วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

 


EP.13 ทะเลสาบใจกลางกรุงย่างกุ้ง

ช่วงนี้สถานการณ์ในประเทศพม่า เพื่อนบ้านอาเซียนของไทยเรายังถือว่าคุกรุ่นพอสมควรนะครับจากเหตุการณ์ที่รัฐบาลทหารพม่าทำการรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนซึ่งก็คือ พรรคเอ็นแอลดี ที่มีนางอองซานซูจีเป็นหนึ่งในแกนนำหลัก การรัฐประหารนำมาซึ่งความไม่พอใจของประชาชนชาวพม่าจนถึงปัจจุบันการต่อต้านชุมนุมขับไล่รัฐบาลทหารพม่ายังคงมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผมเองก็หวังว่าสันติสุขและประชาธิปไตยที่แท้จริงจะกลับคืนมาสู่ชาวพม่าอีกครั้ง ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องเนื้อหาในคืนนี้กันดีกว่าครับ สำหรับประเทศในย่านอาเซียนที่ผมคิดว่าผู้คนค่อนข้างมีน้ำใจต่อนักท่องเที่ยว ผมยกให้พม่าเป็นหนึ่งในนั้น แม้ประวัติศาสตร์ของไทยจะปลูกฝังให้เกลียดชังพม่าที่เคยสู้รบกันมาในครั้งอดีต แต่ในโลกยุคปัจจุบันไทยและพม่าต่างก็พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันในฐานะประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในกลุ่มเออีซีด้วยกัน ความขัดแย้งต่างๆในอดีตถูกทิ้งออกไปจนหมดสิ้นเหลือแต่ความร่วมมือทั้งในด้านการลงทุนและเศรษฐกิจต่างๆ

ขณะเดียวกันมุมมองของชาวพม่าส่วนใหญ่ที่มีต่อคนไทยก็ไม่ได้เกลียดชังเหมือนกับที่คนไทยหลายคนเกลียดพม่า อาจจะเป็นเพราะประวัติศาสตร์ของไทยกับพม่าในด้านการสู้รบมีข้อแตกต่างกัน ชาวพม่ารุ่นใหม่ๆก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับประเทศไทย ตอนผมไปเที่ยวย่างกุ้งพอคนพม่ารู้ว่าผมเป็นคนไทยก็ดูมีท่าทีเป็นมิตรอย่างเห็นได้ชัด หลายคนเคยมาทำงานที่เมืองไทยและสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว ผมเองเคยมองชาวพม่าในแง่มุมที่อาจไม่ดีมาก่อนตามที่เคยเรียนมาในวิชาประวัติศาสตร์ แต่เมื่อได้มาสัมผัสกับตัวเองมุมมองนั้นเปลี่ยนไปโดยทันทีทันใดซึ่งคงเข้าทำนองได้ว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น

ตอนที่ผมไปเที่ยวกรุงย่างกุ้ง ตอนนั้นผมไปเที่ยวพม่าเป็นครั้งแรกในชีวิตซึ่งเกิดขึ้นตอนเดือนสิงหาคมปี 2019 ซึ่งสภาพอากาศที่ย่างกุ้งเวลานั้นถือว่าไม่ค่อยเหมาะในการท่องเที่ยวมากนัก เพราะเป็นช่วงฤดูฝนและมีฝนตกแทบทุกวัน นั่นจึงทำให้ผมไม่สามารถไปเที่ยวไหนได้แบบอิสระเท่าไหร่นัก เพราะฝนตกนี่แหละคืออุปสรรคสำคัญ ส่วนสถานที่หลักๆที่ได้ไปก็มักจะเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันดี หนึ่งในนั้นก็คือ ทะเลสาบอินยา ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงย่างกุ้ง ทะเลสาบแห่งนี้ไม่ใช่ของจริงแต่เป็นทะเลสาบที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ โดยสถานที่ก็หาไม่ยากเพราะอยู่ตรงข้ามกับห้างเมียนมาร์พลาซ่าซึ่งเป็นห้างใหญ่ของกรุงย่างกุ้ง สำหรับบรรยากาศของทะเลสาบอินยาส่วนมากก็ไม่ต่างจากสวนสาธารณะทั่วไปที่เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองย่างกุ้ง โดยเฉพาะในบรรดากลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาว ผมเห็นกลุ่มนี้เยอะมากๆซึ่งส่วนมากก็จะเป็นคู่รักที่สามารถพบเห็นได้หลากหลายคู่

นอกจากนั้นในช่วงเย็นๆก็จะเต็มไปด้วยความคึกคักทั้งจากผู้คนที่มาออกกำลังกาย พ่อค้าแม่ค้าที่นำของกินมาขายซึ่งสามารถขายได้แบบเสรีไม่มีการห้ามนำของมาขายเหมือนสวนสาธารณะบางแห่งในเมืองไทย รวมถึงจุดของตรงทะเลสาบก็จะมีพวกนักกีฬาของพม่าจะมาฝึกซ้อมกีฬากัน เท่าที่ผมเห็นก็จะเป็นกีฬาทางน้ำทั้ง พายเรือแคนู เรือพาย เรือใบ ซึ่งเป็นกีฬาที่อยู่ในการรับรองของมหกรรมกีฬาทั้งโอลิมปิกและเอเชียนเกมส์ แต่นับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเสียดายอย่างมากในวันที่ผมไปที่ทะเลสาบอินยาดันเจอฝนตกหนัก บรรยากาศเลยดูอึมครึมไปสักหน่อยโดยฝนตกกระหน่ำอยู่แทบตลอดเวลาจนตัวผมต้องหาที่นั่งหลบฝนและรอเวลาให้ฝนซาลงซึ่งก็ใช้เวลาอยู่เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว ส่วนสำหรับการเดินทางมาที่ทะเลสาบอินยาก็มาไม่ยากเพราะมีรถเมล์หลายสายวิ่งผ่าน ตรงหน้าทะเลสาบอินยาก็มีคนมายืนรอรถเมล์กันเป็นจำนวนมากซึ่งถ้าในวันที่อากาศดีๆท้องฟ้าแจ่มใส ทะเลสาบอินยาจะมีความคึกคักอย่างมากและจะได้เห็นกิจกรรมที่หลากหลายของผู้คนชาวเมืองย่างกุ้ง หากมีโอกาสเที่ยวที่ย่างกุ้ง การมาเที่ยวพักผ่อนที่ทะเลสาบอินยาถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียว


ทะเลสาบอินยา ทะเลสาบใจกลางกรุงย่างกุ้ง

บรรยากาศตรงทางเข้าด้านหน้า

วันที่ผมไปถ่ายคลิปท้องฟ้าไม่เป็นใจเอาเสียเลย
มีฝนตกแทบตลอด
ป้ายห้ามกระทำสิ่งต่างๆภายในทะเลสาบอินยา

ทางเดินรอบทะเลสาบ

แม้จะมีคำเตือนห้ามตกปลา 
แต่ก็มักมีคนฝ่าฝืนอยู่เรื่อยๆ

บรรยากาศอีกมุมนึงของทะเลสาบอินยา

ที่นั่งพัก สังเกตุว่ามีคนกางร่ม
เพราะฝนกำลังตกลงมาเรื่อยๆ

ตรงกลางทะเลสาบมีการฝึกซ้อมของ
นักกีฬาซึ่งส่วนมากจะเป็นพายเรือแคนู
เรือใบและเรือพาย

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564



EP.12 เฝอประธานาธิบดี


คำว่า เฝอประธานาธิบดี ที่ผมได้จั่วหัวเอาไว้ไม่ใช่เป็นชื่อชนิดของเฝอที่เป็นอาหารประจำชาติของประเทศเวียดนาม แต่เป็นชื่อร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงโฮจิมินห์ของเวียดนามซึ่งมีเมนูหลักก็คือ เฝอ โดยตามชื่อภาษาอังกฤษจะมีชื่อว่า PHO2000 ซึ่งที่มาของการตั้งชื่อร้านแบบนี้ก็มาจากการที่ในยุคปี 2000 ในเวลานั้นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคือ บิล คลินตันได้มาเยือนประเทศเวียดนาม โดยนอกจากจะมาเข้าพบกับประธานาธิบดีของเวียดนามแล้ว บิล คลินตันยังถือโอกาสไปชิมรสชาติอาหารสไตล์เวียดนามแท้ๆอย่าง เฝอ อีกด้วย ซึ่งร้านที่นายคลินตันเข้าไปนั้นก็คือร้านเฝอที่ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนแถวๆตลาดเบนถั่น นับตั้งแต่นั้นมาร้านแห่งนี้จึงกลายเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบัน เพราะการที่มีคนระดับประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเคยเข้ามารับประทานอาหารย่อมทำให้ชื่อเสียงของร้านโด่งดังกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

ส่วนบรรยากาศในร้านผมว่าค่อนข้างธรรมดาไม่ได้มีการตกแต่งขายไอเดียอะไรมากเป็นพิเศษ นอกจากจะนำรูปที่นายบิล คลินตันเคยเข้ามานั่งทานเฝอเมื่อปี 2000 มาติดโชว์ ขณะที่ตัวร้านก็ตั้งอยู่บริเวณด้านบนชั้น 2 เพราะด้านล่างเป็นพื้นที่ของร้านกาแฟ ลักษณะภายในก็ดูแคบลงถนัดตาเนื่องจากในแต่ละวันจะมีลูกค้าเข้ามารับประทานอาหารเป็นจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่เท่าที่ผมมองดูจากสายตาก็จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถือโอกาสมาเที่ยวยังกรุงโฮจิมินห์ก็ต้องแวะมาทานเฝอที่ร้าน PHO2000 ขณะที่เมนูก็มีไม่มากหลักๆก็จะเป็นเฝอเนื้อ เฝอไก่ และก็มีปอเปี๊ยะทอดไว้คอยบริการให้แก่ลูกค้า ส่วนรสชาติผมว่าค่อนข้างธรรมดาเอาจริงๆพวกร้านอื่นๆที่อร่อยกว่ายังมีอีกมากมายนักอีกทั้งราคาของเมนูเฝอที่นี่ก็จะแพงกว่าที่อื่นอย่างที่ผมไปสั่งผมเลือกทานเฝอเนื้อชามนึงก็ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่า 120 บาทเข้าไปแล้วซึ่งผมเองก็ไม่ได้แปลกใจนัก เพราะว่าร้าน PHO2000 เน้นขายชื่อเสียงของร้านมากกว่าเรื่องของบรรยากาศรวมถึงรสชาติ อาจจะพูดได้ว่าเป็นร้านที่โอเวอร์เรทเกินจริงก็คงจะว่าได้


ร้าน PHO2000 ตั้งอยู่หัวมุมถนนใกล้ๆตลาดเบนถั่น

เข้ามาแล้วต้องเดินขึ้นไปชั้นที่ 2 เพราะ
ชั้นล่างเป็นร้านกาแฟ

เมนูยอดฮิตของทางร้านก็คือ เฝอเนื้อ

พนักงานมีหลายคน ขณะเดียวกันลูกค้าก็เข้ามาอย่าง
ต่อเนื่องแบบไม่ขาดสาย

ลูกค้าส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ
โดยกลุ่มทัวร์จีนจะเยอะมากเป็นพิเศษ

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

 


EP.11 สวนสาธารณะย่านฟามงูเหลา

ฟามงูเหลา คือ ถนนสายหนึ่งที่ตั้งอยู่ในกรุงโฮจิมินห์ของประเทศเวียดนาม ถนนย่านนี้จะอยู่ที่แถวเขต 1 ซึ่งจะเป็นย่านที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้ถนนฟามงูเหลาถือว่ามีความคึกคักเต็มไปด้วยร้านอาหาร ผับบาร์ต่างๆและโรงแรมที่ต่างเปิดเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ตอนผมไปเที่ยวโฮจิมินห์ครั้งแรกผมก็มักมาตั้งหลักที่ย่านฟามงูเหลา เพราะเปรียบเสมือนกับ ถนนข้าวสารของเวียดนาม นักท่องเที่ยวต่างชาติก็มักมารวมตัวอยู่กันแถวๆนี้เยอะ 

อีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ในย่านฟามงูเหลาก็คือ สวนสาธารณะ โดยเป็นสวนสาธารณะที่พื้นที่อาจไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นจุดรวมของผู้คนไม่ว่าจะเป็นคนเวียดนามเองหรือจะเป็นนักท่องเที่ยว ส่วนกิจกรรมที่จะพบเห็นได้บริเวณสวนสาธารณะในย่านฟามงูเหลา จากเท่าที่ผมไปเดินสำรวจมาก็ไม่ได้แตกต่างจากเมืองไทยมากนักมีทั้งผู้คนมาวิ่งมาเดินออกกำลังกาย รวมทั้งมาเล่นแบดมินตัน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการเตะลูกขนไก่ โดยจะมีพวกพ่อค้าแม่ค้านำมาตั้งขาย การเล่นก็เหมือนเตะตะกร้อโดยจะมีผู้เล่นล้อมวงประมาณ 3-4 คนขึ้นไปโดยมีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ผมว่ามันน่าสนใจดีแต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ลองเตะถ้ากลับไปเที่ยวโฮจิมินห์ในโอกาสหน้าผมไม่พลาดแน่นอน

โดยผมได้เก็บบรรยากาศทั้งในช่วงกลางวัน ตอนเย็นและตอนหัวค่ำ ตอนเย็นจะมีผู้คนมาออกกำลังกายเยอะที่สุด ส่วนตอนหัวค่ำจะมีกลุ่มสมาชิกชมรมการต่อสู้ ถ้าเดาดูแล้วน่าจะเป็นพวกกังฟูไม่ก็คาราเต้หรือเทควันโด้อย่างใดอย่างหนึ่งมาฝึกฝนกัน ดูจากหน้าตาของแต่ละคนก็ยังเป็นวัยรุ่นวัยเรียนกันทั้งนั้น แต่การออกกำลังกายทุกอย่างดีหมด ผมเองก็ออกกำลังกายบ้างแต่ไม่บ่อยนัก แต่สวนสาธารณะคือสถานที่ที่ผมชอบไปพอสมควรอย่างน้อยไม่ได้ไปออกกำลังกายก็ออกไปนั่งชมบรรยากาศต่างๆดูผู้คนทำกิจกรรมกันก็สร้างความเพลิดเพลินได้ไม่น้อย สวนสาธารณะย่านฟามงูเหลาจึงเหมือนกับจุดนัดพบของชาวเมืองโฮจิมินห์ที่หลงรักในการเล่นกีฬาหรือจะมานั่งคุยกันชมวิถีชีวิตของผู้คนก็เพลินพอสมควรเลยทีเดียว


คนเวียดนามมาออกกำลังกายกันที่
สวนสาธาณะย่านฟามงูเหลา

ตีแบดมินตัน

เตะลูกขนไก่ เสียดายที่ผมไม่ได้มีโอกาสลอง

อีกมุมนึงของสวนสาธารณะ มีเก้าอี้ให้นั่งพอสมควร

ต้นไม้ใหญ่ที่คอยให้ร่มเงา

มีบึงน้ำตั้งอยู่กลางสวนสาธารณะ

ผู้คนมาเดินออกกำลังกาย

กลุ่มผู้หญิงที่เข้ามาออกกำลังกาย

มีเครื่องออกกำลังกายมากมาย

ช่วงหัวค่ำได้เห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่น
มาทำกิจกรรมกันดูแล้วเหมือนเป็นฝึกวิชาการต่อสู้

มีหลากหลายวัยและดูมีความพร้อมเพรียงกัน
พอสมควรเลยทีเดียว