วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564



EP.21 ทะเลทรายแห่งเวียดนาม


ถ้าหากพูดถึงคำว่า ทะเลทราย ผมเชื่อว่าหลายๆท่านน่าจะนึกไปถึงพื้นที่อันแห้งแล้งดูเวิ้งว้างเต็มไปด้วยผืนทะเลทรายท่ามกลางแสงแดดของดวงอาทิตย์ที่ร้อนระอุโดยจะนึกไปถึงว่า ดินแดนของทะเลทราย จะต้องอยู่ในย่านตะวันออกกลางหรือไม่ก็ทางทวีปแอฟริกาตอนเหนือซึ่งก็ถือว่าเป็นความคิดที่ถูกเพราะในย่านตะวันออกกลางหรือแอฟริกาตอนเหนืออย่าง อียิปต์ แอลจีเรียหรือโมร็อคโกก็มีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นทะเลทราย แต่ถ้าหากบอกว่าทะเลทรายที่อยู่ใกล้ๆบ้านเราหลายๆคนก็อาจจะคาดไม่ถึงหรือนึกไม่ออกว่ามันอยู่ที่ใดกันแน่ โดยทะเลทรายที่อยู่ใกล้ๆกับเมืองไทยนั้นต้องบอกเลยว่ามีอยู่จริงและอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนของไทยอย่าง เวียดนาม โดยทะเลทรายจะตั้งอยู่ในเมืองฟานเที้ยตซึ่งอยู่ห่างจากกรุงโฮจิมินห์ไปประมาณ 200 กิโลเมตร แต่ในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเรียกกันว่า มุยเน่ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ชื่อเมืองแต่มาจากชื่อของผืนแผ่นดินที่ยื่นลงไปในทะเล แต่ไปๆมาๆชื่อมุยเน่กลายเป็นชื่อเรียกของตัวเมืองซะอย่างนั้น ทำให้ถูกเรียกกันมาอย่างแพร่หลายจนถึงปัจจุบัน

สำหรับทะเลทรายที่มุยเน่จะมีอยู่ 2 ที่นั่นก็คือ ทะเลทรายแดง กับทะเลทรายขาว สำหรับการไปเที่ยวชมทะเลทรายก็สามารถเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่ไปเที่ยวเองหรือจะเป็นวิธียอดนิยมอย่างการนั่งรถจิ๊บเป็นกลุ่มโดยจะเป็นการเที่ยวแบบครึ่งวัน จริงๆแล้วตอนที่ผมไปมุยเน่ผมเช่ามอเตอร์ไซค์จากที่พักกะจะขี่ไปเที่ยวด้วยตนเอง แต่กลับเกิดอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ล้มจนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งจริงๆผมจะยกเลิกแผนการเที่ยวทั้งหมดแล้วแต่คิดว่าไหนๆก็มาแล้วก็ตัดสินใจซื้อทัวร์โดยการนั่งรถจิ๊บไปแบบครึ่งวัน สำหรับทั้ง 2 ทะเลทรายค่อนข้างมีความแตกต่างทะเลทรายแดงจะมีเอกลักษณ์คือเม็ดทรายที่เป็นสีแดงโดยเกิดจากสนิมเหล็ก แต่โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าไม่ค่อยสวยเท่าไหร่และดูเป็นทรายแบบหยาบๆ ส่วนทะเลทรายขาวนั้นอันนี้ถือว่าสวยงามกกว่าและไฮไลท์เด่นก็คือเวลามาชมในตอนพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าหรือพระอาทิตย์ตกดินจะได้เห็นแสงจากดวงอาทิตย์ตัดสะท้อนกับผืนทะเลทรายซึ่งมีความสวยงามอย่างมากหลายๆคนที่ได้เห็นก็มักไม่พลาดที่จะหยิบทั้งมือถือและกล้องถ่ายรูปมาถ่ายภาพบรรยากาศของแสงจากดวงอาทิตย์ที่ตัดสะท้อนกับผืนทะเลทราย

ส่วนกิจกรรมอื่นๆที่มีในขณะที่เที่ยวชมทะเลทรายทั้ง 2 แห่งก็คือ การนั่งรถเอทีวีตะลุยผืนทรายแต่เท่าที่ผมสังเกตุราคามาแล้วถือว่าค่อนข้างแพงเอาเรื่องกับการได้ลองขี่หรือนั่งรถเอทีวีซึ่งไม่ถึง 30 นาทีด้วยซ้ำและอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตคือการเล่นสไลเดอร์โดยจะมีพวกแม่ค้านำสไลเดอร์มาขายให้แก่นักท่องเที่ยวอันนี้ราคาไม่แพงมากเล่นได้หลายรอบ โดยความสนุกจะอยู่ที่การนั่งแผ่นรองสไลเดอร์จากที่สูงและปล่อยตัวลงมายังด้านล่าง แต่ทั้ง 2 กิจกรรมผมไม่ได้ลองเพราะอย่างที่ทราบกันคือได้รับบาดเจ็บก่อนที่จะมาเที่ยวทะเลทราย 1 วัน จึงได้แต่มองคนอื่นเล่นกันไป และสำหรับใครที่ซื้อทัวร์รถจิ๊บมาเที่ยวทะเลทรายที่มุยเน่แบบผมนอกจากจะได้มาชมทะเลทรายทั้ง 2 แห่งแล้วยังได้ไปเที่ยวหมู่บ้านชาวประมงเพราะที่มุยเน่นั้นชาวบ้านส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพชาวประมงและอีก 1 สถานที่ที่ได้ไปคือ แฟรี่สตรีมหรือลำธารสายเล็กๆที่มีชั้นหินและชั้นทรายสวยงามโดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินลุยผ่านลำธารแห่งนี้ได้ แต่สถานที่ทั้งหมดผมก็ได้เพียงแต่ยืนมองหรือนั่งดูเท่านั้น ช่างน่าเสียดายจริงๆที่มาบาดเจ็บเสียก่อน ยังไงเสียโอกาสก็ยังมีเสมอผมก็หวังว่าหากเปิดประเทศอีกครั้งก็จะกลับไปเที่ยวชมความงามของทะเลทรายที่มุยเน่อีกรอบให้จงได้


ทะเลทรายแห่งเวียดนาม

ทะเลทรายขาว วันที่ผมไปมีนักท่องเที่ยว
มาเที่ยวกันพอสมควร

ทะเลทรายแดง

เม็ดทรายที่ทะเลทรายแดง
ไม่ค่อยสวยเท่ากับที่ทะเลทรายขาว

บรรยากาศรอบๆของทะเลทรายแดง

มองเห็นวิวทะเลสาบ

กิจกรรมที่มีให้ทำหนึ่งในนั้นก็คือ
นั่งแผ่นรองสไลเดอร์

หรือจะเป็นการนั่งรถเอทีวีตะลุยทะเลทราย
แต่ราคาค่อนข้างแพงเอาเรื่อง

ทะเลทรายขาวในช่วงยามบ่าย
รูปเงาที่เห็นคือ ผมเอง

บรรยากาศด้านหน้าของทะเลทรายขาว

หากซื้อทัวร์มาเที่ยวเหมือนอย่างผม
ท่านจะได้ชมบรรยากาศของหมู่บ้านชาวประมงด้วย

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2564

 


EP.20 บรรยากาศเมืองหวุงเต่า

หากไปถามชาวเมืองโฮจิมินห์ในประเทศเวียดนามว่า สถานที่พักผ่อนหย่อนใจในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ของพวกคุณคือที่ใด คำตอบที่ออกมาก็คงจะคล้ายๆกันนั่นก็คือ เมืองหวุงเต่า ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ห่างจากกรุงโฮจิมินห์ไม่ไกลนักการเดินทางสามารถไปได้ทั้งทางรถและทางเรือ แต่ถ้าหากต้องการความสะดวกรวดเร็วและความสบายการเดินทางด้วยเรือโดยสารถือว่าเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์อย่างมาก สำหรับการเดินทางด้วยเรือจากท่าเรือในกรุงโฮจิมินห์ไปที่เมืองหวุงเต่าจะอยู่ที่ไม่เกิน 2 ชั่วโมง ซึ่งสิ่งที่แตกต่างจากการนั่งรถโดยสารก็คือไม่ต้องปวดหัวกับเสียงแตรบนท้องถนน ส่วนบรรยากาศระหว่างทางผมว่าไม่ค่อยสวยเท่าไหร่แม้ว่าผมจะพยายามกวาดสายตามองหามุมสวยๆแต่กลับพบว่าไม่มีเลย ดังนั้นผมจึงหวังว่าบรรยากาศที่เมืองหวุงเต่าอาจจะสวยก็ได้ซึ่งเมื่อมาถึงที่ก็ไม่มีผิดหวังเพราะบรรยากาศของที่หวุงเต่านั้นค่อนข้างโอเคเลยทีเดียว

เมื่อเดินทางมาถึงท่าเรือหวุงเต่าก็จะเจอรูปอนุสาวรีย์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองและพอขึ้นไปที่ฝั่งก็จะเจอพวกแท็กซี่และมอเตอร์ไซค์คอยดักถามหาลูกค้า ผมพยายามที่จะปฏิเสธไปเรื่อยๆแต่ก็มีแอบๆถามราคาดูบ้างเพราะบางทีเผื่อเดินไปเกิดหลงขึ้นมาอย่างน้อยถ้าราคาค่าโดยสารไปยังที่พักไม่แพงนักก็อาจจะมาใช้บริการรถรับจ้างพวกนี้ได้ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจนั่งมอเตอร์ไซค์ไปที่พักเนื่องจากเพราะสัมภาระที่เยอะและแดดที่ร้อนจัดของเมืองหวุงเต่า พอถึงที่พักและเก็บของเสร็จก็ออกมาเดินสำรวจเมือง ผมพักที่หวุงเต่าประมาณ 2 คืนเท่านั้นแต่กลับพบว่าตนเองชื่นชอบเมืองนี้พอสมควร ส่วนหนึ่งเพราะที่หวงเต่าเป็นเมืองชายทะเล แม้ว่าทะเลจะไม่สวยเหมือนที่เมืองไทยแต่บรรยากาศถือว่าค่อนข้างดีที่สำคัญไม่มีการมาวางเตียงผ้าใบให้เกะกะรกทางเดินและอีกอย่างคือ เสียงแตรที่เคยได้ยินจนชินในเวียดนามนั้นไม่ค่อยที่จะมีมากนักที่หวุงเต่า สาเหตุก็คงเพราะว่าการจราจรที่นี่ไม่แออัดจอแจเหมือนที่เมืองอื่นๆการบีบแตรจึงไม่ได้ยินตลอดเวลาเหมือนเมืองใหญ่ๆของเวียดนาม

สำหรับบรรยากาศของที่เมืองหวุงเต่าไฮไลท์หลักๆก็คือชายทะเลและผมพบว่าช่วงเย็นจะมีชาวเมืองคนท้องถิ่นออกมาเล่นน้ำทะเลกันเต็มไปหมด ทำให้บรรยากาศดูคึกคักอย่างมาก ส่วนสถานที่เที่ยวอื่นๆก็มีการนั่งกระเช้าลอยฟ้าข้ามทะเลซึ่งคล้ายๆกับที่เมืองญาจาง รวมทั้งยังมีจุดที่เป็นรูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่ซึ่งเมื่อเดินขึ้นไปยังด้านบนสุดก็จะเห็นวิวของเมืองหวุงเต่าได้แบบ 360 องศา นอกจากนั้นก็จะมีทั้งในส่วนของวัดสไตล์เวียดนามให้ได้เข้าชม ส่วนเรื่องของที่พักและร้านอาหารก็มีให้เลือกมากมาย เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยวและส่วนหนึ่งเอาไว้รองรับคนที่เดินทางมาจากกรุงโฮจิมินห์ การบริการต่างๆจึงมีอยู่แบบครบวงจรซึ่งถ้าจะให้เปรียบเปรยแบบง่ายๆกับเมืองไทย ถ้าหากโฮจิมินห์คือกรุงเทพฯ หวุงเต่าก็คล้ายๆกับพัทยา เพราะเดินทางไม่ไกลนักและเป็นเมืองชายทะเลเหมือนกัน นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะคนท้องถิ่นก็จะมาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์กันเยอะมาก แต่สิ่งที่อาจจะดูแตกต่างจากพัทยาก็คงเป็นที่ความเงียบสงบเหมาะแก่การมาพักผ่อนอย่างแท้จริง


บรรยากาศเมืองหวุงเต่า

นั่งเรือจากโฮจิมินห์มาหวุงเต่า
แต่บรรยากาศระหว่างทางไม่ค่อยสวยเท่าไหร่

ท่าเรือเมืองหวุงเต่า

สัญลักษณ์ประจำเมืองหวุงเต่า
ป้ายด้านหน้าเป็นคำเตือนเกี่ยวกับเรื่องหอยนางรม

ผู้ใหญ่พาเด็กมาวิ่งเล่นบริเวณลานกว้าง

วัดสไตล์เวียดนาม

มีชาวเวียดนามมากราบไหว้และทำบุญ

บรรยากาศช่วงสายๆบริเวณริมทะเล

ปลาที่ถูกคัดแยก

ชาวประมงช่วยกันคัดแยกปลาที่จับมาได้

อาชีพหลักของชาวเมืองหวุงเต่า
คือ การทำประมง

ร้านอาหารสไตล์ท้องถิ่นที่หวุงเต่า

ผมสั่งเฝอมา แต่ลำบาก
โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสาร

เมืองหวุงเต่ายามค่ำคืน

มีชาวเมืองออกมาทำกิจกรรม
กันค่อนข้างเยอะ

กลุ่มผู้หญิงมารวมตัวกันเต้น
ดูแล้วก็เพลินดีเหมือนกัน

สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่ง
รูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่

มีรูปปั้นเกี่ยวกับทางศาสนาคริสต์

บันไดทางขึ้น

รูปปั้นระหว่างทางที่เดินขึ้นไป

เดินถึงด้านบนสุดก็เจอบรรยากาศแบบนี้

มองเห็นวิวสวยๆของทะเลที่หวุงเต่า

ภาพนี้ได้คุยกับสาวเวียดนามที่มาเที่ยวเหมือนกัน
เธอบอกว่าคล้ายๆกับพัทยา

เดินกลับจากชมรูปปั้นพระเยซูเสร็จ
ระหว่างทางแดดร้อนมากเพราะเป็นช่วงเที่ยง

มีกระเช้าลอยฟ้าข้ามทะเลให้บริการ
เหมือนกับที่เมืองญาจาง

ชายทะเลหวุงเต่าในช่วงเย็น
มีชาวเมืองมาเล่นน้ำกันเยอะมาก

มีเรือประมงจอดกันเรียงราย

เดินทางกลับลาก่อนหวุงเต่า
มีโอกาสจะกลับไปเที่ยวอีกแน่นอน

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2564

 


EP.19 เมืองแสนมโนรมย์


กัมพูชา ในสายตาของบรรดานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั่วไปอาจจะเป็นรู้จักกันแค่ เมืองเสียมเรียบ กรุงพนมเปญหรือเมืองตากอากาศอย่างสีหนุวิลล์ โดยบรรดาเมืองเหล่านี้คือเมืองท่องเที่ยวหลักที่บรรดาชาวต่างชาติมักจะไปเที่ยวกัน แต่ถ้าใครอยากจะลองเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวใหม่ๆในประเทศกัมพูชา ผมว่าการเที่ยวในเมืองรองหรือเมืองที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบท่องเที่ยวในเมืองแปลกๆเมืองใหม่ที่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยรู้จักกันมากนัก เพราะนอกจากจะเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆให้แก่ตนเองแล้ว บรรดาเมืองรองเหล่านี้ก็ยังไม่ได้ถูกปรุงแต่งหรือปรับเปลี่ยนจนไม่เหลือร่องรอยเก่าๆในอดีตแบบเมืองท่องเที่ยวหลักๆ แต่สิ่งที่ยังสามารถพบเห็นได้นั่นก็คือ สภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านท้องถิ่นและธรรมชาติที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์

ผมไปเที่ยวที่กัมพูชาก็ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งแล้วตอนแรกๆก็ไปตามกระแสทั่วไปที่จะเลือกเที่ยวเมืองเสียมเรียบหรือพนมเปญ แต่พอหลังๆเริ่มเบื่อกับเมืองท่องเที่ยวหลักที่หลายๆอย่างกลายเป็นธุรกิจไปเสียหมดจึงมองหาที่เที่ยวใหม่ๆในเมืองรองของที่กัมพูชา จนกระทั่งมาเจอจังหวัดหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศซึ่งมีชื่อว่า จังหวัดมณฑลคีรี โดยที่มณฑลคีรีจะมีเมืองเอกเทียบได้ก็คงประมาณอำเภอเมืองของแต่ละจังหวัด โดยเมืองเอกของจังหวัดมณฑลคีรีมีชื่อว่า แสนมโนรมย์ โดยตั้งแต่ที่ผมเดินทางไปถึงและลองเดินสำรวจดูก็พบว่าแสนมโนรมย์ไม่ได้เป็นเมืองที่ทำเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอะไรมาก บรรยากาศก็จะประมาณชนบทของเมืองไทยโดยจะคล้ายๆกับเมืองรองของประเทศไทย สินค้าต่างๆก็ขายไม่ต่างจากเมืองไทยมากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากๆเมื่อมาที่เมืองแสนมโนรมย์นั่นก็คือ สภาพอากาศเพราะค่อนข้างเย็นสบาย เรียกได้ว่าตอนกลางคืนไม่ต้องเปิดแอร์หรือพัดลมเลยด้วยซ้ำบรรยากาศเป็นธรรมชาติแบบสุดๆ

ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆของจังหวัดมณฑลคีรีจะอยู่นอกตัวเมืองแสนมโนรมย์ เช่น น้ำตกบุสราซึ่งถือว่าเป็นน้ำตกที่มีความสวยงามที่สุดของประเทศกัมพูชาหรือจุดชมวิวที่ถูกขนานว่าเป็นดั่งสวิตเซอร์แลนด์ของแดนเขมร ส่วนในตัวเมืองแสนมโนรมย์ไม่ได้มีท่องเที่ยวมากนัก แต่จะเป็นจุดรวมของสถานที่ต่างๆทั้งตลาดสด โรงแรม ร้านอาหาร สถานีขนส่ง จุดจอดรถสาธารณะ ธนาคารและอื่นๆอีกมากมาย โดยจะมีสัญลักษณ์ที่เด่นชัดบ่งบอกว่าที่นี่คือ เมืองแสนมโนรมย์ สิ่งนั้นก็คือ รูปปั้นกระทิงป่า 2 ตัวซึ่งมักจะมีคนมาถ่ายรูปกับรูปปั้นนี้กันพอสมควร ส่วนประวัตินั้นก็มีการบอกไว้คร่าวๆว่าพื้นที่ของเมืองแสนมโนรมย์นั้นในอดีตก็คือป่าและเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่านานาชนิดซึ่งกระทิงก็อยู่ในกลุ่มของสัตว์ป่าที่สามารถพบเห็นได้ในเมืองแสนมโนรมย์ แม้ปัจจุบันพื้นที่ป่าอาจจะลดเหลือน้อยลงไปแต่กระทืงก็ถือว่าเป็นสัตว์สำคัญ บรรดาชาวเมืองแสนมโนรมย์จึงต่างช่วยกันสร้างอนุสาวรีย์เป็นรูปปั้นกระทิงป่าขึ้นมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองและเป็นการบอกว่าเมื่อเห็นรูปปั้นกระทิงก็เท่ากับว่าได้มาถึงเมืองแสนมโนรมย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


รูปปั้นกระทิงป่า 2 ตัว
สัญลักษณ์เด่นประจำเมืองแสนมโนรมย์

บรรยากาศของเมืองแสนมโนรมย์

ผมถ่ายรูปบริเวณพื้นที่ของตลาด

มีผักและสินค้าไม่ต่างจากบ้านเรา

โซนขายโทรศัพท์มือถือ

ถนนหนทางอาจยังไม่ดีนัก
ได้ซึมซับบรรยากาศแบบชนทบทแบบเต็มๆ


วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2564

 


EP.18 ประติมากรรมริมแม่น้ำหาน


ประติมากรรม คือ งานศิลปะแขนงหนึ่งที่เกี่ยวกับ การปั้น การแกะสลัก หลายคนมีความชื่นชอบและสนใจในงานศิลป์ด้านนี้ ทำให้มีผู้ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับปะติมากรรมอย่างมากมายบนโลกใบนี้ ส่วนตัวผมนั้นแทบไม่มีความรู้ในเรื่องศิลปะไม่ว่าจะเป็นงานเขียน การวาดหรือการปั้นแกะสลักต่างๆ แต่ผมกลับชอบที่จะไปชมงานเหล่านี้ทั้งตามนิทรรศการต่างๆที่จัดแสดงในอาคารหรือจะเป็นงานศิลป์ที่หาพบได้ทั่วไปตามข้างถนนที่เรียกกันแบบรวมๆว่า สตรีทอาร์ต เพราะเมื่อได้ชมงานศิลปะผมมีความเชื่อลึกๆว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้อารมณ์เย็นและสงบลง แม้จะอยู่ในความเครียดแค้นอารมณ์โกรธจากไหนมาแต่เมื่ได้มองมามาเห็นมาสัมผัส ความรู้สึกต่างๆก็จะดูสดชื่นขึ้นอารมณ์โมโหก็จะหายไปเอง

สำหรับงานประติมากรรม ปกติแล้วสามารถชมกันได้ทุกที่ทั่วโลกในเมืองไทยก็มีให้เห็นมากมายตามสถานที่ต่างๆง่ายสุดคือ การเดินเข้าวัดก็จะสามารถพบเห็นพวกงานประติมากรรมได้เป็นจำนวนมาก ส่วนที่ประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนของไทยที่เวียดนามก็มีงานประติมากรรมให้ได้ชมเช่นกัน แถมงานพวกนี้ตั้งอยู่ริมถนนสามารถชมกันได้ตลอด 24 ชั่วโมงแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะสถานที่ตั้งของประติมากรรมพวกนี้อยู่ริมแม่น้ำหานในเมืองดานังซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวชื่อดังของเวียดนาม โดยจุดของแม่น้ำหานจะมีความสวยงามอย่างมากเมื่อถึงตอนกลางคืน เพราะจะมีการเปิดไฟสร้างสีสันเห็นสะพานมังกรพ่นน้ำได้อย่างชัดเจน หลายคนที่มาเที่ยวดานังจึงมักไม่พลาดที่จะมาถ่ายรูปและชมบรรยากาศของสะพานมังกรบริเวณริมแม่น้ำหานในบรรยากาศช่วงเวลายามค่ำคืน

แตถ้าหากมาเดินในตอนกลางวันที่อากาศร้อน ผมต้องบอกไว้ก่อนเลยว่ากลางคืนนั้นสวยกว่าเยอะ ส่วนกลางวันนั้นบรรยากาศดูธรรมดาเอามากๆ แต่ถ้าใครอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศการมาเดินตอนกลางวันก็มีสิ่งน่าสนใจเช่นกันอย่าง งานประติมากรรมซึ่งมีรูปปั้นในลักษณะต่างๆมากมายหลายรูปและเห็นได้ชัดเจนได้มากกว่าเวลากลางคืน งานประติมากรรมเหล่านี้ผมเองก็ไม่ทราบข้อมูลว่าใครเป็นคนสร้าง แต่เมื่อมีการนำมาวางไว้บริเวณทางเดินริมแม่น้ำหานก็ดันกลายเป็นหนึ่งในจุดเช็คอินแห่งใหม่และเป็นจุดที่น่าสนใจของเมืองดานังเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแห่ง ซึ่งรูปปั้นเหล่านี้ก็มีในลักษณะหลายท่าทางเป็นการบ่งบอกถึงความหมายที่รูปปั้นรูปนั้นสื่อออกมา ผมใช้เวลาไม่นานนักในการเดินชม ส่วนหนึ่งเพราะอากาศค่อนข้างร้อนและอบอ้าวทำให้การเดินชมอาจเป็นไปแบบรีบๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า รูปปั้นต่างๆที่ตั้งอยู่บริเวณแม่น้ำหานนั้นมีความสวยงามและบ่งบอกถึงฝีมือของผู้สร้างได้เป็นอย่างดีว่าน่าจะเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านงานประติมากรรมค่อนข้างสูงเลยทีเดียว


ประติมากรรมริมแม่น้ำหาน

มีรูปปั้นในลักษณะท่าทางต่างๆ

รูปปั้นผู้หญิงดูแล้วมีความงดงามไม่น้อย

รูปนก ดูแล้วอาจจะเป็นอินทรี

รูปปั้นต่างๆบ่งบอกความหมายในตัวได้เป็นอย่างดี

มีรูปปั้นต่างๆมากมาย
แต่ผมถ่ายรูปมาไม่หมด เพราะรีบเดินเนื่องจากอากาศร้อน

บรรยากาศสะพานมังกรและแม่น้ำหาน
ในช่วงเวลากลางวัน