วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2564

 


EP.20 บรรยากาศเมืองหวุงเต่า

หากไปถามชาวเมืองโฮจิมินห์ในประเทศเวียดนามว่า สถานที่พักผ่อนหย่อนใจในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ของพวกคุณคือที่ใด คำตอบที่ออกมาก็คงจะคล้ายๆกันนั่นก็คือ เมืองหวุงเต่า ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ห่างจากกรุงโฮจิมินห์ไม่ไกลนักการเดินทางสามารถไปได้ทั้งทางรถและทางเรือ แต่ถ้าหากต้องการความสะดวกรวดเร็วและความสบายการเดินทางด้วยเรือโดยสารถือว่าเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์อย่างมาก สำหรับการเดินทางด้วยเรือจากท่าเรือในกรุงโฮจิมินห์ไปที่เมืองหวุงเต่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 2 ชั่วโมง ซึ่งสิ่งที่แตกต่างจากการนั่งรถโดยสารก็คือไม่ต้องปวดหัวกับเสียงแตรบนท้องถนน ส่วนบรรยากาศระหว่างทางผมว่าไม่ค่อยสวยเท่าไหร่แม้ว่าผมจะพยายามกวาดสายตามองหามุมสวยๆแต่กลับพบว่าไม่มีเลย ดังนั้นผมจึงหวังว่าบรรยากาศที่เมืองหวุงเต่าอาจจะสวยก็ได้ซึ่งเมื่อมาถึงที่ก็ไม่มีผิดหวังเพราะบรรยากาศของที่หวุงเต่านั้นค่อนข้างโอเคเลยทีเดียว

เมื่อเดินทางมาถึงท่าเรือหวุงเต่าก็จะเจอรูปอนุสาวรีย์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองและพอขึ้นไปที่ฝั่งก็จะเจอพวกแท็กซี่และมอเตอร์ไซค์คอยดักถามหาลูกค้า ผมพยายามที่จะปฏิเสธไปเรื่อยๆแต่ก็มีแอบๆถามราคาดูบ้างเพราะบางทีเผื่อเดินไปเกิดหลงขึ้นมาอย่างน้อยถ้าราคาค่าโดยสารไปยังที่พักไม่แพงนักก็อาจจะมาใช้บริการรถรับจ้างพวกนี้ได้ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจนั่งมอเตอร์ไซค์ไปที่พักเนื่องจากเพราะสัมภาระที่เยอะและแดดที่ร้อนจัดของเมืองหวุงเต่า พอถึงที่พักและเก็บของเสร็จก็ออกมาเดินสำรวจเมือง ผมพักที่หวุงเต่าประมาณ 2 คืนเท่านั้นแต่กลับพบว่าตนเองชื่นชอบเมืองนี้พอสมควร ส่วนหนึ่งเพราะที่หวงเต่าเป็นเมืองชายทะเล แม้ว่าทะเลจะไม่สวยเหมือนที่เมืองไทยแต่บรรยากาศถือว่าค่อนข้างดีที่สำคัญไม่มีการมาวางเตียงผ้าใบให้เกะกะรกทางเดินและอีกอย่างคือ เสียงแตรที่เคยได้ยินจนชินในเวียดนามนั้นไม่ค่อยที่จะมีมากนักที่หวุงเต่า สาเหตุก็คงเพราะว่าการจราจรที่นี่ไม่แออัดจอแจเหมือนที่เมืองอื่นๆการบีบแตรจึงไม่ได้ยินตลอดเวลาเหมือนเมืองใหญ่ๆของเวียดนาม

สำหรับบรรยากาศของที่เมืองหวุงเต่าไฮไลท์หลักๆก็คือชายทะเลและผมพบว่าช่วงเย็นจะมีชาวเมืองคนท้องถิ่นออกมาเล่นน้ำทะเลกันเต็มไปหมด ทำให้บรรยากาศดูคึกคักอย่างมาก ส่วนสถานที่เที่ยวอื่นๆก็มีการนั่งกระเช้าลอยฟ้าข้ามทะเลซึ่งคล้ายๆกับที่เมืองญาจาง รวมทั้งยังมีจุดที่เป็นรูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่ซึ่งเมื่อเดินขึ้นไปยังด้านบนสุดก็จะเห็นวิวของเมืองหวุงเต่าได้แบบ 360 องศา นอกจากนั้นก็จะมีทั้งในส่วนของวัดสไตล์เวียดนามให้ได้เข้าชม ส่วนเรื่องของที่พักและร้านอาหารก็มีให้เลือกมากมาย เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยวและส่วนหนึ่งเอาไว้รองรับคนที่เดินทางมาจากกรุงโฮจิมินห์ การบริการต่างๆจึงมีอยู่แบบครบวงจรซึ่งถ้าจะให้เปรียบเปรยแบบง่ายๆกับเมืองไทย ถ้าหากโฮจิมินห์คือกรุงเทพฯ หวุงเต่าก็คล้ายๆกับพัทยา เพราะเดินทางไม่ไกลนักและเป็นเมืองชายทะเลเหมือนกัน นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะคนท้องถิ่นก็จะมาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์กันเยอะมาก แต่สิ่งที่อาจจะดูแตกต่างจากพัทยาก็คงเป็นที่ความเงียบสงบเหมาะแก่การมาพักผ่อนอย่างแท้จริง


บรรยากาศเมืองหวุงเต่า

นั่งเรือจากโฮจิมินห์มาหวุงเต่า
แต่บรรยากาศระหว่างทางไม่ค่อยสวยเท่าไหร่

ท่าเรือเมืองหวุงเต่า

สัญลักษณ์ประจำเมืองหวุงเต่า
ป้ายด้านหน้าเป็นคำเตือนเกี่ยวกับเรื่องหอยนางรม

ผู้ใหญ่พาเด็กมาวิ่งเล่นบริเวณลานกว้าง

วัดสไตล์เวียดนาม

มีชาวเวียดนามมากราบไหว้และทำบุญ

บรรยากาศช่วงสายๆบริเวณริมทะเล

ปลาที่ถูกคัดแยก

ชาวประมงช่วยกันคัดแยกปลาที่จับมาได้

อาชีพหลักของชาวเมืองหวุงเต่า
คือ การทำประมง

ร้านอาหารสไตล์ท้องถิ่นที่หวุงเต่า

ผมสั่งเฝอมา แต่ลำบาก
โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสาร

เมืองหวุงเต่ายามค่ำคืน

มีชาวเมืองออกมาทำกิจกรรม
กันค่อนข้างเยอะ

กลุ่มผู้หญิงมารวมตัวกันเต้น
ดูแล้วก็เพลินดีเหมือนกัน

สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่ง
รูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่

มีรูปปั้นเกี่ยวกับทางศาสนาคริสต์

บันไดทางขึ้น

รูปปั้นระหว่างทางที่เดินขึ้นไป

เดินถึงด้านบนสุดก็เจอบรรยากาศแบบนี้

มองเห็นวิวสวยๆของทะเลที่หวุงเต่า

ภาพนี้ได้คุยกับสาวเวียดนามที่มาเที่ยวเหมือนกัน
เธอบอกว่าคล้ายๆกับพัทยา

เดินกลับจากชมรูปปั้นพระเยซูเสร็จ
ระหว่างทางแดดร้อนมากเพราะเป็นช่วงเที่ยง

มีกระเช้าลอยฟ้าข้ามทะเลให้บริการ
เหมือนกับที่เมืองญาจาง

ชายทะเลหวุงเต่าในช่วงเย็น
มีชาวเมืองมาเล่นน้ำกันเยอะมาก

มีเรือประมงจอดกันเรียงราย

เดินทางกลับลาก่อนหวุงเต่า
มีโอกาสจะกลับไปเที่ยวอีกแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น