วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

 

EP.108 อ่าวมะนิลา


กรุงมะนิลา คือ เมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งก็ดูไม่แตกต่างจากเมืองหลวงของประเทศอื่นๆทั่วโลกครับที่มักจะเต็มไปด้วยความแออัดความวุ่นวายของการสัญจรบนท้องถนน รวมไปถึงความหนาแน่นของประชากรที่อาศัยอยู่กันมากมาย แต่สิ่งที่เป็นปัญหาที่น่าหงุดหงิดเหล่านี้ต่างก็แลกมาด้วยความเจริญและความศิวิไลช์ที่จะมีมากกว่าตามเมืองชนบทอยู่หลายเท่าตัว นอกจากนั้นอัตราการจ้างงานของเมืองหลวงก็จะมีจำนวนมากกว่าตามชนบทอีกด้วยเช่นกัน

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในกรุงมะนิลาหลายชีวิตต่างก็ดิ้นรนกันไปครับทั้งนี้ก็เพื่อความอยู่รอด หลายคนเดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อมาหางานทำในกรุงมะนิลา แต่ก็ต้องพยายามอดทนกับวิถีชีวิตอันเร่งรีบในเมืองหลวงซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความหงุดหงิดความเคร่งเครียดให้แก่ผู้คนได้เป็นอย่างดีนั่นจึงทำให้กรุงมะนิลาได้มีการสร้างสถานที่ที่จะเป็นแหล่งพักผ่อนและสถานที่ที่เอาไว้หลีกหนีความวุ่นวายจากการจราจรซึ่งสถานที่ที่ผมจะเอ่ยถึงต่อไปนี้ก็คือ อ่าวมะนิลา

อ่าวมะนิลา คือ หนึ่งในสัญลักษณ์ของกรุงมะนิลาโดยในสมัยอดีตเคยเป็นจุดสมรภูมิการรบระหว่างสเปนกับสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปพื้นที่ของอ่าวมะนิลาก็ได้มีความสำคัญในด้านของการค้า รวมถึงมีความสำคัญทั้งในด้านอุตสาหกรรมและการประมง นอกจากนั้นแล้วก็ยังเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวหรือแลนด์มาร์กที่สำคัญของกรุงมะนิลา เนื่องจากบริเวณริมอ่าวมะนิลามีบรรยากาศที่ค่อนข้างสวยงามทำให้เหมาะแก่การมาพักผ่อนเดินชมบรรยากาศเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับไฮไลท์สำคัญในการมาเที่ยวชมอ่าวมะนิลาก็คือ การมาชมบรรยากาศของพระอาทิตย์ตกดินในช่วงเวลาเย็นซึ่งว่ากันว่าพื้นที่ของอ่าวมะนิลาเป็นหนึ่งในจุดชมพระอาทิตย์ตกดินได้สวยงามที่สุดของฟิลิปปินส์เลยทีเดียว ทำให้ทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติมักแวะเวียนมาที่อ่าวมะนิลากันอยู่แทบตลอด ส่วนกิจกรรมอื่นๆที่พอเห็นได้บริเวณริมอ่าวมะนิลาก็คือ การเดินออกกำลังกาย การแสดงความสามารถในด้านต่างๆทั้งการเต้น การเล่นดนตรีและอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งบรรยากาศต่างๆบริเวณอ่าวมะนิลาก็ได้สร้างความผ่อนคลายให้แก่ผู้คนและได้หลีกเลี่ยงความวุ่นวายจากภายนอกได้เป็นอย่างดี


อ่าวมะนิลา เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กที่สำคัญของกรุงมะนิลา
ในประเทศฟิลิปปินส์

บรรยากาศริมอ่าวมะนิลาในช่วงเวลาเย็นมักจะมีผู้คน
มาเดินเล่นและออกกำลังกายกันในทุกๆวัน

บรรยากาศของอ่าวมะนิลาค่อนข้างสวยงามและดูเงียบสงบ
ซึ่งผิดกับการจราจรด้านนอกที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย

ช่วงเย็นๆหลายคนมักมานั่งชมบรรยากาศของอ่าวมะนิลา
ไม่ว่าจะเป็นคนท้องถิ่นและชาวต่างชาติ

จุดไฮไลท์สำคัญของอ่าวมะนิลาก็คือ การชมพระอาทิตย์ตกดิน
ในช่วงเวลาเย็นซึ่งมีความสวยงามเป็นอย่างมาก


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
21 กรกฎาคม 2566

วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

 

EP.107 โรงแรมที่พักเมืองลักย้า


เมืองลักย้าในประเทศเวียดนามอาจจะไม่ใชเมืองที่เป็นที่คุ้นหูสำหรับนักท่องเที่ยวไทยและบรรดานักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆมากนักซึ่งก็ไม่แปลกครับ เพราะว่าเมืองลักย้าก็ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลักของเวียดนาม โดยที่เมืองลักย้าตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศและอยู่ในพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงแต่ก็ไม่ได้มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวเหมือนกับที่เกิ่นเทอหรือแม้กระทั่งเบ๋นแจ โดยส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่แวะมาที่ลักย้าก็มีจุดประสงค์เพื่อต้องการนั่งเรือข้ามไปยังเกาะฟูโกว๊กซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวของเวียดนาม

ผมได้มีโอกาสแวะไปที่เมืองลักย้าเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาซึ่งก็มีเหตุผลที่ไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวคนอื่นๆซึ่งก็คือการนั่งเรือเฟอร์รี่จากลักย้าเพื่อข้ามไปเที่ยวที่เกาะฟูโกว๊ก โดยที่ลักย้ามีเรือเฟอร์รี่ให้บริการไปยังเกาะฟูโกว๊กอยู่ทุกวันและจุดของท่าเรือก็อยู่ใจกลางเมืองซึ่งหาไม่ยาก เนื่องจากลักย้าเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากและด้วยความที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาพักที่ลักย้าก็เพื่อข้ามไปยังเกาะฟูโกว๊ก ทำให้หลายๆคนมักจะเลือกค้างคืนในโรงแรมที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกับท่าเรือเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง

โรงแรมในเมืองลักย้าอาจจะมีไม่เยอะเหมือนเมืองใหญ่อื่นๆในเวียดนาม แต่โรงแรมเท่าที่ผมเห็นส่วนมากจะกระจุกตัวอยู่ใกล้ๆกับท่าเรือ โดยหนึ่งในนั้นก็เป็นโรงแรมที่ผมได้เข้าพักซึ่งก็คือ Kiet Hong Hotel ซึ่งทำเลที่ตั้งนั้นถือว่าค่อนข้างดีเนื่องากตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับท่าเรือเมืองลักย้า เรียกได้ว่าเดินข้ามฝั่งถนนก็ถึงจุดของท่าเรือแล้วซึ่งด้วยความที่ทำเลอยู่ติดกับท่าเรือ ทำให้นักท่องเที่ยวที่จะนั่งเรือไปยังเกาะฟูโกว๊กมักเลือกพักที่โรงแรมแห่งนี้กันพอสมควร

ส่วนบรรยากาศของโรงแรมแม้ว่าจะไม่ใช่หรูหราอะไร แต่จุดเด่นก็อย่างที่ผมบอกไปนั่นก็คือเรื่องทำเล โดยที่ผมเลือกพัก 1 คืนในห้องมาตรฐานซึ่งราคาที่ตีเป็นราคาเงินไทยก็อยู่ที่ราวๆเกือบ 500 บาท โดยภายในห้องพักก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งแอร์ ทีวี ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า โต๊ะสำหรับนั่งแต่งหน้าหรือทำงาน โดยมีเตียงนอนให้ 2 เตียงซึ่งขนาดจะแตกต่างกัน ห้องน้ำก็เป็นแบบมาตรฐานทั่วไปของโรงแรมซึ่งมีให้เลือกปรับน้ำร้อนและน้ำเย็นได้ นอกจากนั้นก็ยังมีระเบียงด้านนอกซึ่งสามารถมองเห็นจุดของท่าเรือและอนุสาวรีย์ประจำเมืองลักย้าได้แบบชัดเจน


ห้องมาตรฐานของโรงแรม Kiet Hong Hotel ในเมืองลักย้า
เป็นห้องแบบเตียงคู่ โดยราคาต่อคืนก็เกือบๆ 500 บาท

โต๊ะเอาไว้สำหรับแต่งหน้าและนั่งทำงาน

ทีวีในห้องพักเป็นแบบรุ่นเก่า ส่วนตู้เย็นเป็นแบบขนาดเล็ก
โดยน้ำดื่มที่เห็นในตู้เย็นส่วนใหญ่ต้องเสียเงินเพิ่มต่างหาก

ตู้เสื้อผ้าภายในห้องพัก โดยมาพร้อมกับตะกร้าและไม้แขวนเสื้อ

โต๊ะสำหรับนั่งทานอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ

ห้องน้ำจะอยู่ติดกับประตูของห้องพัก
โดยลักษณะของห้องน้ำก็เป็นไปตามมาตรฐานทั่วๆไป

บริเวณระเบียงด้านนอกจะมองเห็นอนุสาวรีย์ประจำเมือง
รวมไปถึงจุดของท่าเรือเมืองลักย้าที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
13 กรกฎาคม 2566

วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

 

EP.106 นั่งรถจี๊ปนีย์ที่ฟิลิปปินส์


การเดินทางท่องเที่ยวต่างแดนของผมไม่ได้มีแค่ไปเห็นแลนด์มาร์กหรือสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆของประเทศเหล่านั้น เพราะการท่องเที่ยวประเภทนี้ก็เสมือนเราเป็นนักท่องเที่ยวที่ไปกับกรุ๊ปทัวร์ที่แค่ให้ได้ไปเห็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในระยะเวลาสั้นๆแล้วก็ถูกเรียกขึ้นรถเพื่อให้ไปยังจุดหมายอื่นๆเพื่อให้ครบกำหนดการ แต่ตัวผมมีสไตล์การท่องเที่ยวที่เป็นรูปแบบของนักเดินทางแบกเป้เที่ยว นั่นจึงทำให้การเที่ยวต่างแดนของผมจะมีมากกว่าการไปเที่ยวตามแลนด์มาร์กดังๆที่ผู้คนนิยมไปกันซึ่งสิ่งที่มีมากกว่านั้นก็คือ การไปเรียนรู้และเข้าถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นของแต่ละประเทศนั่นเอง

โดยช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมได้แบกเป้ไปเที่ยวที่ฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นครั้งแรกของผมที่ได้ไปเยือนดินแดนตากาล็อก การไปที่ฟิลิปปินส์ก็ไม่ต่างจากที่อื่นๆที่ผมได้ไปครับซึ่งนั่นก็คือการไปสัมผัสและเข้าถึงวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่น โดยวิธีที่จะได้ซึมซับได้ง่ายดายที่สุดก็คือการนั่งรถโดยสารสาธารณะของฟิลิปปินส์ซึ่งก็คือ การนั่งรถจี๊ปนีย์ ซึ่งเปรียบกับบ้านเราก็คงอารมณ์ประมาณนั่งรถสองแถวโดยสารยังไงอย่างนั้น

สำหรับรถจี๊ปนีย์จัดว่าเป็นรถโดยสารสาธารณะที่ได้รับความนิยมอย่างสูงและเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของฟิลิปปินส์เลยทีเดียว โดยคำว่า จี๊ปนีย์ มาจากการรวมคำในภาษาอังกฤษซึ่งคำว่า จี๊ป ก็มาจากรถจี๊ป ส่วนคำว่า นีย์ ก็แปลว่าเข่า เนื่องรถจี๊ปนีย์เป็นรถโดยสารที่ผู้โดยสารจะต้องนั่งชิดติดจนแออัดและเข่าชนกันนั่นเอง ส่วนจุดกำเนิดของรถจี๊ปนีย์นั้นก็มาจากทหารอเมริกันที่ใช้ฟิลิปปินส์เป็นฐานทัพได้ใช้รถจี๊ปนีย์เป็นพาหนะในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 พอสงครามยุติลงรถจี๊ปนีย์ก็ถูกดัดแปลงจากรถที่ใช้ในสงครามมาใช้เป็นรถไว้สำหรับโดยสาร

ตอนที่ผมพักอยู่ในกรุงมะนิลาก็มีโอกาสได้ใช้บริการรถจี๊ปนีย์เพราะต้องการสัมผัสและเข้าถึงวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น โดยครั้งแรกที่ได้ทดลองนั่งก็ต้องยอมรับเลยว่าค่อนข้างเกิดอาการ มึนงง อยู่พอสมควรทั้งบรรยากาศบนรถ ลักษณะของตัวรถ รวมไปถึงระบบการจ่ายเงินค่าโดยสาร แต่เท่าที่ผมสังเกตุได้ก็พบว่าลักษณะของตัวรถจะเป็นที่นั่งเบาะยาวและมีขนาดยาวกว่ารถสองแถวของบ้านเรา แต่ความกว้างนั้นดูแคบกว่าทำให้เข่าของผู้โดยสารจะชนกันพอดี ส่วนข้างรถจะมีการวาดภาพซึ่งเป็นความเชื่อทางศาสนาคริสต์และมีสีสันที่ดูฉูดฉาดเป็นเอกลักษณ์

ขณะที่ออดหรือกริ่งก็ไม่ได้มีเหมือนรถสองแถวบ้านเรา เวลาถึงจุดที่ต้องการจะลงก็ให้ตะโกนบอกกับคนขับ ส่วนวิธีการจ่ายเงินก็แตกต่างจากบ้านเรา เพราะเวลาจะจ่ายเงินก็จะเป็นการจ่ายเงินแบบส่งต่อๆกันไปอย่างถ้าเรานั่งอยู่ท้ายรถก็จะต้องส่งเงินไปให้กับผู้โดยสารที่นั่งด้านในส่งต่อไปเรื่อยๆจนไปถึงมือของคนขับ โดยการนั่งรถจี๊ปนีย์ครั้งแรกของผมต้องถือว่าน่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยซึ่งผมก็ไม่มีจุดหมายว่าจะไปลงที่ไหน สุดท้ายก็นั่งไปเรื่อยๆพอถึงย่านเขตเมืองเก่าอินทรามูรอสเลยเลือกลงที่จุดนี้แล้วจ่ายเงินกับคนขับซึ่งผมจำไม่ได้ว่าจ่ายเป็นเงินกี่เปโซแต่เมื่อมาตีเป็นเงินไทยก็จะอยู่ที่ราวๆ 24 บาทเท่านั้น


รถจี๊ปนีย์เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของประเทศฟิลิปินส์
และเป็นรถโดยสารที่ได้รับความนิยมอยู่พอสมควร

รถจี๊ปนีย์จะมีความยาวกว่ารถสองแถวของบ้านเรา
แต่ที่นั่งผู้โดยสารจะแคบกว่า

ชาวฟิลิปปินส์มักนิยมเดินทางด้วยรถจี๊ปนีย์
เนื่องจากมีราคาถูก โดยค่าโดยสารจะคิดตามระยะทาง

คนขับรถจี๊ปนีย์ต้องมีความชำนาญพอสมควร
ทั้งการจดจำหน้าผู้โดยสารและเรื่องสภาพการจราจรในกรุงมะนิลา

วิธีการจ่ายเงินก็ดูแตกต่างจากเมืองไทย โดยคนที่นั่งท้ายๆ
เวลาจ่ายเงินก็ต้องส่งต่อให้คนแถวในเพื่อส่งไปเรื่อยๆจนถึงมือคนขับ

ตอนที่ผมนั่งรถจี๊ปนีย์ก็มีจังหวะที่คนขับรถแวะเติมน้ำมัน
ซึ่งราคาน้ำมันที่ฟิลิปปินส์ก็ไม่ได้ถูกเท่าไหร่นัก

ผมนั่งรถไปแบบไม่มีจุดหมาย แต่สุดท้ายมาลงแถวย่านเมืองเก่า
โดยค่าโดยสารที่จ่ายไปตีเป็นเงินไทยประมาณ 24 บาท


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
8 กรกฎาคม 2566