วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2567

 

EP.142 ย่านลิตเติลอินเดียแห่งเกาะปีนัง


ประเทศมาเลเซีย ประกอบไปด้วยประชากร 3 เชื้อชาติหลักๆซึ่งก็คือ กลุ่มคนที่เป็นมุสลิมซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศและยังมีกลุ่มคนเชื้อสายจีนรวมไปถึงกลุ่มคนเชื้อสายอินเดีย โดยกลุ่มที่เป็นคนเชื้อสายอินเดียมักจะเป็นคนที่มาจากทางตอนใต้ของอินเดียซึ่งก็มักจะเป็นพวกบรรดาชาวทมิฬ โดยที่พวกเขาต่างก็มีภาษาพูดเป็นของตนเองและมีวัฒนธรรมที่เก่าแก่ซึ่งชาวทมิฬในอินเดียต่างก็ได้มีการอพยพถิ่นฐานไปยังประเทศต่างๆโดยที่มาเลเซียก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีชาวทมิฬไปอาศัยกันอยู่อย่างมากมาย

ปัจจุบันมีการคาดการณ์กันว่ามีชาวทมิฬมาอาศัยอยู่ในมาเลเซียกันพอสมควรคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ประมาณร้อยละ 7 ซึ่งพวกเขาอพยพถิ่นฐานกันมานานหลายปีและก็ตั้งรกรากจนกลายเป็นพลเมืองของมาเลเซียไปโดยปริยายซึ่งการที่มีคนอินเดียเชื้อสายทมิฬมาอยู่ในมาเลเซีย ทำให้สามารถพบเห็นวัฒนธรรมที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของพวกเขาโดยจุดที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดก็คงหนีไม่พ้นพื้นที่ย่านลิตเติลอินเดียซึ่งจะเป็นจุดที่เหมือนศูนย์รวมของบรรดาชาวทมิฬที่อาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซีย

ย่านลิตเติลอินเดียในประเทศมาเลเซียก็มีอยู่ในหลากหลายเมืองทั่วประเทศ แต่จุดใหญ่ๆที่นักท่องเที่ยวจะรู้จักกันก็จะเป็นในพื้นที่ของทั้งกรุงกัวลาลัมเปอร์และพื้นที่ในเกาะปีนัง สำหรับย่านลิตเติลอินเดียของเกาะปีนังจัดว่าเป็นอีกหนึ่งโซนที่มีเอกลักษณ์และยังเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวของเกาะปีนังอีกด้วยซึ่งเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผมก็ได้มีโอกาสไปสำรวจบรรยากาศของย่านลิตเติลอินเดียในเกาะปีนังซึ่งต้องขอบอกว่าบรรยากาศก็เหมือนกับเดินอยู่ในประเทศอินเดียอย่างไงอย่างงั้นเลยทีเดียว

สำหรับบรรยากาศของย่านลิตเติลอินเดียในเกาะปีนังจะเป็นเหมือนชุมชนขนาดใหญ่ของบรรดาคนเชื้อสายอินเดียที่อาศัยอยู่ในมาเลเซีย โดยบรรยากาศจะเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารซึ่งจะเป็นสไตล์แบบอินเดีย ผมเดินสำรวจไปเรื่อยๆก็ได้เห็นทั้งร้านขายผ้า ร้านขายพวกจิวเวลรี่และเครื่องประดับ อาหารขึ้นชื่อของทางอินเดียทั้งซาโมซ่าหรือพวกข้าวแกงสไตล์อินเดีย นอกจากนั้นผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็จะเป็นกลุ่มคนอินเดียซะส่วนใหญ่ โดยถึงแม้ว่าในปัจจุบันทางมาเลเซียังมีการใช้นโยบายภูมิบุตรที่ยังกดขี่คนเชื้อสายอินเดียอยู่พอสมควร แต่การที่มีย่านลิตเติลอินเดียก็เปรียบเสมือนสิ่งที่บ่งบอกถึงอัตลักษณ์ของพวกคนเชื้อสายอินเดียที่แม้จะอพยพมาอยู่ในมาเลเซียหลายปี แต่พวกเขาก็ยังไม่ลืมเลือนรากเหง้าและวัฒนธรรมของตนเอง


ย่านลิตเติลอินเดียในเกาะปีนังเป็นจุดที่มีคนเชื้อสายอินเดีย
ทำมาหากินและอยู่อาศัยกันพอสมควร

เมื่อเดินเข้าไปในย่านลิตเติลอินเดียจะเจอกับบรรยากาศ
ที่เสมือนกับว่ากำลังเดินอยู่ในประเทศอินเดีย

ร้านขายเสื้อผ้าซึ่งมีสีสันฉูดฉาดดูสดใส
โดยที่บางร้านอาจจะมีการเปิดเพลงสไตล์อินเดียจนดังสนั่น

ร้านนี้ขายพวกของไหว้หรือของที่เอาไว้สักการะ
บรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของทางฮินดู

ซาโมซ่า ขนมขึ้นชื่อของทางอินเดียก็มีขายเช่นกัน
แต่เสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง

ชามาซาลาอีกหนึ่งเมนูเครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงของอินเดีย
ก็มีขายอยู่ในย่านลิตเติลอินเดียของที่เกาะปีนัง


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
25 มีนาคม 2567

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2567

 

EP.141 จุดพักรถเมืองขวา


เมืองขวาเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในแขวงพงสาลีซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาว โดยเมืองขวาถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการเดินทางเชื่อมต่อกันระหว่างลาวกับประเทศเวียดนาม โดยเมื่อช่วงก่อนสิ้นปี 2023 ผมได้มีโอกาสแวะไปที่เมืองขวา แต่ไม่ได้เป็นการไปท่องเที่ยวแต่เป็นแค่เพียงการแวะพักในระยะเวลาไม่นานนักซึ่งในครั้งนั้นผมได้เดินทางจากอุดมไซและจะไปยังเดียนเบียนฟูซึ่งรถบัสก็จะมาจอดแวะพักที่เมืองขวาแห่งนี้นี่เอง

สำหรับพื้นที่ของจุดพักรถที่เมืองขวาในแขวงพงสาลีจะเป็นจุดที่มีพวกรถบัสโดยสารมาจอดแวะพักกันอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นรถที่วิ่งในเส้นทางของประเทศลาวรวมไปถึงรถบัสที่วิ่งข้ามประเทศระหว่างลาวกับเวียดนามซึ่งการที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาว ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นทางเนินขึ้นเขาซึ่งมีทางโค้งอยู่จำนวนมาก แต่เมื่อพอมาถึงจุดแวะพักก็อาจจะพอทำให้เหล่าคนเดินทางอาจจะรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้บ้าง เนื่องจากวิวทิวทัศน์ของจุดพักรถเมืองขวาจะมีวิวของภูเขาธรรมชาติและวิวของแม่น้ำอูซึ่งมีความสวยงามไม่น้อยเลยทีเดียว

ส่วนบรรยากาศของจุดพักรถเมืองขวาก็จะมีพวกร้านค้าและร้านอาหารเปิดให้บริการแก่ผู้ที่มาแวะพัก โดยมีอาหารท้องถิ่นของทางลาซึ่งผมดูแล้วก็ไม่ได้แตกต่างจากอาหารทางภาคอีสานของเมืองไทยรวมทั้งพวกร้านค้าต่างๆก็จะมีการจำหน่ายพวกเครื่องดื่มและของที่ระลึกต่างๆ ขณะเดียวกันก็ยังมีพวกบรรดากลุ่มชาติพันธ์ุนำสินค้ามาวางขายแบบแบกะดินซึ่งบรรยากาศของจุดพักเมืองเมืองขวาในแต่ละวันค่อนข้างจะคึกคัก เพราะจะมีรถโดยสารมาจอดแวะพักกันตลอดทั้งรถที่จะไปเวียดนามหรือรถที่จะไปทางหลวงพระบางซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของ สปป.ลาว


จุดพักรถเมืองขวาเป็นจุดพักรถที่ตั้งอยู่ในประเทศลาว

พื้นที่ของเมืองขวาจะตั้งอยู่ในแขวงพงสาลี
ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาว

วิวทิวทัศน์บริเวณจุดพักรถจะมีความเป็นธรรมชาติอยู่สูง
ทั้งวิวของภูเขาต้นไม้และแม่น้ำ

ร้านค้าที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของจุดพักรถ
ซึ่งจะมีพวกขนม เครื่องดื่มขายให้แก่ผู้คน

กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในประเทศลาว
ได้มีการนำสินค้าพวกผักไม้มาวางขายแบบแบกะดิน

อาหารที่มีขายบริเวณของจุดพักรถเมืองขวา
ซึ่งส่วนมากเป็นอาหารที่คล้ายๆกับอาหารอีสานของเมืองไทย

บรรดาผู้โดยสารมานั่งรับประทานอาหาร
โดยช่วงที่รถจอดแวะพักเป็นช่วงเวลาประมาณเที่ยงวัน

รถมินิบัสคันสีขาวเป็นคันที่ผมได้โดยสารมา
โดยผมนั่งจากอุดมไซและจะไปเดียนเบียนฟูในประเทศเวียดนาม


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
19 มีนาคม 2567

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2567

 

EP.140 ตลาดท้องถิ่นงาเซ็ม


สิ่งที่ผมต้องทำทุกครั้งในการท่องเที่ยวต่างประเทศก็คือ การเดินตลาด แล้วต้องเป็นตลาดในสไตล์ท้องถิ่นที่ส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่ผู้คนท้องถิ่นไปเดินกัน เนื่องจากว่าผมต้องการไปซึมซับความเป็นท้องถิ่นแท้ๆไม่ใช่ไปเดินตลาดที่ถูกจัดขึ้นมาเพื่อนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่ตลาดเพื่อนักท่องเที่ยวผมจะเรียกว่า ตลาดทัวร์ลง ซึ่งจะเต็มไปด้วยความวุ่นวายและบรรยากาศก็จะเป็นแบบที่พ่อค้าแม่ค้าพยายามยัดเยียดขายของให้แก่นักท่องเที่ยว

สำหรับตลาดท้องถิ่นส่วนมากจะไม่ได้มีความหรูหราสะอาดสวยงามอะไรนัก เพราะจะเป็นบรรยากาศสไตล์ท้องถิ่น ส่วนคนขายกับคนซื้อก็จะเป็นคนท้องถิ่นส่วนสินค้าส่วนมากก็จะเป็นของที่ใช้ในการดำรงชีพซึ่งมีอยู่อย่างมากมายทั้งของกินและของใช้ โดยตลาดท้องถิ่นที่ผมจะมาเขียนเล่าเรื่องราวในครั้งนี้ก็คือ ตลาดงาเซ็ม ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองยอร์กยาการ์ตาของประเทศอินโดนีเซีย

ตลาดท้องถิ่นงาเซ็มเป็นตลาดที่ตั้งอยู่ในย่านแหล่งท่องเที่ยวของเมืองยอร์กยาการ์ตา เพราะว่าอยู่ใกล้กับทั้งพิพิธภัณฑ์รถม้ารวมไปถึงโรงอาบน้ำเก่าของสุลต่าน แต่ตลาดงาเซ็มก็ไม่ได้เป็นตลาดที่ถูกดัดแปลงให้เป็นตลาดสำหรับการท่องเที่ยวเหมือนที่อื่นๆ เพราะบรรยากาศของที่นี่ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบบ้านๆและความเป็นท้องถิ่นค่อนข้างสูงซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ก็เป็นสินค้าที่มีความจำเป็นในการดำรงชีพทั้งพวกของที่ใช้ประกอบอาหารทั้งพวกเครื่องแกงต่างๆรวมไปถึงบรรดาผักและผลไม้ นอกจากนั้นก็ยังมีพวกเครื่องใช้ที่จำเป็นทั้งอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านรวมไปถึงพวกภาชนะต่างๆ

ผมเดินสำรวจบรรยากาศที่ตลาดงาเซ็มก็เจอกับสินค้ามากมายและยังมีสินค้าแบบพื้นเมืองของทางอินโดนีเซียรวมไปถึงร้านอาหารที่ขายอาหารท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวในสไตล์อินโดที่จะใส่ลูกชิ้นขนาดไซส์ใหญ่และเมนู โซโต ซึ่งเป็นซุปสไตล์อินโดนีเซีย ส่วนพวกกลุ่มคนที่มาเดินซื้อของจับจ่ายก็เป็นกลุ่มชาวบ้านท้องถิ่นและบรรยากาศก็ดูแบบเป็นกันเองซึ่งนี่แหละคือบรรยากาศที่ผมชื่นชอบ เพราะการได้ไปสัมผัสความเป็นท้องถิ่นของแต่ละประเทศก็เหมือนทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตของพวกเขาซึ่งไม่ได้มีการจัดฉากหรือปรุงแต่งจนเสน่ห์ความเป็นท้องถิ่นเลือนหายไป


ตลาดท้องถิ่นงาเซ็ม ตั้งอยู่ในเมืองยอร์กยาการ์ตา
ในประเทศอินโดนีเซีย

ตลาดงาเซ็มมีบรรยากาศแบบท้องถิ่น แม้จะตั้งอยู่ใน
แหล่งท่องเที่ยวแต่ความเป็นท้องถิ่นก็ไม่จางหายไปไหน

สินค้าภายในตลาดงาเซ็มก็มีอยู่อย่างมากมาย
อย่างภาพนี้ก็คือเครื่องแกงที่ใช้ประกอบอาหาร

พวกบรรดาผักต่างๆทั้งพริกสด มะนาว แครอท
และผักชนิดอื่นๆมีให้เห็นอยู่อย่างมากมาย

ขนมทานเล่นของอินโดนีเซีย
โดยบางอย่างก็คล้ายของกินที่เมืองไทย

ร้านนี้ขายสินค้าพื้นเมืองรวมไปถึงเมนูอาหารท้องถิ่น
ซึ่งก็มี โซโต ซึ่งคือซุปของทางอินโดนีเซีย

เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเป็นสิ่งที่มักอยู่คู่กับตลาด


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
11 มีนาคม 2567

วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2567

 

EP.139 กำแพงกระเบื้องโมเสก


งานจิตรกรรมฝาผนังเป็นงานศิลปะที่มีอยู่ให้เห็นกันแทบทุกมุมโลก โดยแต่ละจุดต่างก็มีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป ขณะที่งานจิตรกรรมฝาผนังในกรุงฮานอยของประเทศเวียดนามก็มีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน โดยงานจิตรกรรมฝาผนังในกรุงฮานอยต่างก็ถูกขนานนามว่า ถนนเซรามิก ซึ่งเป็นงานจิตรกรรมฝาผนังที่ใช้กระเบื้องเซรามิกหรืองานโมเสกเป็นองค์ประกอบหลักในการสร้างสรรค์ผลงาน

สำหรับถนนเซรามิกในกรุงฮานอยมีความยาวประมาณ 6.5 กิโลเมตร โดยผลงานจิตรกรรมฝานังจากกระเบื้องโมเสกถูกรังสรรค์จากบรรดากลุ่มศิลปินชาวเวียดนามและยังมีศิลปินจากต่างชาติที่ร่วมสร้างผลงานชิ้นนี้เช่นเดียวกับองค์กรและสถาบันจากทั้งเยอรมัน อิตาลี สหราชอาณาจักร รัสเซียรวมไปถึงเกาหลีใต้ที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ผลงานกำแพงกระเบื้องโมเสกขึ้นมา

ผมได้มีโอกาสไปเดินสำรวจดูกำแพงกระเบื้องโมเสกมาเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาซึ่งจากที่ได้สำรวจดูก็พบว่าภาพต่างๆที่อยู่บนกำแพงมักจะเป็นภาพที่บอกเรื่องราวของประวัติศาสตร์ของประเทศเวียดนามรวมถึงวัฒนธรรมต่างๆ นอกจากนั้นยังมีภาพที่เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงฮานอยอย่างเช่น เจดีย์เสาเดียว ซึ่งภาพจิตรกรรมฝาผนังกระเบื้องโมเสกได้ถูกบันทึกจากกินเนส์เวิล์ดเรคคอร์ดว่าเป็นกำแพงกระเบื้องโมเสกที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ส่วนบรรยากาศบริเวณจุดชมวิวกำแพงกระเบื้องโมเสกต้องยอมรับว่าค่อนข้างที่จะดูวุ่นวายเนื่องจากกำแพงกระเบื้องโมเสกหรือถนนเซรามิกตั้งอยู่ติดกับถนนสายหลักที่มีการจราจรพลุกพล่านรวมถึงยังมีปัญหาเรื่องฝุ่นควันและมลพิษ ทำให้การที่จะเดินชมงานจิตรกรรมฝาผนังของถนนเซรามิกคงอาจจะต้องหาหน้ากากอนามัยมาสวมใส่เพื่อป้องกันมลพิษทางอากาศขณะที่มลพิษทางเสียงก็มีอยู่ไม่น้อย เนื่องจากการจราจรของที่เวียดนามมักจะมีการบีบแตรกันเป็นประจำนั่นจึงทำให้การเดินชมกำแพงกระเบื้องโมเสกอาจจะต้องใช้ความอดทนกันสักหน่อย


กำแพงกระเบื้องโมเสกหรือถนนเซรามิก
เป็นงานจิตรกรรมฝาผนังที่ตั้งอยู่ในกรุงฮานอยของประเทศเวียดนาม

ภาพบนกำแพงกระเบื้องโมเสกจะบอกเล่าถึงวัฒนธรรม
วิถีชีวิตรวมไปถึงประวัติศาสตร์ของทางเวียดนาม

กำแพงกระบื้องโมเสกมีความยาวกว่า 6.5 กิโลเมตร
และถูกบันทึกให้เป็นกำแพงกระบื้องโมเสกที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ภาพจิตรกรรมฝาผนังได้รับการรังสรรค์จากจิตรกรชาวเวียดนาม
รวมไปถึงองค์กรและสถาบันการศึกษาของต่างประเทศ

ระหว่างที่เดินชม ผมก็ได้ยินเสียงการบีบแตรดังสนั่น
เพราะถนนเซรามิกตั้งอยู่ในย่านที่วุ่นวายอีกแห่งหนึ่งในกรุงฮานอย


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
5 มีนาคม 2567

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2567

 

EP.138 สุสานทหารอเมริกัน
แห่งกรุงมะนิลา


สหรัฐอเมริกาเคยได้เข้ามาครอบครองฟิลิปปินส์เป็นระยะเวลาเกือบ 50 ปีแม้ว่าจะน้อยกว่าที่สเปนครอบครองฟิลิปปินส์อยู่หลายเท่าตัว แต่อิทธิพลของอเมริกาส่งผลมากกว่าอิทธิพลของสเปนอยู่หลายเท่าตัวนั่นจึงทำให้ฟิลิปปินส์ได้รับวัฒนธรรมแบบอเมริกันมาอยู่มาพอสมควร สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือเรื่องของกีฬาบาสเกตบอลและความนิยมในแบรนด์ยี่ห้อไนกี้ซึ่งแม้ปัจจุบันฟิลิปปินส์มีเอกราชเป็นของตนเองแล้ว แต่อิทธิพลจากอเมริกาก็ยังคงมีในประเทศนี้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

โดยถ้าหากย้อนกลับไปในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ฟิลิิปปินส์ก็เป็นอีกหนึ่งชาติอยู่ร่วมเดียวกับทางสหรัฐอเมริกาซึ่งก็คือฝ่ายสัมพันธมิตร โดยฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในฐานทัพสำคัญของกองทัพอเมริกาโดยมีศึกสงครามใหญ่ๆที่อเมริกาสู้รบกับทางฝ่ายอักษะทั้งสมรภูมิในทะเลจีนใต้หรือการสู้รบทางมหาสมุทรแปซิฟิกและก็แน่นอนครับว่าเมื่อมีสงครามเกิดขึ้นสิ่งที่เป็นผลตามมาก็คือความสูญเสีย โดยสมรภูมิการสู้รบในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ได้มีทหารของฝ่ายอเมริกันและฟิลิปปินส์ล้มตายกันไปไม่น้อย

เมื่อมีเหตุทหารเสียชีวิตในช่วงสงคราม แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาในภายหลังก็คือการสดุดีให้เกียรติแก่บรรดาทหารผู้กล้าหาญผู้เสียสละชีวิตในยุคสงคราม โดยสิ่งที่เป็นการไว้อาลัยและรำลึกแก่บรรดาวีรบุรุษที่เสียชีวิตในสงครามก็คือการสร้างสุสาน โดยที่กรุงมะนิลาเมืองหลวงของฟิลิปปินส์ก็มีสุสานทหารที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยเช่นกัน โดยสุสานทหารแห่งนี้จะเน้นบรรดาทหารอเมริกันที่เสียชีวิตจากยุคสงคราม แต่ก็มีทหารจากฝ่ายสัมพันธมิตรของชาติอื่นๆปะปนมาบ้างทั้งฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย อินเดีย

ปัจจุบันสุสานทหารอเมริกันในกรุงมะนิลาเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมกันฟรีในทุกๆวัน แต่ก่อนที่จะเข้าไปชมก็จะมี รปภ.เข้ามาสอบถามพูดคุยเล็กน้อยและทางที่ดีควรนำพาสปอร์ตติดตัวไปด้วยเพราะเจ้าหน้าที่จะทำการขอดูเพราะสถานที่แห่งนี้อยู่ในความดูแลจากหน่วยงานของภาครัฐและอีกประการนึงคือการที่เป็นสุสานทหารทำให้การเข้าไปเที่ยวชมควรดูด้วยความสำรวมและให้เกียรติสถานที่ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้วายชนม์ซึ่งพวกเขาทั้งหมดต่างก็เป็นวีรบุรุษผู้เสียสละชีพจากยุคสงครามด้วยกันทั้งสิ้น


สุสานทหารอเมริกันแห่งกรุงมะนิลาเป็นสถานที่รำลึกถึง
บรรดาวีรบุรุษที่เสียสละชีวิตในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

บรรยากาศภายในพื้นที่จะเต็มไปด้วยไม้กางเขน
ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการไปสู่สุคติตามหลักศาสนาคริสต์

เนื้อที่ของสุสานทหารมีความกว้างพอสมควร
และมีการจัดระเบียบจนดูสะอาดสวยงาม

บริเวณด้านตรงกลางของสุสานทหารที่กรุงมะนิลา
จะมีเหมือนกันอนุสาวรีย์ซึ่งมีความเกี่ยวกับทางการทหาร

แผนผังการสู้รบในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 
.ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 -20 มิถุนายน 1944


รายชื่อทั้งหมดของนายทหารที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งจะมีการบอกยศ หน่วยที่สังกัด


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkmetalfootallTravel
1 มีนาคม 2567