วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

 

EP.151 ตลาดสดเมืองด่งเฮ้ย


บรรยากาศของตลาดสดหรือตลาดท้องถิ่นในต่างแดนยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดให้นักเดินทางอย่างผมต้องไปสัมผัสและเห็นกับตาตนเองอยู่เสมอ แม้ว่าในโซนอาเซียนตลาดสดของแต่ละประเทศก็ดูไม่แตกต่างกันมากนัก แต่มนต์เสน่ห์ของความเป็นท้องถิ่นนี่แหละที่ทำให้ผมชื่นชอบ เพราะว่าการได้เห็นความเป็นท้องถิ่นแท้ๆทำให้สามารถเข้าถึงวิถีชีวิตของผู้คนประจำท้องถิ่นนั้นๆได้เป็นอย่างดี

สำหรับตลาดท้องถิ่นในอาเซียนผมก็ได้ไปมาแล้วหลายที่โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศเวียดนามซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ตลาดสดเมืองด่งเฮ้ย ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคกลางของเวียดนาม สำหรับบรรยากาศของตลาดสดที่เมืองด่งเฮ้ยดูค่อนข้างมีความคึกคักเป็นอย่างมาก โดยตลาดจะเริ่มเปิดขายกันตั้งแต่ช่วงเช้ามืดและขายกันไปจนถึงช่วงสายไปจนถึงเที่ยงยันถึงบ่าย โดยสินค้าที่ขายกันในตลาดก็มีอยู่หลากหลายอย่างครับทั้งของสดและของแห้ง โดยเฉพาะพวกปลาจะได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษและมักจะมีผู้คนมาเดินเลือกซื้อกันอย่างมากมาย

ส่วนโซนอื่นๆก็จะมีของขายอยู่เยอะแยะไม่ว่าจะเป็น ผักสดและผลไม้ โซนขายดอกไม้ โซนของวัตถุดิบที่จะนำไปประกอบอาหาร รวมไปถึงโซนที่ตั้งอยู่ในตัวอาคารที่จะเน้นขายสินค้าประเภทเครื่องแต่งกายไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หมวก รองเท้า กระเป๋า ซึ่งจากการที่ผมได้ลงสำรวจพื้นที่ก็พบตลาดสดเมืองด่งเฮ้ยเป็นจุดที่เต็มไปด้วยผู้คนและดูค่อนข้างวุ่นวาย ยิ่งถ้ามาเดินในช่วงเช้าๆก็จะเห็นบรรยากาศการค้าขายปลาที่คึกคัก เพราะปลาที่นำมาขายส่วนใหญ่ก็ได้จากการจับปลาบริเวณแม่น้ำยัทเลซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนชาวเมืองด่งเฮ้ย


ตลาดสดเมืองด่งเฮ้ยเป็นตลาดขนาดใหญ่
ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศเวียดนาม

โซนขายปลาซึ่งในช่วงเวลาเช้าๆจะมีความคึกคึกเป็นอย่างมาก

ปลามีหลายขนาดซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากการจับปลา
บริเวณแม่น้ำยัทเลซึ่งตั้งอยู่ติดกับตลาด

ผู้คนหลากหลายแวะเวียนมาเดินซื้อของที่ตลาด
ซึ่งบรรยากาศมีความเป็นท้องถิ่นค่อนข้างจะสูง

โซนขายของแห้งและวัตถุดิบที่นำไปประกอบอาหาร

แม่ค้ากำลังหั่นเนื้อ แต่ที่นี่ไม่น่ามีเนื้อสุนัขนะ

โซนนี้เป็นตลาดในร่มซึ่งสินค้าส่วนใหญ่จะเป็น
ประเภทพวกของใช้และเครื่องแต่งกาย

กระเป๋าและหมวกจำนวนมากถูกตั้งวางขาย
การซื้อขายคงจะต้องต่อรองเก่งๆเพื่อให้ได้ราคาที่สมเหตุสมผล

เสื้อผ้าเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับตลาดในทุกประเทศทั่วโลก


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
28 พฤษภาคม 2567

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

 

EP.150 ถ้ำมัว


นินห์บิญ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามโดยตั้งอยู่ห่างจากกรุงฮานอยไปประมาณ 1.30 - 2 ชั่วโมง โดยสามารถเดินทางไปได้ทั้งรถยนต์รวมไปถึงรถไฟซึ่งผมได้มีโอกาสไปเที่ยวที่เมืองนินห์บิญในช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาและเป็นช่วงที่เพิ่งผ่านพ้นช่วงปีใหม่มาไม่กี่วัน โดยที่สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ของนินห์บิญก็คือ สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติซึ่งมีอยู่อย่างมากมาย

ผมพักอยู่ที่นินห์บิญประมาณ 3 คืนและใช้เวลาที่มีอยู่ไม่มากนักในการสำรวจพื้นที่ของนินห์บิญซึ่งแน่นอนว่าที่นี่มีจุดเด่นเรื่องของธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นการเดินขึ้นเขาหรือการล่องเรือชมแม่น้ำ โดยหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของนินห์บิญซึ่งผมได้ไปสำรวจก็คือ ถ้ำมัว ซึ่งว่ากันว่านี่คือจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดของเมืองนินห์บิญกันเลยทีเดียว

ถ้ำมัวมีบันไดทางเดินเพื่อไปยังจุดชมวิวซึ่งอยู่ด้านบนสุดอยู่ที่ประมาณเกือบๆ 500 ขั้นซึ่งแม้ว่าอาจจะดูว่าไม่เท่าไหร่นัก แต่เมื่อเดินจริงแล้วก็เอาหลายคนถึงกับหอบและออกอาการเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ค่อนข้างและรู้สึกเหนื่อยอยู่ไม่น้อย เนื่องจากว่าทางเดินขึ้นถ้ำมัวมีลักษณะทางเดินที่ค่อนข้างจะชันนั่นทำให้นักท่องเที่ยวจะเกิดอาการเหนื่อยมากเป็นพิเศษ

ในขณะที่ผมเดินขึ้นไปเรื่อยๆก็จะเจอนักท่องเที่ยวมากมายจากหลากหลายชาติซึ่งจะมีกลุ่มแบ็คแพ็คเกอร์ที่เดินทางมากันเองรวมไปถึงกลุ่มที่มากันแบบกรุ๊ปทัวร์ โดยเมื่อเดินไปจนถึงยอดด้านบนสุดก็ทำให้ความเหนื่อยล้าจากการเดินขึ้นมาหายไปในทันที โดยที่ผมใช้เวลาอยู่พักนึงในการชมบรรยากาศวิวทิวทัศน์จากบริเวณจุดชมวิวของถ้ำมัวซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีความสวยงามสมกับเขาร่ำลือกันจริงๆ เพราะบรรยากาศที่ได้เห็นก็จะเป็นวิวของธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นภูเขา แม่น้ำไปจนถึงท้องนาและบ้านเรือนของผู้คนซึ่งสามารถมองเห็นวิวได้ถึง 360 องศา

นอกจากนั้นยังมีจุดที่สามารถชมวิวที่อยู่บนยอดสูงสุดซึ่งจะอยู่บริเวณรูปปั้นมังกร แต่จุดนี้ผมไม่แนะนำให้ขึ้นไปเพราะค่อนข้างเสี่ยงและไม่มีทางบันไดให้เดินขึ้นไปนั่นหมายความว่าถ้าหากพลาดขึ้นมาก็อาจเกิดอันตรายถึงชีวิต ส่วนราคาค่าเข้าชมของถ้ำมัวจะอยู่ที่ 100,000 ดงหรือตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 140 บาท นอกจากนั้นยังมีจุดถ่ายรูปอีกมากมายรวมทั้งยังมีการให้บริการเช่าชุดพื้นเมืองซึ่งบรรยากาศของถ้ำมัวในแต่ละวันค่อนข้างคึกคัก เพราะนี่คือหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองนินห์บิญนั่นเอง


จุดทางเข้าของถ้ำมัวซึ่งราคาตั๋วจะอยู่ที่ 100,000 ดง
หรือประมาณ 140 บาท

ร้านให้เช่าชุดพื้นเมืองซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่บริเวณด้านนอก

เมื่อเดินเข้าไปก็จะเจอกับจุดถ่ายรูปมากมาย

รูปปั้นตัวละครไซอิ๋วซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยว
นิยมมาถ่ายรูปกัน

บันไดทางเดินเพื่อไปยังจุดชมวิว
โดยมีบันไดอยู่ราวๆเกือบ 500 ขั้น

นักท่องเที่ยวเดินขึ้นถ้ำมัวซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการคล้ายกัน
นั่นก็คือ หอบและเหนื่อยล้า เนื่องจากทางเดินค่อนข้างชัน

เดินมาจนใกล้จะถึงจุดสูงสุดของถ้ำมัว ผมก็ขอ
แวะหยุดถ่ายรูปสักหน่อย

เมื่อเดินมาถึงด้านบนก็จะมองเห็นวิวทิวทัศน์ต่างๆ
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นวิวภูเขาและแม่น้ำ

จุดชมวิวของถ้ำมัวถูกยกให้เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด
ของเมืองนินห์บิญซึ่งสามารถมองเห็นวิวได้แบบ 360 องศา


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
23 พฤษภาคม 2567

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

 

EP.149 สถานีรถไฟเก่าเมืองไทปิง


ผมไปเที่ยวมาเลเซียก็เมื่อช่วงประมาณกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมานี่เอง โดยเมืองที่ผมได้ไปเที่ยวก็ตั้งอยู่ในรัฐเปรักทั้ง 2 เมืองก็คือ อิโปห์และไทปิง โดยที่เมืองไทปิงผมเจอฝนตกตลอดเพราะที่นี่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ฝนตกค่อนข้างจะชุก แต่ถึงฝนจะตกบ่อยแต่ในเมืองไทปิงก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอย่างมากมายทั้งสถานที่ที่เกี่ยวกับธรรมชาติรวมไปถึงสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ สถานีรถไฟเก่า

สำหรับสถานีรถไฟเก่าในเมืองไทปิงมีที่ตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน โดยสถานีรถไฟแห่งนี้ในอดีตเคยทำหน้าที่ให้บริการแก่บรรดาผู้โดยสารมานานไม่ต่ำกว่า 100 ปี โดยถูกสร้างขึ้นในปี 1890 ก่อนที่ในปี 2014 จะถูกแทนที่ด้วยสถานีรถไฟแห่งใหม่ซึ่งก็คือสถานีที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน แต่ถึงแม้ว่าสถานีรถไฟเก่าของเมืองไทปิงจะถูกยกเลิกใช้งานไปแล้ว แต่ร่องรอยของอดีตก็ยังสามารถพบเห็นได้อยู่โดยเฉพาะในส่วนของอาคารสถานี

สำหรับบรรยากาศของสถานีรถไฟเก่าของเมืองไทปิงที่ผมได้ไปสำรวจมาก็พบว่าตัวอาคารจะเป็นไม้ทั้งหมดซึ่งดูมีความคลาสสิคและมีเอกลักษณ์ของความเป็นตะวันตกเข้ามาผสมผสานเพราะในสมัยอดีตมาเลเซียถูกปกครองโดยบรรดาชาวอังกฤษ โดยสิ่งที่พบเห็นได้ในปัจจุบันก็จะมีจุดของห้องทำการของเจ้าหน้าที่ประจำสถานี จุดจำหน่ายตั๋ว พื้นที่ชานชาลาซึ่งปัจจุบันปิดไม่ให้ใครเข้าไป 

ขณะที่ในสภาพปัจจุบันของสถานีรถไฟเก่าเมืองไทปิงก็เต็มไปด้วยร้านอาหารต่างๆมากมายซึ่งมาเช่าพื้นที่ของสถานีในการค้าขาย โดยอาหารก็จะเป็นแนวฮาลาลที่เน้นเจาะกลุ่มชาวมุสลิมซึ่งจะมีขายกันทั้ง 2 ฝั่ง แต่ถึงแม้ว่าบรรยากาศจะดูเปลี่ยนแปลงไปแต่อาคารไม้ที่ดูคลาสสิคของสถานีรถไฟเก่าเมืองไทปิงก็ยังคงเป็นเอกลักษณ์อยู่ไม่เสื่อมคลายและปัจจุบันพื้นที่ของสถานีรถไฟเก่าเมืองไทปิงก็เป็นหนึ่งในสถานที่ทางประวัติศาสตร์ของเมืองไทปิงซึ่งมักจะมีผู้คนมาถ่ายรูป เพราะในอดีตที่นี่เคยเป็นสถานีรถไฟหลักของเมืองไทปิงนั่นเอง


สถานีรถไฟเก่าเมืองไทปิง ถูกสร้างขึ้นในปี 1890
และถูกให้บริการเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 100 ปี

จุดจำหน่ายตั๋วโดยสารยังสามารถพบเห็นได้ในปัจจุบัน

ตัวอาคารสถานีสร้างจากไม้ซึ่งมีความคลาสสิคอยู่ไม่น้อย

ปัจจุบันพื้นที่ของสถานีรถไฟเก่าเมืองไทปิง มีพวก
ร้านอาหารมาตั้งขายอยู่หลายร้าน

ร้านอาหารส่วนใหญ่จะเป็นอาหารฮาลาล
ซึ่งจะมีขายทั้ง 2 ฝั่งของถนน

สถานีรถไฟเก่าจะตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟแห่งใหม่
ซึ่งสถานีรถไฟที่ใช้งานในปัจจุบันเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2014


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
15 พฤษภาคม 2567

วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

 

EP.148 สระว่ายน้ำโคโรเนชั่น


เมืองไทปิง เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในรัฐเปรักของประเทศมาเลเซีย โดยเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 2 ของรัฐเปรักโดยเป็นรองเพียงแค่เมืองอิโปห์เท่านั้น ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวมา 2 ครั้งแล้วซึ่งครั้งแรกคือปี 2019 ก่อนช่วงโควิดแพร่ระบาด ขณะที่ครั้งล่าสุดก็คือ เดือนเมษายนที่เพิ่งผ่านมานี่เอง โดยที่เมืองไทปิงเคยเป็นเมืองที่เคยมีการทำเหมืองแร่ในประเทศมาเลเซียและมีคนจีนอพยพเข้ามาอาศัยอยู่มากพอสมควร ขณะที่สภาพอากาศก็มักจะมีฝนตกค่อนข้างบ่อยเนื่องจากตั้งอยู่ในพื้นที่ฝนตกชุก

การไปเที่ยวไทปิงครั้งล่าสุดของผมมีเวลาเพียงแค่ 2 คืน ผมจึงพยายามใช้เวลาให้คุ้มค่ามากที่สุดโดยสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมได้ไปสำรวจก็จะเน้นไปแถวโซนยอดเขาบูกิต ลารุตซึ่งจะเป็นจุดที่มีแหล่งท่องเที่ยวอยู่มากมาย โดยหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมได้ไปลงสำรวจมาก็คือ สระว่ายน้ำโคโรเนชั่น ซึ่งว่ากันว่าเป็นสระว่ายน้ำที่เก่าแก่ที่สุดของมาเลเซียเลยทีเดียว โดยสระว่ายน้ำแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1937 โดยมีการตั้งชื่อสระเพื่อเป็นเกียรติให้แก่พิธีราชาภิเษากของพระเจ้าจอร์จที่ 6 โดยในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เคยถูกใช้เป็นสถานที่พักผ่อนของบรรดาชาวอังกฤษและชาวยุโรป

ส่วนในยุคปัจจุบันสระว่ายน้ำโคโรเนชั่นเป็นสระว่ายน้ำสาธารณะที่ทุกคนสามารถมาใช้บริการได้ โดยจะมีค่าเข้าอยู่ที่ 5 ริงกิตสำหรับผู้ใหญ่ (35 บาท) และ 3 ริงกิตสำหรับเด็ก (21 บาท) โดยจะเปิดให้บริการตั้งแต่วันอังคารถึงวันอาทิตย์และหยุดทุกวันจันทร์ ส่วนช่วงเวลาเปิดก็ตั้งแต่ 8 โมงเช้าไปจนถึง 6 โมงเย็นซึ่งจากการที่ผมได้เดินเข้าไปสำรวจมาก็ถือว่าสระว่ายน้ำโคโรเนชั่นมีบรรยากาศที่ค่อนข้างดี โดยมีพวกต้นไม้รายรอบซึ่งให้ความสดชื่นแก่ผู้เข้ามาใช้บริการ รวมทั้งยังมีทั้งสระผู้ใหญ่และสระเด็ก ส่วนความลึกของสระผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 1.95 เมตร นอกจากนั้นยังมีจุดของห้องอาบน้ำและล็อกเกอร์เอาไว้ใส่ของ


ทางเข้าด้านหน้าของสระว่ายน้ำโคโรเนชั่น
ซึ่งอยู่ติดกับทางเดินขึ้นเขาบูกิต ลารุต

สระว่ายน้ำโคโรเนชั่นถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1937
และยังเป็นสระว่ายน้ำที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศมาเลเซีย

ความลึกของสระผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 1.95 เมตร
โดยภายในจะมีไลฟ์การ์ดอย่างน้อย 1 คนคอยดูแลความเรียบร้อย

จุดนี้จะเป็นสระว่ายน้ำของเด็กซึ่งบรรยากาศโดยรอบ
จะเต็มไปด้วยต้นไม้ซึ่งให้ความสดชื่นได้เป็นอย่างดี

ห้องสำหรับอาบน้ำแต่งตัว นอกจากนั้นยังมีล็อกเกอร์
ซึ่งจะมีราคาค่าใช้ล็อกเกอร์อีก 1 ริงกิต

บริเวณด้านหน้าทางเข้าจะมีของขายแก่ผู้มาใช้บริการ
ทั้งห่วงยาง ชุดว่ายน้ำรวมถึงพวกเครื่องดื่มต่างๆ


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
8 พฤษภาคม 2567

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

 

EP.147 สวนไรซาล


ในช่วงนี้ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายๆท่านน่าจะมีความรู้สึกที่คล้ายๆกันนั่นก็คือ รู้สึกร้อนระอุกับสภาพอากาศของเมืองไทยในปัจจุบันเป็นอย่างมากนะครับซึ่งผมเองก็รู้สึกร้อนไม่ต่างอะไรจากท่านผู้อ่าน โดยในปีนี้มีข้อมูลที่บ่งชี้ว่าสภาพอากาศจะร้อนมากเป็นพิเศษโดยเฉพาะในพื้นที่ของทวีปเอเชียซึ่งไม่เฉพาะไทยที่ได้รับกระทบ แต่ยังมีชาติอื่นๆในทวีปเอเชียที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่ร้อนระอุแบบนี้อีกมากมาย

เมื่อเจออากาศร้อนผมก็เห็นผู้คนมากมายต่างก็สรรหาวิธีที่จะดับร้อน บางคนก็เลือกที่จะอาบน้ำบ่อยๆ บางคนก็เลือกที่จะไปเดินตากแอร์ในห้างสรรพสินค้า ส่วนบางคนก็เลือกที่จะไปหาจุดพักผ่อนในสวนสาธารณะ โดยในประเทศฟิลิปปินส์ก็ถือว่าเป็นประเทศที่ต้องประสบกับภาวะอากาศอันร้อนระอุยิ่งในเมืองหลวงอย่างกรุงมะนิลาที่เต็มไปด้วยความแออัดของผู้คน ทำให้หลายคนเลือกที่จะไปหาจุดผ่อนคลายซึ่งสิ่งที่สามารถตอบโจทย์ของพวกเขาได้นั่นก็คือ สวนสาธารณะ

สำหรับสวนสาธารณะชื่อดังและมีขนาดใหญ่มากที่สุดในกรุงมะนิลาก็คือ สวนไรซาล ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 1913 เพื่อเป็นเกียรติและอุทิศให้แก่ โฮเซ่ ริซาล ซึ่งเป็นวีรบุรุษของชาติฟิลิปปินส์ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการต่อต้านสเปนและมีเป้าหมายในการปลดแอกฟิลิปปินส์ให้หลุดพ้นจากการเป็นอาณานิคมของสเปน โดยถึงแม้ว่าเขาจะถูกประหารชีวิตแต่อีก 2 ปีต่อมาหลังการตายของเขา ฟิลิปปินส์ก็สามารถประกาศเอกราชได้เป็นผลสำเร็จ หลังจากที่ตกเป็นอาณานิคมของสเปนมายาวนานกว่า 350 ปี

ส่วนในยุคปัจจุบันของสวนไรซาลก็ได้กลายเป็นสวนสาธารณะแห่งชาติและในแต่ละวันจะมีผู้คนจำนวนมากเข้ามาทำกิจกรรมภายในสวนไรซาล ส่วนบรรยากาศจากการที่ผมไปเดินสำรวจมาก็พบว่าด้านภายในจะมีจุดของอนุสาวรีย์โฮเซ่ ริซาลตั้งอยู่บริเวณจุดทางเข้าด้านหน้าอย่างโดดเด่น รวมไปถึงธงชาติฟิลิปปินส์ผืนใหญ่ที่แสดงถึงการประกาศอิสรภาพจากสหรัฐอเมริกาในปี 1941 ส่วนจุดอื่นๆก็จะมีรูปปั้นของบุคคลสำคัญของทางฟิลิปปินส์ตั้งเรียงรายต่อกันและกิจกรรมที่สามารถพบเห็นได้ในทุกวัน คือ น้ำพุเริงระบำซึ่งในตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟแสงสีสวยงาม ส่วนในทุกๆวันอาทิตย์จะมีการแสดงมินิคอนเสิร์ตซึ่งสร้างความเพลิดเพลินให้แก่ผู้คนได้เป็นอย่างดี


สวนไรซาล คือ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ของกรุงมะนิลา
โดยด้านหน้าจะมีรูปปั้นของ โฮเซ่ ริซาล ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น

บรรยากาศภายในสวนสาธารณะค่อนข้างมีขนาดใหญ่
และในทุกๆวันจะมีผู้คนมาทำกิจกรรมกันอย่างมากมาย

บรรยากาศในช่วงเย็นของสวนไรซาล
จะเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก

ช่วงเย็นที่ผมได้ลงพื้นที่สำรวจก็จะเจอผู้คนมากมาย
ซึ่งมีทั้งมานั่งพูดคุยและมาวิ่งออกกำลังกาย

น้ำพุเริงระบำ คือ หนึ่งในไฮไลท์เด็ดของสวนไรซาล
ซึ่งยามค่ำคืนจะมีการเปิดไฟแสงสีสวยงาม

การเล่นหมากรุกเป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นได้ในสวนไรซาล
โดยกลุ่มผู้เล่นก็มักจะเป็นกลุ่มผู้ชายวัยกลางคน

บริเวณด้านหน้าตรงอนุสาวรีย์โฮเซ่ ริซาล
จะเป็นจุดที่หลายคนมักจะนิยมมาถ่ายรูปกัน


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
3 พฤษภาคม 2567