทศพม่าจริงๆแล้วหากได้สำรวจจริงๆจังๆคงต้องใช้ระยะกันอยู่พอสมควร เพราะพื้นที่ของพม่านั้นก็ค่อนข้างจะกว้างใหญ่และไม่ได้มีดีเพียงแค่เมืองท่องเที่ยวดังๆอย่าง ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ พุกาม ยังคงมีเมืองในพม่าที่ตกสำรวจอยู่อีกหลายเมืองและด้วยความที่รสนิยมการท่องเที่ยวของผมที่มักชอบไปในเมืองที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลัก ทำให้ผมได้มีโอกาสได้ไปสัมผัสกับเมืองหนึ่งเมืองในพม่าซึ่งถือว่าเป็นเมืองหลักของเขตอิรวดี ชื่อเมืองนั้นก็คือ พะสิม ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงย่างกุ้งมาทางตะวันตกเฉียงใต้โดยมีระยะทางห่างกันคือ 190 กิโลเมตร

ผมนั่งรถบัสจากย่างกุ้งมาลงที่พะสิมใช้ระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง โดยในอดีตพะสิมเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรมอญ แต่ปัจจุบันเหลือชาวมอญอาศัยอยู่กันน้อยมากและมีคนเชื้อชาติอื่นเข้ามาอาศัยอยู่แทน สำหรับจุดเด่นของเมืองพะสิมก็จะมีแม่น้ำอิรวดีซึ่งถือว่าเป็นแม่น้ำสายหลักของพม่าคอยหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนในเมือง หลายคนมักประกอบอาชีพทำประมงหรือการขนส่งทางเรือ ขณะเดียวกันเมืองพะสิมยังมีโรงเลื่อยอยู่เป็นจำนวนมากและมีโรงงานทำร่มกันแดดซึ่งถือว่าเป็นสินค้าอันมีชื่อเสียงประจำเมืองพะสิม โดยตอนที่ผมไปเที่ยวเป็นหน้าฝนพอดีทำให้การเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวดังๆในพะสิมยากลำบาก ส่วนใหญ่จึงเดินสำรวจบรรยากาศรอบๆโรงแรมซึ่งอยู่ติดกับริมแม่น้ำอิรวดีและในช่วงวันที่ใกล้จะกลับย่างกุ้ง ผมได้สังเกตุเห็นว่ามีแพข้ามฟากไปยังอีกฟากฝั่งของแม่น้ำจึงตัดสินใจลองใช้บริการดูซึ่งปรากฎว่าฝั่งที่ผมข้ามแม่น้ำไปเป็นฝั่งย่านหมู่บ้านชนบทของเมืองพะสิมซึ่งมีความแตกต่างจากฝั่งที่ผมพักอย่างมากเลยทีเดียว

สำหรับหมู่บ้านชนบทในเมืองพะสิมบรรยากาศโดยส่วนมากก็จะเป็นหมู่บ้านที่ดูไม่หรูหราเน้นความเรียบง่ายและจากที่ผมได้สังเกตุดูก็จะมีอาศัยกันอยู่หลายหลังคาเรือน โดยจะมีทั้งที่เป็นบ้านแบบกระต๊อบเล็กๆหรือเป็นบ้านไม้สลับกันไป นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีในส่วนของวัดซึ่งจากการคาดเดาคงน่าจะเป็นวัดในสไตล์แบบมอญ ปกติแล้วทั่วประเทศพม่าก็มักจะมีวัดกันอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองเนื่องจากคนพม่าค่อนข้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ต่อให้ไม่ใช่วัดหยุดหรือวันสำคัญทางศาสนาก็มักจะพากันไปทำบุญที่วัดกันอยู่เสมอ ส่วนบรรยากาศอื่นๆของบริเวณหมู่บ้านชนบทก็จะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่แม้จะดูไม่หรูหราไฮโซ แต่ชีวิตของพวกเขาก็ดูค่อนข้างมีความสุขใช้ชีวิตกันแบบง่ายๆไม่ต้องไปแก่งแย่งแข่งขันหรือชิงดีชิงเด่นกับใครซึ่งผมก็ได้เห็นผู้คนหลากหลายวัยทั้งคนหนุ่มสาว วัยรุ่น คนแก่เด็กเล็ก บางคนก็ขายของ บางรายก็จับปลา บางคนก็จับกลุ่มนั่งคุยกัน เด็กๆก็พากันวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน วิถีชีวิตแบบเรียบง่ายนี้จึงเป็นสิ่งที่พบเห็นกันได้เป็นประจำในหมู่บ้านชนบทที่เมืองพะสิม


หมู่บ้านชนบทที่เมืองพะสิม

นั่งแพข้ามฟากเพื่อไปชมหมู่บ้านชนบท
โดยราคาค่าข้ามอยู่ที่ 50 จ๊าดหรือ 1 บาทไทย

เมื่อข้ามมาถึงก็จะเจอร้านขายของชำพอดี

ลักษณะของบ้านก็จะมีทั้งที่เป็นแบบกระต๊อบเล็กๆ

หรือจะเป็นแบบบ้านไม้ 2 ชั้นแบบนี้

ในหมู่บ้านก็จะมีบ้านคนอาศัยอยู่หลายหลังคาเรือน
แต่ส่วนมากก็จะอยู่แบบง่ายๆตามแบบฉบับชนบท

ถึงจะไม่ได้มีบ้านใหญ่โตหรูหรา
แต่ชาวบ้านที่นี่ก็ดูมีความสุขกับชีวิต

ทางเข้าวัดประจำหมู่บ้านชนบทแห่งเมืองพะสิม

เท่าที่ได้สำรวจดูผมสันนิษฐานว่า
วัดแห่งนี้น่าจะเป็นวัดมอญช่วงที่มอญเรืองอำนาจ

ภาพที่ชาวบ้านออกเรือหาปลาหรือนั่งซักผ้าริมแม่น้ำ
ถือว่าเป็นภาพที่สามารถพบเห็นได้เป็นประจำในทุกๆวัน

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

 


EP.38 สุสานทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปีค.ศ. 1939 - 1945 โดยหลักๆจะเกิดเหตุการณ์การสู้รบอยู่ใน 2 ทวีปนั่นก็คือ ยุโรปและเอเชีย โดยการสู้รบจะเป็นการสู้กันระหว่าง 2 ฝ่ายคือฝ่ายสัมพันธมิตรมีแกนนำหลักๆก็คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ สหภาพโซเวียต ฝรั่งเศส ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายอักษะที่นำทัพโดย เยอรมัน อิตาลีและญี่ปุ่น สงครามกินเวลาร่วมๆราว 7 ปีก่อนที่จะยุติลงไปและชัยชนะก็เป็นของฝ่ายสัมพันธมิตร แต่เมื่อมีสงครามแน่นอนว่าสิ่งที่หลีกหนีไม่พ้นก็คือเรื่องของความสูญเสีย ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็มีบรรดาทหารล้มตายเป็นจำนวนมากทั้งจากฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ

เมื่อบรรดาทหารที่ไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียชีวิตลงไป ประเทศที่ส่งทหารไปร่วมรบก็มักจะมีการสร้างสุสานทหารเพื่อเป็นเกียรติให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตที่ยอมสละชีพเพื่อประเทศชาติอย่างในประเทศมาเลเซียที่ผมได้ไปเที่ยวเมื่อตอนปลายปี 2019 ซึ่งผมไปเที่ยวที่เมืองไทปิง แม้อาจจะชื่อไม่คุ้นหูคนไทยแต่เมืองไทปิงก็มีสุสานทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ได้ไปชมเช่นกัน โดยบรรยากาศของสุสานทหารที่เมืองไทปิงนั้นค่อนข้างเงียบสงบเลยทีเดียวและลักษณะก็จะค่อนข้างจะเล็ก ถ้าหากเทียบกับสุสานทหารดอนรักที่จังหวัดกาญจนบุรี ผมว่าสุสานทหารที่บ้านเรามีลักษณะกว้างขวางกว่ามาก ส่วนสุสานทหารในมาเลเซียจะแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งซึ่งจะมีคนดูแลคอยตัดหญ้าอยู่ตลอดทำให้ทางเดินและพื้นที่ของสุสานค่อนข้างจะเป็นระเบียบสวยงาม นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมกันได้แบบสบายๆ

สุสานทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เมืองไทปิงก็จะเป็นทหารจากฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งจากมาเลเซีย อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และอังกฤษ ซึ่งในเวลานั้นประเทศเหล่านี้คือประเทศในเครือจักรภพ โดยภายในสุสานก็จะมีป้ายชื่อของทหารที่เสียชีวิตอยู่บริเวณป้ายสุสาน แต่บางป้ายก็ไม่มีชื่อแต่จะบอกยศและตำแหน่งของทหารผู้นั้นพร้อมกับสัญชาติว่ามาจากประเทศอะไร นอกจากจุดของสุสานแล้วก็จะมีในส่วนของไม้กางเขนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของศาสนาคริสต์ เพราะทหารที่เสียชีวิตนั้นส่วนใหญ่จะเป็นชาวคริสต์ นอกจากนั้นแล้วข้อมูลการท่องเที่ยวในเมืองไทปิงก็ได้แนะนำสุสานทหรสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรมาชมสักครั้งหากมาที่เมืองไทปิงซึ่งหากเข้าไปชมแล้วก็ควรที่จะให้เกียรติแก่ผู้เสียชีวิตด้วยการเข้าชมในกิริยาที่สำรวมและสุภาพ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ที่วายชนม์ไปแล้วนั่นเอง


สุสานทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
แห่งเมืองไทปิง ประเทศมาเลเซีย

พื้นที่ภายในสุสานค่อนข้างดูเป็นระเบียบ
ส่วนบรรยากาศก็ค่อนข้างเงียบสงบเลยทีเดียว

สุสานแห่งนี้จะเป็นบรรดาทหารฝ่ายสัมพันธมิตร
ทั้งจากมาเลเซีย อินเดีย อังกฤษ ออสเตรเลีย

บริเวณด้านหน้าของสุสานจะเขียนชื่อสถานที่
และช่วงปีที่เกิดเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2

ไม้กางเขนที่ตั้งอยู่ภายในสุสาน
สัญลักษณ์ที่สำคัญของศาสนาคริสต์

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

 


EP.37 ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบเหตุจากภัยระเบิด

สงครามเวียดนาม คือ หนึ่งในสงครามตัวแทนที่เป็นการสู้รบกันระหว่างฝ่ายโลกเสรีที่นำโดยสหรัฐอเมริกา เจอกับ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งนำโดย สหภาพโซเวียต การรบในสงครามเวียดนามจึงเป็นการรบระหว่างฝ่ายเวียดนามเหนือหรือเวียดกงซึ่งมีโซเวียตให้การสนับสนุน กับ ฝ่ายเวียดนามใต้ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนและร่วมรบด้วย ผลที่ออกมาคือฝ่ายเวียดนามเหนือมีชัยชนะ แต่ผลของสงครามก็ทำให้เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ทั้งฝ่ายผู้แพ้และผู้ชนะ โดยหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสงครามเวียดนามก็คือประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงกับเวียดนามซึ่งก็คือ ประเทศลาว โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นกับชาวลาวก็มีมากอยู่พอสมควรโดยเฉพาะความสูญเสียต่อร่างกายและชีวิต

ชาวลาวต้องประสบกับเหตุร้ายจากสงครามเวียดนาม หลักๆเลยก็คือในเรื่องของระเบิด มีการระบุว่ามีระเบิดจำนวนมากมายมหาศาลที่ถูกทิ้งและถูกฝังในประเทศลาวซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลงานการกระทำจากบรรดาทหารอเมริกันซึ่งในยุคนั้นทางอเมริกาได้ใช้ไทยเป็นฐานทัพบัญชาการ เมื่อจะเดินทางไปยังเวียดนามก็หนีไม่พ้นที่จะต้องบินผ่านทางประเทศลาวซึ่งมีพรมแดนอยู่ระหว่าง 2 ประเทศคือไทยและเวียดนาม เมื่อถึงคราวที่จะต้องเดินทางกลับมายังฐานทัพในเมืองไทยแต่ปรากฎว่าระเบิดที่เตรียมไปยังเหลืออีกเป็นจำนวนมาก ทหารอเมริกันจึงตัดสินใจที่จะทิ้งระเบิดและฝังระเบิดในพื้นที่ของประเทศลาว เนื่องจากสืบทราบมาว่ามีทหารฝ่ายเวียดกงได้ใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของประเทศลาวเป็นฐานทัพซึ่งจากการที่ระเบิดถูกทิ้งและฝังอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ชาวลาวที่ไม่ได้เกี่ยวกับสงครามต้องได้รับผลกระทบไปเต็มๆหลายรายต้องสังเวยชีวิตและก็มีอีกหลายรายที่ต้องสูญเสียอวัยวะกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต
และจากการที่คนลาวหลายคนต้องมาได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดในยุคสงคราม ทำให้ทางการลาวได้มีการตั้งศูนย์ช่วยเหลือให้แก่ผู้ประสบภัยจากเหตุระเบิดโดยศูนย์ช่วยเหลือแห่งนี้อยู่ที่กรุงเวียงจันทน์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของลาว 

ตอนผมไปเที่ยวที่ลาวประมาณตอนปี 2019 ด้วยความรู้สึกที่อยากจะหาที่เที่ยวใหม่ๆของกรุงเวียงจันทน์จึงได้ค้นหาและสุดท้ายก็ได้เจอกับสถานที่แห่งนี้ ลักษณะบรรยากาศภายในก็จะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาในการก่อตั้งสถานที่ เหตุการณ์จากยุคสงคราม ระเบิดชนิดต่างๆที่ถูกค้นพบและถูกฝังในประเทศลาว นอกจากนั้นยังมีในส่วนของขาเทียมและแขนเทียมซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อนำมาช่วยเหลือแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบในเหตุภัยระเบิดจากยุคสงครามเวียดนาม รวมถึงยังมีในส่วนที่เป็นของที่ระลึกซึ่งนำมาวางจำหน่ายโดยรายได้ทั้งหมดก็จะนำไปช่วยเหลือแก่ผู้ประภัยจากเหตุระเบิดซึ่งหากใครซื้อของที่ระลึกเหล่านี้ก็เสมือนได้ทำบุญในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน สำหรับศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบเหตุจากภัยระเบิดแห่งนี้เปิดให้เข้าชมฟรีในทุกๆวัน โดยจากการที่ผมได้เดินดูผมว่าเป็นสถานที่ที่น่าสนใจอย่างมากเลยทีเดียว ทั้งในเรื่องของการได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทั้งการได้ทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ หากใครเบื่อสถานที่เที่ยวแบบเดิมๆซ้ำๆในเวียงจันทน์ การมาเที่ยวชมศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบเหตุจากภัยระเบิดก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ามาให้เห็นกับตาตัวเองอย่างมากเลยทีเดียว

ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบเหตุจากภัยระเบิด
ประจำกรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว

ขาเทียมจำนวนมากมายถูกแขวนโชว์เอาไว้

ยุคสงครามเวียดนาม ประเทศลาวได้รับผลกระทบพอสมคว
โดยเฉพาะระเบิดที่ถูกทิ้งและถูกฝังอยู่อย่างมากมาย

หน้าตาของระเบิดชนิดต่างๆที่ถูกค้นพบ

ขาเทียมเหล่านี้เป็นสิ่งที่นำมาช่วยเหลือ
บรรดาผู้ประสบเหตุจากภัยระเบิด

ลูกระเบิดขนาดเล็กเป็นสิ่งที่ถูกพบเจออย่างมาก
ตลอดช่วงสงครามเวียดนาม

เรื่องราวของการทำขาเทียมซึ่งมีหลากหลายแบบ

จุดนี้จัดแสดงวิถีชีวิตของคนลาวในยุคสงคราม
โดยเล่าเรื่องจากสิ่งของต่างๆในสมัยนั้น

บรรดาของที่ระลึกเมื่อซื้อไปก็เหมือนการทำบุญ
โดยรายได้ทั้งหมดจะนำไปช่วยเหลือผู้ประสบเหตุจากภัยระเบิด

หุ่นเหล็กแม่กับลูกตั้งโดดเด่นเป็นสง่า
อยู่บริเวณด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2564


EP.36 รถไฟตู้นอนชั้น 1 แห่งเวียดนาม

รถไฟ คือ พาหนะการเดินทางชนิดหนึ่งที่เป็นทางเลือกให้แก่ผู้โดยสารที่ชื่นชอบบรรยากาศแบบชิวๆสโลว์ไลฟ์ เพราะบรรยากาศของการเดินทางด้วยรถไฟส่วนใหญ่จะไม่ค่อยเร่งรีบเหมือนการเดินทางด้วยพาหนะชนิดอื่น เพราะฉะนั้นเมื่อพวกคุณตัดสินใจที่จะนั่งรถไฟแล้วก็แน่นอนว่าคุณยอมรับได้กับบรรยากาศที่ไปแบบช้าๆเนิบๆไม่รีบร้อน แต่ด้วยความช้าๆนี่แหละทำให้ผู้โดยสารรถไฟได้สัมผัสกับบรรยากาศข้างทางแบบเต็มที่ทั้งการเห็นวิวทิวทัศน์ต่างๆที่หาไม่ได้จากการนั่งเครื่องบิน เรือ หรือแม้กระทั่งรถยนต์ ปัจจุบันการเดินทางด้วยรถไฟจึงยังเป็นพาหนะที่สำคัญสำหรับผู้โดยสารที่มีเวลาในการเดินทางพอสมควรหรือผู้ที่ชื่นชอบและรักรถไฟก็มักเลือกเดินทางด้วยไฟเป็นอันดับแรกเสมอ

ปัจจุบันในหลายประเทศก็มักจะมีการเดินทางด้วยรถไฟ มีสถานีรถไฟในหลากหลายเมืองและมีรถไฟที่วิ่งข้ามพรมแดนระหว่างประเทศด้วยเช่นกันที่ดังๆก็คงจะหนีไม่พ้น ทางสายไฟสายทรานไซบีเรียซึ่งวิ่งข้าม 2 ทวีปคือเอเชียและยุโรป ขณะที่รถไฟในเวียดนามเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ผมได้มีโอกาสไปสัมผัสมาซึ่งรถไฟของประเทศเวียดนามนั้นมีสถานีอยู่ในหลายเมืองซึ่งส่วนมากก็จะอยู่ตามเมืองท่องเที่ยวหลักๆที่หลายคนพอจะคุ้นหูกันดี คือ ฮานอย ซาปา เว้ ดานัง ญาจางรวมไปถึงโฮจิมินห์ โดยประสบการณ์ตรงของผมที่ได้นั่งรถไฟในเวียดนามมีอยู่ประมาณ 3-4 ครั้งแต่ครั้งที่ทรหดที่สุดคงหนีไม่พ้นตอนนั่งจากโฮจิมินห์ไปที่ฮานอย ส่วนครั้งล่าสุดเกิดขึ้นตอนเดือนพฤษภาคมปี 2019 โดยเริ่มจากญาจางไปลงที่โฮจิมินห์ซึ่งผมเลือกการเดินทางในรอบดึก เนื่องจากต้องการประหยัดค่าที่พักไปอีก 1 คืน การเดินทางจากญาจางไปโฮจิมินห์ด้วยรถไฟจะใช้เวลาเกือบ 9 ชั่วโมง ออกจากญางจากประมาณตอนหัวค่ำถึงโฮจิมินห์ก็ประมาณเช้ามืดตี 5 ส่วนค่าโดยสารจะอยู่ที่ประมาณ 8 แสนดองหรือคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณเกือบ 1100 บาท

ส่วนที่เห็นราคาเป็นหลักพันนั้นก็เป็นเพราะผมเลือกนั่งรถไฟตู้ขบวนชั้น 1 ซึ่งเป็นชั้นที่หรูหราที่สุดและสบายที่สุดราคาในระดับนี้จึงไม่น่าแปลกใจ สำหรับรถไฟชั้น 1 ตู้นอนที่ผมเลือกนั้นจะมีลักษณะเป็น 4 เตียงโดยอยู่ข้างบน 2 และข้างล่างอีก 2 ที่ปลั๊กไฟไว้ให้สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือ มีโต๊ะที่พับเก็บได้เป็นจุดไว้สำหรับวางขางในห้องมีไฟคอยให้แสงสว่างยามค่ำคืนมีหมอนและผ้าห่มรวมไปถึงผ้าม่านในทุกตู้นอน โดยราคาระหว่างเตียงบนและเตียงล่างก็จะแตกต่างกัน สำหรับคนตัวใหญ่การนอนที่เตียงบนเป็นสิ่งที่ไม่แนะนำเพราะทั้งต้องปีนและการขยับตัวก็ทำได้ลำบากแต่ของแบบนี้คงขึ้นแต่คนชอบ บางทีคนก็อาจชอบเตียงบนมากกว่าเตียงล่าง โดยตู้นอนชั้น 1 ส่วนมากที่ผมเห็นจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เลือกจองกันโดยมีคนเวียดนามมาปะปนบ้าง ส่วนจุดอื่นๆบนรถไฟผมได้มีโอกาสเดินสำรวจทั้งหมด นอกจากตู้นอนชั้น 1 แล้วยังมีตู้นอนชั้น 2 ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Hard Berth ลักษณะจะลำบากกว่าตู้ชั้น 1 เพราะจะมีทั้งสิ้น 6 เตียงแบ่งออกเป็นฝั่งละ 3 เตียงบรรยากาศก็ดูคับแคบและอึดอัดกว่าชั้นนี้ส่วนมากก็จะเป็นคนท้องถิ่นที่เลือกกันแต่ก็มีบ้างที่จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการเซฟเงินเลยเลือกตู้นอนรถไฟในชั้นที่ 2

ขณะที่ในส่วนอื่นๆนอกจากชั้นตู้นอนแล้วยังมีส่วนของชั้นประหยัดที่จะเป็นพวกเก้าอี้อย่างเดียวไม่มีตู้นอนเหมือนชั้นที่ 1 และ 2 โดยถ้าราคาแพงที่สุดจะเป็นเก้าอี้แบบเบาะนิ่มๆสามารถปรับเอนนอนได้ ส่วนที่ราคาถูกที่สุดจะเป็นเก้าอี้เบาะแข็งปรับเอนไม่ได้ลักษณะเหมือนเก้าอี้นั่งตามสวนสาธารณะ แต่ไม่ว่าจะตู้หรูหราหรือตู้ราคาถูกแต่ละห้องก็จะได้รับความเย็นจากแอร์ด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนห้องน้ำผมว่ารถไฟเวียดนามเขาทำได้ดีจุดของที่ปัสสาวะจุดของอ่างล่างหน้าดูดีกว่ารถไฟไทย ส่วนตู้เสบียงนั้นผมเดินเข้าไปพยายามถ่ายรูปแต่ถูกเจ้าหน้าที่บนรถไฟสั่งห้ามถ่ายเลยอดเก็บบรรยากาศมาฝากกัน ขณะที่ในเรื่องของอาหารรถไฟของเวียดนามจะแตกต่างจากไทยชัดเจน คือ จะไม่ให้พวกพ่อค้าแม่ค้าคนนอกนำอาหารขึ้นมาขายบนรถไฟแต่จะเป็นเจ้าหน้าที่บนรถไฟนี่แหละที่จะเข็นพวกอาหารและเครื่องดื่มมาขายให้แก่ผู้โดยสารซึ่งตรงจุดนี้ผมชอบรถไฟแบบไทยๆมากกว่า เพราะเสน่ห์ที่ดึงดูดส่วนหนึ่งของรถไฟไทยก็คือการที่พ่อค้าแม่ค้านำของขึ้นมาขายบนรถไฟนี่แหละบรรยากาศแบบบ้านๆดูสบายๆจึงเป็นเสน่ห์ที่อยู่คู่กับรถไฟมาอย่างยาวนาน


รถไฟตู้นอนชั้น 1 ของเวียดนาม

บรรยากาศด้านหน้าสถานีรถไฟแห่งเมืองญาจาง

จุดจำหน่ายตั๋วรถไฟ

จุดรอรถไฟ ผมเลือกเดินทางในช่วงค่ำ
เพื่อประหยัดค่าที่พักไปอีก 1 คืน

ผู้โดยสารทั้งคนเวียดนามและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ต่างก็หิ้วสัมภาระขึ้นรถไฟ

ตั๋วรถไฟจากญาจางไปโฮจิมินห์
ผมเลือกตู้นอนชั้น 1 ราคาจึงแพงสุดประมาณเกือบ 1100 บาท

นี่คือตู้นอนชั้น 1 ที่ผมเลือก
ลักษณะจะมีเตียงนอน 4 ชั้นมีปลั๊กไฟให้ชาร์จมือถือ

ตู้นอนชั้น 2 ลักษณะคือมี 6 เตียง
โดยแบ่งเป็นฝั่งละ 3 เตียงดูคับแคบกว่าชั้นที่ 1

ส่วนตู้นี้ราคาถูกลงมา โดยจะมีเก้าอี้เบาะนิ่ม
สามารถปรับเบาะเพื่อเอนนอนได้

เบาะเหมือนพวกรถทัวร์นั่งได้แบบสบายๆ

ตู้ขบวนนี้มีราคาถูกที่สุด โดยเป็นเก้าอี้เบาะแข็ง
ซึ่งผู้โดยสารในตู้นี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนท้องถิ่น