วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2564

 



EP.10 บรรยากาศทั่วไปของกรุงพนมเปญ


ผมเที่ยวในกรุงพนมเปญอยู่ประมาณ 3-4 วัน พยายามเก็บสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญให้ได้มากที่สุดพอถึงช่วงวันท้ายๆก่อนที่จะกลับกรุงเทพฯก็ตัดสินใจเดินสำรวจบรรยากาศของกรุงพนมเปญว่ามีอะไรบ้าง โดยผมเน้นการเดินเป็นหลักส่วนมากก็จะเดินเลาะริมแม่น้ำซึ่งก็จะเป็นเหมือนจุดศูนย์กลางและเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมักจะอยู่กัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเจอพวกของกินต่างๆร้านอาหารผับบาร์และที่พัก นอกจากนั้นยังมีส่วนของตลาดขายสินค้าซึ่งไม่ต่างจากเมืองไทย ส่วนการใช้บริการรถตุ๊กตุ๊กผมตัดสินใจนั่งเที่ยวเป็นครั้งสุดท้ายในการเที่ยวที่พนมเปญ นั่นก็คือการไปเที่ยวชมตลาดขายของที่ระลึกหรือที่รู้จักกันดีในนามของ ตลาดรัสเซีย


ตลาดรัสเซีย เปรียบไปก็เหมือน ตลาดนัดสวนจตุจักร ของบ้านเราที่จะขายพวกสินค้าของที่ระลึกให้แก่นักท่องเที่ยวซึ่งก็มีของมากมายให้เลือกสรรกัน หลังจากนั้นผมก็เดินทางกลับไปแถวๆที่พักเดินเล่นริมแม่น้ำทั้งในตอนกลางวันและกลางคืนซึ่งบรรยากาศจะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด กลางวันจะไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่พอหลังพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้นแหละความคึกคักจะเข้ามาทันทีทั้งแสงไฟแสงสีที่สาดส่องจนดูสวยงาม ร้านอาหารพวกรถเข็นต่างๆผู้คนชาวเขมรรวมถึงชาวต่างชาติออกมาทำกิจกรรมกันมากมาย มีตลาดกลางคืนให้ได้เดินเที่ยวกัน ร้านอาหารและผับบาร์เปิดให้บริการกันมากมาย บรรยากาศในตอนกลางคืนของที่พนมเปญจึงดูมีสีสันและเป็นสวรรค์ของคนรักการเที่ยวกลางคืนไม่น้อยเลยทีเดียว


วันสุดท้ายของที่พนมเปญผมเดินไปที่พระบรมมหาราชวังของที่พนมเปญแต่ไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าไปชมด้านในซึ่งว่ากันว่าพระบรมมหาราชวังแห่งนี้ได้รับอิทธิพลมาจากวัดพระแก้วของบ้านเรา แต่เรื่องความสวยงามวัดพระแก้วของเมืองไทยนั้นดูสวยงามกว่า โดยตรงบริเวณของพระบรมมหาราชวังก็จะเป็นอีกหนึ่งจุดที่ชาวกัมพูชาจะออกมาทำกิจกรรมทั้งนั่งคุยกัน ซื้อของกิน นั่งกันเป็นกลุ่มครอบครัวโดยมีพ่อค้าแม่ค้ามานั่นขายของกันเต็มไปหมด ภาพแบบนี้นึกไปแล้วก็ชวนให้นึกถึงบรรยากาศของท้องสนามหลวงในสมัยอดีตซึ่งผมลองเปรียบเทียบดูแล้ว บรรยากาศของที่พนมเปญในเวลากลางวันและกลางคืนจะให้อารมณ์แบบ 2 บรรยากาศ โดยในช่วงกลางวันจะดูเป็นภาพแบบคลาสสิค ส่วนตอนกลางคืนจะเป็นภาพแห่งความโมเดิร์นและทันสมัย


สำรวจบรรยากาศของกรุงพนมเปญ


อนุสรณ์สถานรำลึกเวียดนาม - กัมพูชา


ตลาดรัสเซีย สถานที่ขายของที่ระลึก


มีสินค้าให้เลือกสรรมากมาย


ร้านขายเครื่องประดับ สร้อย แหวน กำไลต่างๆ


ร้านขายภาพวาดที่เป็นงานฝีมือ


นั่งรถผ่าน วิมานเอกราช เลยถ่ายรูปสักหน่อย


พระบรมมหาราชวังแห่งกรุงพนมเปญ
บรรยากาศคล้ายๆวัดพระแก้วแต่มีพื้นที่เล็กกว่า


โรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญ


ภาพนี้ผมถ่ายจากตรงร้านอาหารฝั่งตรงข้ามริมน้ำ


ตกกลางคืนบรรยากาศเริ่มคึกคัก
มีร้านรถเข็นต่างๆมาตั้งขายกันเยอะแยะ


ตลาดกลางคืน ส่วนใหญ่คนที่มาเดินจะเป็นคนท้องถิ่น


ผมมานั่งพักชมบรรยากาศริมน้ำในตอนกลางคืน


เดินไปสำรวจตรงตลาดในช่วงเช้า


บรรยากาศริมน้ำในตอนเช้า

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2564

 



EP.9 ทุ่งสังหารแห่งกัมพูชา


กัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศที่เคยมีเหตุการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สังหารคนในประเทศอย่างโหดร้ายมาแล้ว โดยเหตุการณ์ที่หลายๆคนไม่มีวันลืมก็คือ เรื่องราวของกลุ่มเขมรแดงซึ่งเคยมีอำนาจเมื่อสักประมาณ 40-50 กว่าปีก่อน โดยกลุ่มเขมรแดงก็เปรียบได้ดั่งกับกองกำลังคอมมิวนิสต์ของกัมพูชา โดยมี พอล พตเป็นผู้นำและมีอุดมการณ์คือ เผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพเป็นตัวขับเคลื่อน ทำให้ศัตรูทางการเมืองของเขมรแดงไม่ว่าจะเป็น กลุ่มทหาร ข้าราชการ ปัญญาชนผู้มีการศึกษา ที่มีแนวคิดตรงกันข้ามต่างถูกกำจัดเสียหมดสิ้น รวมๆแล้วในช่วงที่เขมรแดงครองประเทศได้ทำการสังหารประชาชนชาวเขมรไปมากกว่า 3 ล้านคนถือว่าเป็นเหตุการณ์สังหารที่โหดร้ายและรุนแรงแบบถึงขีดสุดในประวัติศาสตร์ของกัมพูชา


โดยเหตุการณ์สังหารโหดในอดีตก็นำมาซึ่งสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ที่ไม่น่าจดจำของผู้คนชาวเขมรซึ่งสถานที่นั้นก็คือ ทุ่งสังหารหรือตามคำศัพท์ภาษาเขมรจะเรียกว่า เจืองเอ็ก ปัจุบันทุ่งสังหารกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของกัมพูชาและของกรุงพนมเปญเลยทีเดียว นักท่องเที่ยวมาเยือนต่างก็มีจุดมุ่งหมายมาชมสถานที่แห่งนี้ให้เห็นกับตาตัวเอง สำหรับทุ่งสังหารอยู่เขตนอกเมือง วิธีสะดวกที่สุดก็คือเหมารถตุ๊กตุ๊ก เมื่อมาถึงจะพบประตูทางเข้าอยู่ด้านหน้า เอาเป็นว่าแค่มองจากข้างนอกก็ให้อารมณ์แบบหดหู่ดูวังเวงพอสมควร พอก้าวข้ามประตูไปจะเจอกับจุดขายตั๋วซึ่งราคาสำหรับชาวต่างชาติอยู่ที่ 6 ดอลล่าร์ นอกจากนี้ยังมีบริการออดิโอไกด์หรือหูฟังคำบรรยายในภาษาต่างๆซึ่งมีมากมายนักทั้ง เขมร อังกฤษ สเปน ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น จีน มาเลย์และรวมถึงภาษาไทยของเราก็มีด้วยเช่นกัน


พอซื้อตั๋วและรับหูฟังเสร็จเจ้าหน้าที่ก็จะแจกใบโบรชัวร์ซึ่งแสดงถึงแผนผังของสถานที่โดยจะต้องเดินไปตามจุดต่างๆตั้งแต่จุดแรกไปถึงจุดสุดท้ายซึ่งในออดิโอไกด์เขาจะบอกแบบเสร็จสรรพ เพราะฉะนั้นไม่มีทางหลงหรืองงแน่นอน ผมเดินจากที่ 1 ไปยันจุดสุดท้ายได้รับฟังเรื่องราวต่างๆจนเต็มอิ่มก็รู้สึกหดหู่และสงสารกับเหยื่อที่ถูกกลุ่มเขมรแดงสังหารอย่างโหดร้ายทารุณ ซึ่งการฆ่ามีในหลากหลายรูปแบบซึ่งล้วนแต่โหดๆทั้งนั้นและที่ดูหดหู่มากสุดก็คงหนีไม่พ้นการจับเอาเด็กเล็กๆที่ไม่ประสีประสาฟาดกับต้นไม้จนตายคาที่ ส่วนวิธีการเอาตัวเหยื่อมาฆ่าก็จะมีการหลอกล่อว่าจะพาไปยังที่แห่งใหม่ซึ่งจะเป็นสถานที่ที่สบายๆไม่ทุกข์ร้อนซึ่งคำพูดเหล่านั้น เหยื่อหลายคนก็เข้าใจแล้วว่ามันคือการนำมาฆ่าทิ้งนั่นเอง โดยในแต่ละวันจะมีการนำนักโทษหลากหลายวัยขึ้นรถบรรทุกและพามาสังหารที่ทุ่งสังหารแห่งนี้


สำหรับจุดสุดท้ายในการเดินชมทุ่งสังหารก็คือ จุดของสถูปรำลึกซึ่งได้มีการสร้างขึ้นมาใหม่หลังจากการล่มสลายของเขมรแดง โดยสถูปรำลึกแห่งนี้จะเก็บรวบรวมบรรดากะโหลกอวัยวะชิ้นต่างๆของเหยื่อที่ถูกสังหารลงไป ทั้งในส่วนศรีษะ แขน ขา สะโพก รวมถึงยังเก็บบรรดาเสื้อผ้าของเหยื่อและอาวุธที่ใช้ในการสังหารให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน นอกจากนั้นภายในทุ่งสังหารยังมีในส่วนของพิพิธภัณฑ์ซึ่งจะจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาตร์ของทุ่งสังหาร ข้อมูลของกลุ่มเขมรแดง รวมถึงห้องฉายภาพวีดีโอเกี่ยวกับผู้รอดชีวิตในเหตุการณ์สังหารโหดของเขมรแดง ซึ่งแม้ว่าทุ่งสังหารจะเป็นสถานที่แห่งความโหดร้ายและทารุณแต่ก็เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายของมนุษย์ที่กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองและเป็นเครื่องเตือนความจำว่าเหตุการณ์ในอดีตจะไม่เกิดขึ้นซ้ำสองอีกครั้งในปัจจุบันหรืออนาคต


ประตูทางเข้าด้านหน้าแค่เห็นก็ให้อารมณ์หดหู่แบบสุดๆ


แผนผังแสดงถึงจุดต่างๆภายในพื้นที่
ทุ่งสังหาร


ภาพและข้อมูลที่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ในอดีตของทุ่งสังหารแห่งนี้


หลุมศพที่ใช้ฝังศพเหยื่อของเขมรแดง


ต้นไม้แห่งความตาย พวกเขมรแดงจะจับเอา
เด็กเล็กๆมาฟาดกับต้นไม้จนตาย


กระดูกส่วนแขนไหล่ลำตัวและฟันของเหยื่อ


กะโหลกศรีษะของเหยื่อที่ถูกสังหาร
มีอยู่อย่างมากมายทั้งชายและหญิง


หนึ่งในอาวุธที่เขมรแดงใช้สังหารนักโทษ


สถูปรำลึก ถูกสร้างขึ้นหลังจากที่
เขมรแดงล่มสลาย

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2564

 



EP.8 ร้านอาหารไทยในกรุงพนมเปญ


กรุงพนมเปญ คือ เมืองหลวงของประเทศกัมพูชาและด้วยความที่เป็นเมืองหลวงนี่เอง ทำให้พนมเปญเป็นเมืองที่ทันสมัยและเจริญมากที่สุดของประเทศ โดยนอกจากจะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ทางราชการ บริษัทเอกชนและสถานที่อื่นๆอีกมากมาย นอกจากนั้นกรุงพนมเปญยังถือว่าเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกและการที่มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเที่ยวกันมากมายในแต่ละปี ทำให้เกิดธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและสถานบันเทิงยามค่ำคืนและที่มีมากอีกเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ พวกบรรดาร้านอาหาร


ผมไปเที่ยวพนมเปญครั้งแรกก็ตอนปี 2017 หลังจากเที่ยวเสียมเรียบในทริปแรกก็กลับไปเที่ยวเขมรเป็นครั้งที่ 2 คราวนั้นอยู่เที่ยวพนมเปญแบบเน้นๆ ส่วนใหญ่บรรยากาศก็ไม่ต่างจากเมืองหลวงของประเทศอื่นๆที่จะเต็มไปด้วยแสงสีอันศิวิไลช์ความทันสมัยและการจราจรที่คับคั่ง สิ่งหนึ่งที่ผมได้ไปลองสัมผัสก็คือ ร้านอาหาร และก็มาเจอร้านอาหารแห่งหนึ่งที่สะดุดตามากนั่นก็คือ ร้านอาหารไทย โดยร้านอาหารไทยที่พนมเปญมีชื่อร้านว่า เชียงใหม่ เจ้าของร้านเป็นชาวกัมพูชาเชื้อสายจีน โดยมีเมนูอาหารไทยให้เลือกมากมายขายตั้งแต่ช่วงกลางวันไปจนถึงมืดค่ำ แต่ถ้าให้ได้บรรยากาศมากที่สุดก็ควรไปทานในตอนกลางคืน โดยร้านอาหารแห่งนี้อยู่แถวใกล้ๆริมแม่น้ำ โดยจุดนี้จะเป็นแหล่งรวมพวกบรรดาร้านอาหารและสถานบริการต่างๆซึ่งส่วนมากจะเป็นร้านที่เน้นขายนักท่องเที่ยวต่างชาติ ราคาส่วนมากก็จะเป็นราคานักท่องเที่ยวจึงไม่แปลกที่จะแพงไปอีกเท่าตัว ส่วนถ้าอยากได้ราคาถูกๆราคาแบบคนท้องถิ่นก็จะอยู่อีกโซนนึงซึ่งก็ไม่ได้ไกลกันมากนัก


สำหรับเมนูที่ผมสั่งไปก็มีผัดผักรวมมิตร ส้มตำไทย ข้าวเปล่า 1 จานและน้ำเปล่า 1 ขวด ราคาโดยรวมก็ 300 กว่าบาท ส่วนรสชาติผมว่าค่อนข้างจืดอาจไม่จัดจ้านถูกปากคนไทยนัก แต่เข้าใจได้ว่าเน้นขายคนต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มฝรั่ง จึงแทบไม่มีกลิ่นอายแบบอาหารไทยต้นตำรับแท้ๆแต่รสชาติโดยรวมก็ถือว่าพอทานได้ไม่ได้ถึงขั้นแย่อะไร ส่วนมากจะเน้นขายบรรยากาศและทำเลที่ตั้งเสียมากกว่า เพราะแค่เดินข้ามถนนไปก็จะเป็นบริเวณริมแม่น้ำที่เป็นจุดชมวิวของกรุงพนมเปญซึ่งตั้งแต่ช่วงเย็นไปจนถึงดึกดื่นจะมีผู้คนมานั่งเล่นทำกิจกรรมต่างๆกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้าหากหิวก็เดินข้ามถนนมาก็จะเจอร้านอาหารมากมายหลากหลายร้านให้เลือกทาน แต่ถ้าอยากลิ้มรสชาติอาหารไทยก็อย่าลืมแวะมาที่ร้านเชียงใหม่ ซึ่งมีเมนูอาหารไทยให้เลือกสรรอยู่เป็นจำนวนมาก


เชียงใหม่ ร้านอาหารไทยในกรุงพนมเปญ


ส้มตำไทย รสชาติจืดไปหน่อย


ผมสั่งมา 2 อย่างรวมราคาทั้งสิ้น 300 กว่าบาท

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2564

 



EP.7 รถไฟไม้ไผ่พระตะบอง

พระตะบอง เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของกัมพูชา ในอดีตนั้นพระตะบองเคยเป็นส่วนหนึ่งของสยามประเทศแต่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ที่ไทยต้องยอมเสียดินแดนส่วนน้อยเพื่อรักษาดินแดนส่วนใหญ่เอาไว้ ทำให้พระตะบองถูกแยกออกจากผืนแผ่นดินไทยและตกเป็นพื้นที่อาณาเขตของกัมพูชาจนถึงปัจจุบัน โดยในทุกวันนี้พระตะบองเป็นอีกหนึ่งจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญของกัมพูชา ถ้าเดินทางมาจากอรัญประเทศที่จังหวัดสระแก้วและข้ามด่านตรงปอยเปตจะใช้เวลามาที่พระตะบองไม่เกิน 4 ชั่วโมงซึ่งใกล้กว่าที่เสียมเรียบหรือพนมเปญ


ผมเดินทางมาเที่ยวพระตะบองเมื่อตอนเดือนเมษายนปี 2019 โดยนั่งรถไฟจากกรุงเทพมาที่อรัญประเทศและข้ามแดนเข้าเขมรจากนั้นต่อรถบัสไปที่พระตะบองมาถึงก็ราวๆ 5 ทุ่มไปแล้ว พอวันรุ่งขึ้นก็ค้นหาโปรแกรมว่ามีสถานที่ใดน่าสนใจบ้างในพระตะบอง สุดท้ายแล้วสิ่งที่ควรทำเมื่อมาเยือนพระตะบองนั่นก็คือ การนั่งไฟไม้ไผ่อันคลาสสิค เมื่อมาถึงที่แล้วไม่ลองก็คงเหมือนมาไม่ถึง ผมจึงตัดสินใจจ้างรถตุ๊กตุ๊กเหมาพาเที่ยวและมุ่งไปยังสถานที่ตั้งของรถไฟไม้ไผ่ซึ่งอยู่ในเขตชุมชนอุดัมบัง โดยชาวบ้านที่นี่ได้มีการดัดแปลงนำไม้ไผ่มาต่อกับชุดโลหะแล้วนำเครื่องยนต์เรือมาติดตั้ง ทำให้กลายเป็นพาหนะสุดคลาสสิคซึ่งรู้จักกันดีในภาษาเขมรว่า โนรี หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า รถไฟไม้ไผ่นั่นเอง


โดยในอดีตนั้นเส้นทางรถไฟตรงบริเวณนี้เคยเป็นจุดที่ใช้ลำเลียงสินค้าของบรรดาทหารเขมรแดงในยุคที่เขมรมีสงครามกลางเมือง แต่หลังจากสิ้นสุดลงทางรถไฟสายนี้ก็ถูกทิ้งร้างจนกระทั่งมีบรรดาชาวบ้านได้ทำการชุบชีวิตเส้นทางรถไฟบริเวณชุมชนอุดัมบังให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง ในที่สุดก็มาลงตัวกันที่ รถไฟไม้ไผ่ ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของจังหวัดพระตะบอง ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจากหลากหลายชาติมาทดลองนั่งสัมผัสบรรยากาศของรถไฟไม้ไผ่กันอย่างมากมาย ซึ่งราคาสำหรับการนั่งรถไฟไม้ไผ่จะอยู่ที่ 10 ดอลล่าร์หรือราวๆ 310 บาทคิดระยะเวลาทั้งขาไปและขากลับก็ไม่เกิน 1 ชั่วโมง โดยระหว่างที่นั่งไปนั้นจะผ่านเส้นทางบรรยากาศของชนบทและท้องทุ่งนา มองเห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ยึดอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยคนขับรถไฟไม้ไผ่จะมีจังหวะในการขับที่ทั้งเร็วและช้าแล้วแต่บุคคล หากตรงไหนบรรยากาศสวยๆก็อาจจะมีชะลอให้ช้าลงเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปและถ้ามีรถสวนกันก็จะต้องมี 1 คันที่ต้องยอมเสียสละยกรถออกจากรางเพื่อให้อีกคันสวนผ่านไปได้ โดยขั้นตอนการยกรถและถอดเครื่องต่างๆใช้เวลาไม่นานนัก จากนั้นก็จะวิ่งไปยังจุดพักซึ่งก็คือจุดขายสินค้าของที่ระลึก ซึ่งส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นบรรดาเสื้อผ้า ผมเองก็ไปซื้อเสื้อยืดมา 1 ตัวซึ่งก็เป็นรูปภาพรถไฟไม้ไผ่และสกรีนคำว่า Battambang ลงไป


หลังจากนั้นคนขับก็จะพากลับไปยังจุดเดิมพอไปถึงก็จะมีการเรียกขอทิปกันเล็กน้อยซึ่งก็ถือว่าเป็นปกติ ผมเองก็ให้ทิปไปประมาณ 2 ดอลล่าร์ ซึ่งผมมองว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีในการมานั่งรถไฟไม้ไผ่สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะในตอนนี้เริ่มมีข่าวว่าเส้นทางรถไฟสายนี้จะมีการปรับปรุงและเตรียมเปิดให้บริการให้เป็นเส้นทางวิ่งของรถไฟในกัมพูชาอีกครั้งซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าหากรถไฟกลับมาวิ่งให้บริการ รถไฟไม้ไผ่ของพระตะบองก็คงต้องหยุดวิ่งและเหลือแต่ตำนานให้คนได้จดจำถึงภูมิปัญญาของชาวบ้านที่ได้สร้างรถไฟไม้ไผ่ให้บริการแก่นักท่องเที่ยวจนกลายเป็นสัญลักษณ์และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดพระตะบอง


รถไฟไม้ไผ่ สัญลักษณ์สำคัญประจำจังหวัดพระตะบอง


รถไฟไม้ไผ่ ภูมิปัญญาชาวบ้าน
ในเขตอุดัมบัง


รางรถไฟ ในอดีตเคยเป็นจุดลำเลียงสินค้าของ
ทหารเขมรแดงในยุคสงครามกลางเมือง


บรรยากาศระหว่างทางที่รถไฟไม้ไผ่แล่นผ่าน


นั่งได้มันส์ดี คนขับมีทั้งช่วงเร่งและผ่อน
บางจังหวะมีโยกเยกบ้าง


จุดแวะพัก บริเวณนี้จะเป็นจุดขายสินค้า
มีทั้งของกินและของที่ระลึก


ผมเหมารถตุ๊กตุ๊กพาเที่ยวตลอดวัน
เที่ยวเขมรการเหมารถตุ๊กตุ๊กได้รับความนิยมมากที่สุด
แต่ต้องตกลงราคากับคนขับให้ดีๆ

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2564

 



EP.6 ทะเลสาบเขมร

โตนเลสาบ คือ ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของกัมพูชาและใหญ่ที่สุดของทวีปเอเชียเลยด้วยซ้ำไป โดยครอบคลุมพื้นที่จังหวัดต่างๆของกัมพูชาหลายจังหวัดทั้ง เสียมเรียบ พระตะบอง โพธิสัตว์ กัมปงชนังและกัมปงธม ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่หล่อเลี้ยงชีวิตของบรรดาชาวกัมพูชา โดยโตนเลสาบมีปลาสายพันธุ์ต่างๆมากกว่า 300 ชนิด วิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่จึหนีไม่พ้นการออกล่าหาปลาและดำรงชีพด้วยการเป็นชาวประมง


ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวชมบรรยากาศของโตนเลสาบ ทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ของเขมรก็ได้เห็นชีวิตริมแม่น้ำซึ่งชาวบ้านก็อยู่กันแบบง่ายๆเน้นการหาปลาเป็นหลักและอีกสิ่งหนึ่งที่เข้ามาสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านก็คือ การท่องเที่ยว ซึ่งจะมีทั้งการเปิดสถานที่ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม การรับจ้างเป็นคนขับเรือรับจ้าง ใครพูดภาษาอังกฤษได้ก็ไปเป็นไกด์รวมถึงการขายสินค้าที่ระลึกต่างๆให้แก่นักท่องเที่ยว โดยเป้าหมายหลักของพวกเขาก็คือ นักท่องเที่ยวต่างชาตินั่นเอง สำหรับค่าเข้าชมโตนเลสาบผมจำราคาค่าตั๋วไม่ได้แล้ว แต่ค่อนข้างแพงเอาการอยู่ซึ่งผมเหมาเรือ 1 ลำเที่ยวคนเดียว โดยมีพนักงาน 2 คนไปพร้อมกับผม คนนึงเป็นคนขับเรืออีกคนนึงเป็นไกด์ที่คอยให้ข้อมูลต่างๆ


สิ่งที่ผมได้ไปเห็นนอกจากวิถีชีวิตริมแม่น้ำของบรรดาชาวบ้านก็ยังมี จุดขายของที่ระลึก โรงเรียน สถานที่ราชการก็มีตั้งอยู่บริเวณโตนเลสาบ สำหรับโรงเรียนจะมีเด็กเชื้อสายเวียดนามอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เด็กส่วนมากมีฐานะยากจนและดูน่าสงสารบางคนเป็นเด็กกำพร้า โรงเรียนจึงเปรียบเสมือนสถานที่เลี้ยงดูเด็กที่กำพร้าและขาดแคลนไปในตัวซึ่งก่อนที่จะเข้าไปชมบรรยากาศภายในโรงเรียน เรือจะจอดให้ฟังข้อมูลจากคนดูแลโรงเรียนพร้อมกับพยายามตื๊อให้นักท่องเที่ยวซื้อของให้แก่เด็กๆซึ่งก็ถือว่าเป็นไปตามสเตปในการเรียกเงินจากนักท่องเที่ยว ผมได้จ่ายเงินไปจำนวนหนึ่งซื้อพวกข้าวสารและขนมในการแจกเด็กๆ หลังจากนั้นก็ไปยังจุดที่เป็นบ่อเลี้ยงจระเข้ดูๆไปแล้ว ผมว่าไม่ต่างจากที่ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการหรือบึงสีไฟที่พิจิตรแถมมีจระเข้น้อยกว่า บ่อเลี้ยงจระเข้ในโตนเลสาบผมจึงรู้สึกเฉยๆไม่ได้ตื่นเต้นอะไร


สำหรับ โตนเลสาบ จริงๆมีจุดน่าสนใจอีกมากมายโดยเฉพาะในตอนเย็นๆจะสามารถเห็นวิวพระอาทิตย์ตกดินอย่างสวยงาม แต่ตอนที่ผมไปดันเป็นตอนบ่ายแดดร้อนจ้าจึงไม่มีโอกาสได้เห็นวิวพระอาทิตย์ตกดิน รวมๆแล้วผมว่าโตนเลสาบมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้เห็นเยอะ แต่ความคิดส่วนตัวของผมดูไปก็เหมือนสถานที่เน้นขายแพ็คเกจเน้นขายของยัดเยียดให้แก่นักท่องเที่ยวมากเกินไป หากใครคิดจะไปเที่ยวสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนอย่างแท้จริงท่านอาจจะผิดหวัง แต่ถ้าอยากเที่ยวชมบรรยากาศของโตนเลสาบซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ผมว่าก็เป็นตัวเลือกที่ดีซึ่งแนะนำว่าควรมาตอนเย็นๆก็จะสามารถเก็บบรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ตกดินได้แบบสวยงาม


โตนเลสาบ ทะเลสาบน้ำจืดของเขมร


โตนเลสาบเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุด
ในทวีปเอเชีย


โตนเลสาบ


ล่องเรือชมบรรยากาศ ผมจำราคาค่าตั๋วไม่ได้แล้ว
แต่ค่อนข้างแพงเอาเรื่องอยู่


มองเห็นบ้านเรือนริมน้ำของชาวบ้าน


โรงเรียนประจำโตนเลสาบ


มีเด็กมากมายหลายชีวิต
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กกำพร้าและมีฐานะยากจน


เด็กส่วนใหญ่มีเชื้อสายเวียดนาม


บ่อเลี้ยงจระเข้ขนาดไม่ใหญ่นัก

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2564



EP.5 นครวัด นครธม ตาพรหม

สถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังและเป็นไฮไลท์ของเมืองเสียมเรียบก็คงหนีไม่พ้น ปราสาทนครวัด ปราสาทนครธมและปราสาทตาพรหม ซึ่งผมก็ไม่พลาดที่จะไปเที่ยวเก็บสถานที่เหล่านี้ แต่เอาเข้าจริงๆผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเที่ยวในสถานที่ดังๆหรือแลนด์มาร์คสำคัญอะไรเท่าไหร่ เพียงแต่ในเวลานั้นคิดว่ามันคือการเดินทางท่องเที่ยวต่างแดนครั้งแรกก็ควรไปเที่ยวในที่ที่นักท่องเที่ยวคนอื่นๆนิยมไปกันก่อน เพราะยังเป็นนักเดินทางหน้าใหม่ ไอ้ครั้นจะโชว์ห้าวเที่ยวในที่แปลกๆสถานที่ใหม่ๆที่คนไม่รู้จักมันก็คงยังไงอยู่ สุดท้ายก็เลือกเที่ยวตามรอยตามกระแสคนอื่นๆซึ่งก็คือ นครวัดนครธมและตาพรหม 3 ปราสาทอันโด่งดังของเขมรนั่นเอง


การไปเที่ยวชมปราสาทนครวัดนั้นมีให้เลือก 2 เวลานั่นก็คือรอบเช้าและรอบสาย ผมเลือกไปตั้งแต่เช้าซึ่งต้องไปก่อนช่วงตี 5 ช่วงเวลาเช้าๆแบบนี้เป็นช่วงนักท่องเที่ยวนิยมมากัน โดยการเดินทางไปที่ปราสาทนครวัดต้องอาศัยการเหมารถรับจ้างซึ่งที่กัมพูชาจะเป็นลักษณะคล้ายสามล้อเครื่องซึ่งคนขับรถรับจ้างพวกนี้จะอาศัยหากินกับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลักอยู่แล้ว ขนาดผมลงจากรถบัสตอนที่มาถึงเสียมเรียบใหม่ๆ พวกบรรดาพี่ๆท่านก็มายืนรอคอยต้อนรับตรงทางลงรถกันเต็มไปหมดและพยายามโน้มน้าวให้เหมาพวกเขาในการพาเที่ยวที่ต่างๆในเมืองเสียมเรียบ ส่วนราคาก็แล้วแต่ตกลงกันเองเลยครับแต่ส่วนมากแล้วเรทที่เหมาะสมก็คือไม่เกิน 25 ดอลล่าร์


ผมไปครั้งแรกก็เจอโก่งราคาแพงเลย ผมไปครั้งนั้นต้องยอมรับว่าไม่ได้ศึกษาข้อมูลมากพอจึงถูกต้มไปพอสมควรซึ่งก็ถือว่าเป็นทเรียนสำหรับนักท่องเที่ยวมือใหม่ซึ่งอย่างน้อยควรศึกษาข้อมูลก่อนการเดินทางให้ดี หากไม่อยากเจอฟันราคาจนหัวแบะแบบผม ทีนี้มาถึงเรื่องของการเข้าชมปราสาทนครวัด สำหรับค่าเข้าของชาวต่างชาติตอนผมไปซื้อเมื่อปี 2017 ผมจ่ายไป 37 ดอลล่าร์ซึ่งเป็นเงินไทยก็หลักพันกว่าบาท ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าขึ้นราคาอีกไหม โดยในเรทราคานี้สามารถเข้าชมได้ 3 ปราสาทและต้องเก็บไว้อย่าให้หายเพราะต้องเอาไปแสดงกับเจ้าหน้าที่ทุกครั้งก่อนเข้าไปชม สำหรับประวัติของปราสาทนครวัดผมคงไม่ลงรายละเอียดเพราะมีข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับนครวัดอยู่อย่างมากมาย แต่จะบอกเล่าเกี่ยวับบรรยากาศต่างๆซึ่งส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวจะบ่นคล้ายๆกันว่า โคตรร้อน ผมเองไปตั้งแต่เช้าพอสายหน่อยก็เริ่มร้อนเหงื่อซึมแล้ว เพระาฉะนั้นถ้าใครไปควรพกร่มหรือครีมกันแดดไปด้วย เพราะอากาศค่อนข้างอบอ้าวเลยทีเดียว


หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าที่ปราสาทนครวัดเสร็จก็ไปต่อที่ปราสาทนครธมอีกหนึ่งปราสาทชื่อดังที่บอกเล่าความยิ่งใหญ่และเรืองรองของอาณาจักรขอมในอดีตได้เป็นอย่างดี ขณะที่เดินในปราสาทนครธมสังเกตุเห็นมีนักเรียนชาวเขมรมาทัศนศึกษากันด้วย  หลังจากเดินชมจนหนำใจก็ไปต่อที่ปราสาทสุดท้ายคือ ปราสาทตาพรหม ปราสาทแห่งนี้กลายเป็นที่นิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกหลังจากที่กองถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ทูมไรเดอร์ จากฮอลลีวู้ดลงทุนมาบินมาถ่ายทำกันถึงที่นี่นำมาโดยนางเอกคนดังของเรื่องอย่าง แองเจลิน่า โจลี่ ทำให้ปราสาทตาพรหมกลายเป็นสถานที่โด่งดังมีชื่อเสียงระดับโลกขึ้นมา สัญลักษณ์อันโดดเด่นที่หลายคนต้องมาถ่ายรูปก็คือต้นไม้ใหญ่ที่ครั้งนึงเคยเป็นฉากในหนังเรื่อง ทูมไรเดอร์ ส่วนบรรยากาศตอนที่ไปก็วุ่นวายพอดู เนื่องจากทัวร์จีนมาลงกันให้เพียบซึ่งไม่น่าแปลกใจ นอกจากจะมีทัวร์จีนแล้วก็มีคณะทัวร์จากหลากหลายประเทศซึ่งผมก็ได้ยินคณะทัวร์จากไทยแลนด์บ้านเกิดเช่นเดียวกัน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าทั้งปราสาทนครวัด นครธมและตาพรหมคือของดีและสถานที่ท่องเที่ยวที่สร้างรายได้เข้าประเทศกัมพูชาในแต่ละปีอย่างมหาศาลเลยทีเดียว


พระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าที่ปราสาทนครวัด


ถ่ายบรรยากาศจากอีกมุม


ปราสาทนครวัดในแต่ละวันจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว
จากทั่วโลก


รูปปั้นภายในปราสาทนครวัด


บริเวณทางเข้าด้านหน้า


อีกส่วนหนึ่งของปราสาทวัด


อีกส่วนหนึ่งของปราสาทวัด


อีกส่วนหนึ่งของปราสาทวัด


ทางเข้าปราสาทนครธม


ด้านหน้าของปราสาทนครธม


ภายในปราสาทนครธม


ปราสาทนครธม โบราณสถานอันล้ำค่าของเขมร


ปราสาทนครธม โบราณสถานอันล้ำค่าของเขมร


ปราสาทนครธม โบราณสถานอันล้ำค่าของเขมร


วันที่ผมไปเจอนักเรียนมาทัศนศึกษาพอดี


คณะนางรำโชว์ประจำปราสาทนครธม


ปราสาทตาพรหม เอกลักษณ์เด่นคืนต้นไม้
ที่ขึ้นอยู่บริเวณตัวปราสาท


ปราสาทตาพรหม ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำ
ภาพยนตร์เรื่อง ทูมไรเดอร์


บรรยากาศอีกมุมของปราสาทตาพรหม


ปราสาทตาพรหม