วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2567

 

EP.180 สกายวอล์คสมุทรปราการ


ขณะที่ผมกำลังเขียนบทความนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ปี 2024 กำลังจะผ่านพ้นไปซึ่งในโอกาสนี้ผมก็ขออวยพรให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีความสุขและมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ สำหรับเรื่องอะไรที่ร้ายๆก็ขอให้หมดหายไปพร้อมกับปีเก่าที่กำลังจะหมดไปและเมื่อขึ้นปีใหม่ก็ขออวยพรให้ทุกท่านมีความสดชื่นเบิกบานและก้าวเดินอย่างมั่นคงพร้อมกับพบเจอแต่สิ่งดีๆในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง

ส่วนในบทความสุดท้ายของปี 2024 นี้ผมจะมาเขียนเรื่องราวของ สกายวอล์คสมุทรปราการ ซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาโดยที่สกายวอล์คแห่งนี้ใช้งบประมาณการก่อสร้างราวๆ 485 ล้านบาทและมีความยาว 646 เมตรซึ่งจะมีช่องเปิดระบายทำให้ไม่ดูอึดอัดและสามารถมองเห็นบรรยากาศจากด้านภายนอกได้ซึ่งในช่วงเวลายามค่ำคื่นก็จะมีการเปิกไฟส่องสว่างไปตลอดทางรวมทั้งมีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ประจำจุดเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้

นอกจากนี้สกายวอล์คสมุทรปราการยังมีจุดเชื่อมต่อไปยังสถานที่สำคัญต่างๆในตัวเมืองของจังหวัดสมุทรปราการไม่ว่าจะเป็น ศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการและสถานที่ทางราชการต่างๆ รวมไปถึงยังเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้า BTS ปากน้ำและเชื่อมต่อกับจุดของหอชมเมืองสมุทรปราการซึ่งเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสมุทรปราการ ส่วนเวลาเปิดของสกายวอล์คสมุทรปราการจะอยู่ในช่วงเวลา 05.00 - 01.00 น.


สกายวอล์คสมุทรปราการเปิดให้บริการครั้งแรก
เมื่อเดือนสิงหาคม 2567

ผมไปสำรวจบรรยากาศในช่วงยามค่ำคืนก็เห็นว่า
ยังมีผู้คนเดินผ่านสัญจรไปมากันอยู่ตลอด

จุดบริเวณทางออกซึ่งสามารถไปยังตลาดปากน้ำได้

แผนผังของสกายวอล์คสมุทรปรากาซึ่งจะสังเกตุได้ว่า
จะมีสถานที่สำคัญต่างๆตั้งอยู่รอบๆกันเต็มไปหมด

หนึ่งในสถานที่สำคัญที่อยู่สามารถใช้สกายวอล์ค
เดินเชื่อมต่อถึงกันได้ก็คือ หอชมเมืองสมุทรปราการ


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
30 ธันวาคม 2567

วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2567

 

EP.179 โบสถ์เซนต์โจเซฟ


ปฏิทินของปี 2024 กำลังจะผ่านพ้นไปแล้วนะครับโดยเหลือเวลาอีกราวๆ 10 วันก็จะก้าวเข้าสู่ปี 2025 โดยบรรยากาศในช่วงปลายปีแบบนี้ก็จะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของใครหลายๆคนโดยเฉพาะในกลุ่มชาวคริสต์ เพราะในช่วงปลายปีแบบนี้จะเป็นช่วงเทศกาลคริสต์มาสต่อเนื่องไปจนถึงช่วงปีใหม่ซึ่งจะเป็นช่วงหยุดยาว ทำให้ชาวคริสต์มักจะใช้เวลานี้อยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาหรือบางส่วนก็ออกไปท่องเที่ยวพักผ่อนชาร์จพลังงานให้กับตนเอง

ถ้าพูดถึงบรรยากาศของช่วงคริสต์มาสก็ต้องนึกถึงต้นคริสต์มาสซึ่งถือว่าเอกลักษณ์สำคัญ โดยต้นคริสต์มาสก็มักจะถูกตั้งอยู่ตามจุดต่างๆที่มีผู้คนผ่านสัญจรกันเป็นจำนวนมากและเมื่อเอ่ยถึงต้นคริสต์มาสก็ทำให้ผมนึกไปถึงบรรยากาศที่ โบสถ์เซนต์โจเซฟ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงฮานอยของประเทศเวียดนาม โดยโบสถ์เซนต์โจเซฟเป็นโบสถ์คริสต์โรมันคาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงฮานอยซึ่งตัวสถาปัตยกรรมเป็นสไตล์นีโอโกธิคซึ่งมีต้นแบบมาจากวิหารนอร์ทเธอร์ดามในกรุงปารีสของประเทศฝรั่งเศสและถูกสร้างขึ้นในปี 1884 ในยุคที่ฝรั่งเศสยังเป็นเจ้าอาณานิคมของเวียดนาม

นอกจากนั้นแล้วโบสถ์เซนต์โจเซฟก็ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวคริสต์ที่อาศัยอยู่ในกรุงฮานอยและยังเป็นสถานที่ที่ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา ส่วนในปัจจุบันโบสถ์เซนต์โจเซฟกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของกรุงฮานอย นักท่องเที่ยวจากหลากหลายชาติมักจะมาถ่ายรูปและชมความสวยงามของตัวโบสถ์เซนต์โจเซฟซึ่งในช่วงเวลาค่ำคืนที่แห่งนี้จะมีการเปิดไฟแสงสีสวยงาม นอกจากนั้นก็ยังเป็นจุดที่จะมีชาวคริสต์มาประกอบพิธีทางศาสนาโดยเฉพาะพิธีมิสซาซึ่งในทุกๆวันอาทิตย์ตั้งแต่ช่วง 18.00 น.เป็นต้นไปจะมีชาวคริสต์จำนวนมากมาทำพิธีมิสซาซึ่งจะเห็นชาวคริสต์หลายคนที่มาประกอบพิธีจนแถวยาวออกไปจนถึงด้านนอก


โบสถ์เซนต์โจเซฟเป็นอาสนวิหารคริสต์ที่เก่าแก่ที่สุด
ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงฮานอยของประเทศเวียดนาม

โบสถ์เซนต์โจเซฟถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมนีโอโกธิค
โดยทำเลจะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทะเลสาบฮว่านเกี๊ยม

ชาวคริสต์จำนวนมากในกรุงฮานอยมาร่วมประกอบพิธีมิสซา
ซึ่งจะมีทั้งชาวเวียดนามรวมไปถึงชาวต่างชาติ

ต้นคริสต์มาสถูกประดับไฟแสงสีอย่างสวยงาม
ซึ่งเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์สำคัญของช่วงเทศกาลคริสต์มาส

ปัจจุบันโบสถ์เซนต์โจเซฟเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของกรุงฮานอย
และจะมีจุดหรือมุมสวยๆให้ผู้คนได้มาถ่ายรูปกัน

บริเวณรอบๆของโบสถ์เซนต์โจเซฟจะมีร้านค้ามากมาย
และมีสามล้อถีบคอยให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการชมเมือง


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
22 ธันวาคม 2567

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2567

 

EP.178 เนินเขา A1


เวียดนามเป็นประเทศที่เคยต้องเผชิญกับภาวะสงคราม โดยในสมัยอดีตกองทัพชาวญวนต้องสู้รบในสงครามกับฝ่ายโลกตะวันตกไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศสหรือแม้กระทั่งสหรัฐอเมริกา สำหรับการสู้รบกับฝรั่งเศสก็ถูกรู้จักกันดีในชื่อของ ยุทธการเดียนเบียนฟู ซึ่งเป็นสงครามที่ฝ่ายเวียดนามรบกับกองกำลังของฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1954 โดยการสู้รบนั้นก็เกิดขึ้นที่เมืองเดียนเบียนฟูซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม

ยุทธการเดียนเบียนฟูเป็นสงครามที่สู้รบที่กินเวลากว่า 40 วันโดยการสู้รบเกิดขึ้นบนเนินเขาซึ่งสถานที่แห่งนี้กองทัพของฝรั่งเศสได้ใช้เป็นฐานทัพสำคัญและหวังที่จะบดทำลายเวียดนามให้ย่อยยับ โดยแม้ว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ของฝ่ายเวียดนามจะด้อยและเทียบกับกองทัพของฝรั่งเศสไม่ได้ แต่ยุทธวิธีที่ฝ่ายเวียดนามมาใช้เล่นงานก็ทำให้กองทัพฝรั่งเศสถึงกับต้องพบกับความปราชัย

หนึ่งในยุทธวิธีที่เวียดนามใช้ทำลายฐานทัพของฝรั่งเศสก็คือ การเจาะภูเขาทั้งลูกเพื่อให้เชื่อมต่อเข้าถึงกันโดยแต่ละจุดก็จะเจอกับบังเกอร์ของกำลังฝรั่งเศสที่ใช้เป็นจุดบัญชาการรบซึ่งเป็นการโจมตีเป้าหมายสำคัญ โดยการสู้รบบนเนินเขาเกิดขึ้นอยู่หลายครั้งจนกระทั่งในช่วงเวลา 04.00 น.ของวันที่ 7 พฤษภาคมปี 1954 กองทัพของเวียดนามก็สามารถยึดฐานทัพของฝรั่งเศสหรือที่เรียกกันว่าเนินเขา A1 ได้อย่างเป็นทางการและเป็นฝ่ายชนะในยุทธการเดียนเบียนฟู

ส่วนในยุคปัจจุบันพื้นที่ของเนินเขา A1 ก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของเวียดนาม โดยพื้นที่ก็ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเดียนเบียนฟูทำให้สามารถเดินทางไปชมกันได้อย่างสะดวก ส่วนราคาค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 20,000 ดงหรือประมาณ 30 บาทและเนินเขา A1 จะเปิดให้เข้าชมกันทุกวันโดยช่วงที่ผมได้ไปเที่ยวชมก็เป็นในเดือนมกราคมของปี 2024 ในช่วงเวลาบ่ายซึ่งอากาศก็กำลังสบายๆไม่หนาวหรือร้อนมากจนเกินไปซึ่งหากใครต้องการรู้ลึกถึงข้อมูลของตำนานการสู้รบที่เนินเขา A1 ก็สามารถจ้างไกด์ท้องถิ่นในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสู้รบในยุทธการเดียนเบียนฟูได้


เนินเขา A1 ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเดียนเบียนฟู
โดยในสมัยอดีตเคยเป็นสมรภูมิสู้รบระหว่างเวียดนามกับฝรั่งเศส

หลุมยุบลงไปค่อนข้างลึกซึ่งก็คือร่องรอยการสู้รบ
ในศึกยุทธการเดียนเบียนฟูเมื่อปี 1954

มีการเจาะภูเขาทั้งลูกเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้
โดยเป็นยุทธวิธีที่เวียดนามใช้ในการเล่นงานฝ่ายฝรั่งเศส

ทางเชื่อมที่จะทะลุไปถึงกันได้ซึ่งเป็นจุดที่กองทัพเวียดนาม
ใช้โจมตีฝรั่งเศสจนได้รับชัยชนะ

ป้อมปราการและบังเกอร์ภายในเนินเขา A1 โดยเป็นจุดที่
ฝรั่งเศสใช้เป็นฐานบัญชาการรบในยุทธการเดียนเบียนฟู

รถถังของฝ่ายฝรั่งเศสที่เคยใช้เป็นอาวุธในการสู้รบ
ปัจจุบันถูกตั้งเป็นอนุสรณ์ให้นักท่องเที่ยวได้มาถ่ายรูป

อนุสรณ์สถานที่ใช้ในการรำลึกถึงนายทหารที่เสียชีวิต
ถูกตั้งอยู่ตรงกลางของเนินเขา A1


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
15 ธันวาคม 2567

วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2567

 

EP.177 โบสถ์ซานอากุสติน


ฟิลิปปินส์เป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่นับถือศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติซึ่งนั่นก็ทำให้สามารถพบเห็นโบสถ์คริสต์ได้อย่างมากมายในประเทศฟิลิปปินส์ โดยหนึ่งในโบสถ์ที่มีชื่อเสียงของประเทศก็คือ โบสถ์ซานอากุสติน ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงมะนิลานอกจากนั้นยังเป็น 1 ใน 4 โบสถ์สไตล์บาโรก แต่สำหรับโบสถ์ซานอากุสตินที่นี่จัดได้ว่าเป็นโบสถ์คริสต์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศ เนื่องจากว่าได้ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโกเมื่อตอนปี 2003

ผมไปเที่ยวที่กรุงมะนิลาเมื่อตอนเดือนเมษายนของปี 2023 และก็ได้ไปเที่ยวชมโบสถ์ซานอากุสตินมาเช่นเดียวกันซึ่งโบสถ์ซานอากุสตินจะตั้งอยู่ในพื้นที่ของโซนเมืองเก่าอินทรามูรอส โดยวันที่ผมไปก็ตรงกับช่วงที่มีพิธีการแต่งงานภายในโบสถ์พอดิบพอดี ทำให้บรรยากาศดูค่อนข้างคึกคักและมีสีสันซึ่งผมก็ได้เห็นพิธีการแต่งงานตามหลักชาวคริสต์ซึ่งแม้ว่าจะเห็นเพียงเล็กน้อยและมาในฐานะแขกที่ไม่ได้รับเชิญ แต่ก็รู้สึกยินดีกับคู่บ่าวสาวในงานมงคลครั้งนี้ไปด้วย

หลังจากชมพิธีการแต่งงานเสร็จสิ้นแล้ว ผมก็เดินสำรวจบรรยากาศของโบสถ์ซานอากุสตินรวมไปถึงจุดของพิพิธภัณฑ์ซึ่งจะตั้งอยู่ติดกัน สำหรับประวัติของโบสถ์ซานอากุสตินก็จัดว่าเป็นโบสถ์คริสต์แห่งแรกที่สร้างขึ้นบนเกาะลูซอนในช่วงที่สเปนเป็นเจ้าอาณานิคมของฟิลิปปินส์ โดยตัวโบสถ์ถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมยุโรปแบบบาโรกและตัวโครงสร้างมีความวิจิตรตระการตาซึ่งเน้นแสงเงาให้ตัดกันซึ่งเป็นการปรับให้เข้ากับสภาพอากาศในฟิลิปปินส์

โดยจุดของตัวโบสถ์ที่ผมได้เห็นกับตาต้องถือว่ามีความงดงามยิ่งนักจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงได้ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก ขณะที่ในจุดของพิพิธภัณฑ์ก็จะเป็นการนำเสนอเรื่องราวของศาสนาคริสต์ซึ่งจะมีทั้งเรื่องราวประวัติของพระเยซู สถาปัตยกรรมและความเชื่อต่างๆของศาสนาคริสต์ซึ่งจะได้เห็นทั้งภาพวาด รูปปั้นต่างๆ ภาพของนักบุญและนักบวชคำสำคัญรวมไปถึงภาพแกะสลักจากไม้ โดยในช่วงที่ผมไปดันเป็นช่วงหน้าร้อนระอุแบบสุดๆของฟิลิปปินส์ซึ่งถ้าใครอยากมาเที่ยวชม ผมแนะนำว่าควรมาสักช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศดีและไม่ร้อนจนเกินไป ทำให้สามารถเที่ยวชมได้แบบสบายๆ


โบสถ์ซานอากุสตินเป็นโบสถ์คริสต์ที่มีชื่อเสียงของฟิลิปปินส์
โดยตั้งอยู่ในกรุงมะนิลาซึ่งเป็นเมืองหลวง

โบสถ์ซานอากุสตินถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาโรก
ซึ่งด้านภายในมีความวิจิตรและงดงามเป็นอย่างมาก

วันที่ผมไปเที่ยวก็เป็นช่วงที่มีการจัดพิธีแต่งงานพอดี
ทำให้ผมได้ร่วมงานในฐานะแขกที่ไม่ได้ถูกรับเชิญ

หลังจากนั้นผมก็เดินมายังพิพิธภัณฑ์
ซึ่งจะตั้งอยู่ติดกันและภายในมีสิ่งที่น่าสนใจให้ชมมากมาย

พิพิธภัณฑ์จะนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์
โดยมีทั้งภาพวาดและรูปปั้นต่างๆ

จุดของรายชื่อผู้เสียชีวิตซึ่งก็จะเป็นพวกนักบุญและนักบวช

เรือสำเภาซึ่งเป็นยานพาหนะสำคัญในสมัยอดีต
ซึ่งพวกนักบวชเดินทางด้วยเรือสำเภาเพื่อมาเผยแผ่ศาสนา

ภาพอาหารมื้อสุดท้ายหรือ The Last Supper
ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่พระเยซูจะถูกนำไปตรึงกับไม้กางเขน


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
7 ธันวาคม 2567

วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2567

 

EP.176 ตลาดหัตถกรรมกัมพูชา


กัมพูชาหรือเขมรเป็นประเทศแรกที่ผมได้เดินทางไปท่องเที่ยว โดยช่วงแรกๆที่ผมได้ท่องเที่ยวในสไตล์แบ็คแพ็คเกอร์ ผมไปกัมพูชาอยู่บ่อยครั้งซึ่งก็ได้แวะท่องเที่ยวไปยังเมืองต่างๆแต่เมืองที่ผมไปอยู่บ่อยๆก็คือ เสียมเรียบ ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวและตั้งอยู่ห่างจากพรมแดนฝั่งไทยไม่ไกลเท่าไหร่นักซึ่งที่เสียมเรียบจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวกันค่อนข้างเยอะ เพราะส่วนใหญ่อยากมาเที่ยวชมนครวัดนั่นเอง

เมืองเสียมเรียบมีสถานที่ท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะครับโดยเฉพาะพวกตลาดขายสินค้าที่เป็นงานด้านแฮนด์เมดซึ่งจะเป็นที่ถูกใจแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก โดยผมก็มีโอกาสลงสำรวจบรรยากาศขายสินค้างานแฮนด์เมดที่เสียมเรียบและจุดที่ผมเลือกไปก็คือ ตลาดหัตถกรรมกัมพูชา ซึ่งที่นี่จัดว่าเป็นแหล่งรวบรวมสินค้าทั้งงานแฮนด์เมด งานฝีมือด้านหัตถกรรมที่เป็นผลิตภัณฑ์ของทางเขมรซึ่งสินค้าก็มีวางขายอย่างมากมาย

ส่วนบรรยากาศเท่าที่ผมได้ไปเดินสำรวจก็พบว่าค่อนข้างจะดูเงียบเหงา แม้ว่าจะมีร้านค้าอยู่หลายร้านแต่ก็ไม่ค่อยมีผู้คนมาเดินมากนัก ส่วนสินค้าที่ผมได้เห็นก็จะเป็นพวกเสื้อผ้า ผ้าพันคอ เครื่องประดับต่างๆ นอกจากนั้นก็จะมีพวกภาพวาดงานศิลปะ โดยสินค้าทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นงานฝีมือที่สร้างสรรค์โดยชาวเขมรและจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวตะวันตกที่มักจะมีความชื่อชอบในงานแฮนด์เมดเหล่านี้เป็นอย่างมาก


ตลาดหัตถกรรมกัมพูชาเป็นสถานที่ขายสินค้าแฮนด์เมด
ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยวอย่างเสียมเรียบ

บรรยากาศภายในตลาดมีร้านค้ามากมาย สินค้าก็มีเยอะ
แต่บรรยากาศดูค่อนข้างจะเงียบเหงา

สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นงานแฮนด์เมดที่ทำโดยชาวเขมร
โดยเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมีขายกันค่อนข้างเยอะ

สินค้าประเภทเครื่องประดับก็มีขายกันค่อนข้างเยอะ

ภาพวาดงานศิลปะจะเป็นภาพเกี่ยวกับศิลปะเขมร
โดยเฉพาะภาพเกี่ยวกับนครวัด


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
1 ธันวาคม 2567

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

 

EP.175 นั่งรถไฟมาเลเซีย
เส้นทาง KL Sentral - ปาดังเบซาร์


ประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียเป็น 2 ประเทศที่มีพรมแดนติดกันซึ่งเวลาที่ผมเดินทางไปท่องเที่ยวที่มาเลเซีย ผมไม่นิยมในการนั่งเครื่องบินเท่าไหร่ โดยตัวเลือกในการเดินทางที่ผมชอบใช้มากที่สุดก็คือ การนั่งรถไฟซึ่งเส้นทางที่ผมใช้บ่อยก็คือตรงสถานีปาดังเบซาร์ซึ่งจะเป็นจุดเชื่อมต่อหลักระหว่างรถไฟไทยกับรถไฟมาเลเซียและบริเวณจุดของปาดังเบซาร์ก็เป็นจุดที่มีผู้คนเดินทางผ่านพรมแดนในแต่ละวันกันค่อนข้างมาก

ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมก็ได้นั่งรถไฟมาลงที่สถานีปาดังเบซาร์แต่เป็นการนั่งมาจากสถานี KL Sentral ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ซึ่งก็เป็นการเดินทางจากมาเลเซียกลับมายังฝั่งประเทศไทย โดยรถไฟที่ผมนั่งเป็นรถไฟของทางมาเลเซียซึ่งเป็นรถไฟ ETS Gold ซึ่งจะมีวิ่งให้บริการทุกวัน โดยถ้าเดินทางจากสถานี KL Sentral จะเดินทางออกจากสถานีในช่วงเวลา 10.41 น.และจะใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงกว่าในการมาถึงสถานีปาดังเบซาร์ซึ่งจะกำหนดถึงตอนเวลา 16.18 น.

ผมเลือกเดินทางด้วยวิธีนี้เนื่องจากเวลาไปเที่ยวมาเลเซีย ผมไม่นิยมนั่งเครื่องบินและการเดินทางด้วยรถไฟ ETS Gold ก็มีราคาถูกกว่าเดินทางด้วยขบวน Platinum หรือ Express รวมถึงเวลาการเดินทางก็จะมาถึงสถานีปาดังเบซาร์ตามเวลาไทยประมาณบ่าย 3 โมงกว่าซึ่งประจวบเหมาะกับที่ขบวนรถไฟที่จะไปชุมทางหาดใหญ่มาเข้าจอดรับส่งผู้โดยสารพอดิบพอดี เนื่องจากผมจะต้องเดินทางไปลงที่หาดใหญ่เพื่อนั่งรถไฟตู้นอนขบวน 170 เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพ นี่จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการเดินทาง

ส่วนบรรยากาศของขบวนรถไฟก็จะมีตู้ขบวนทั้งสิ้น 6 ตู้ไล่ไปตามตัวอักษร A-F และจากการที่ผมได้เดินสำรวจก็จะเจอจุดของห้องน้ำซึ่งขนาดกว้างกว่ารถไฟไทยรวมทั้งยังมีจุดของร้านขายของกินซึ่งมีเมนูอาหารของทางมาเลเซียและก็เมนูเครื่องดื่มแต่ราคาก็แพงกว่าที่ไปซื้อจากร้านทั่วๆไป ส่วนอัตราค่าโดยสารจะแตกต่างกันไปตามวันที่เดินทางอย่างเช่นเดินทางช่วงสุดสัปดาห์ศุกร์ถึงอาทิตย์ราคาก็จะแพงที่สุด แต่ถ้าเดินทางในวันจันทร์และอังคารราคาค่าโดยสารก็จะถูกที่สุด ส่วนผมเดินทางในวันพุธอัตราค่าโดยสารก็อยู่ที่ประมาณ 600 บาท


ผู้โดยสารมานั่งรอเพื่อไปยังจุดของชานชาลาที่
สถานี KL Sentral ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์

รถไฟ ETS Gold มาจอดรับส่งผู้โดยสารที่สถานี KL Sentral
โดยรถไฟเริ่มต้นวิ่งมาจากสถานีเกอมัสซึ่งเป็นสถานีต้นทาง

เส้นทางที่รถไฟมาเลเซียจะวิ่งผ่าน
โดยแบ่งออกเป็นทั้งเส้นทางชายฝั่งตะวันตกและชายฝั่งตะวันออก

บรรยากาศภายในขบวนรถไฟ ETS Gold ของมาเลเซีย

ร้านขายของกินบนขบวนรถไฟ โดยจะไม่มีตู้เสบียง
แต่จะมีเพียงโต๊ะและเก้าอี้เล็กๆให้ผู้โดยสารได้นั่งทานกัน

ห้องน้ำบนขบวนรถไฟซึ่งจะมีขนาดที่กว้างกว่ารถไฟไทย

รถไฟจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงกว่า
โดยจะผ่านสถานีสำคัญอย่าง อิโปห์ ไทปิง อลอสตาร์

บรรยากาศระหว่างทางซึ่งจะมีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่เป็นท้องทุ่งนา

รถไฟเลทนิดหน่อยและมาจอดที่สถานีปาดังเบซาร์ในช่วง
บ่าย 4 โมงตามเวลาของประเทศไทย


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
22 พฤศจิกายน 2567

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

 

EP.174 เดินสำรวจบรรยากาศ
ย่านไชน่าทาวน์ของกรุงมะนิลา


ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลกโดยเพิ่งโดนอินเดียแซงหน้าไปเมื่อไม่นานเท่าไหร่ โดยความหนาแน่นของประชากรทำให้คนจีนบางส่วนตัดสินใจทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดและย้ายไปตั้งรกรากยังต่างประเทศ โดยที่คนจีนก็ไม่ได้ไปกระจุกกันอยู่ในประเทศเดียว แต่ได้เดินทางไปยังหลายประเทศทั่วโลกและไปตั้งรกรากสร้างเนื้อสร้างตัวในดินแดนใหม่ซึ่งเมื่อมีคนจีนหลายคนไปอยู่รวมกัน ทำให้พวกเขาได้สร้างชุมชนชาวจีนขึ้นมาซึ่งจะถูกเรียกกันว่า ไชน่าทาวน์

ปัจจุบันย่านไชน่าทาวน์มีให้เห็นกันอยู่แทบจะทุกที่ทั่วโลกซึ่งย่านชุมชนชาวจีนนี้ก็จะสามารถพบเห็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมที่เสนอความเป็นจีนให้ผู้ที่ผ่านสัญจรไปมาได้เห็นกัน สำหรับในเมืองไทยย่านไชน่าทาวน์ที่มีชื่อเสียงก็จะตั้งอยู่ในแถบเยาวราช ขณะที่ในประเทศฟิลิปปินส์เพื่อนบ้านอาเซียนของไทยก็มีย่านไชน่าทาวน์ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงมะนิลาโดยจะตั้งอยู่ใกล้ๆเขตดิวิซอเรียซึ่งผมได้มีโอกาสไปสำรวจบรรยากาศมาเมื่อตอนปี 2023

สำหรับบรรยากาศในย่านไชน่าทาวน์ของกรุงมะนิลา ผมได้ไปสำรวจพื้นที่ในช่วงค่ำคืนและอยากจะรู้ว่าจะมีความคึกคักเหมือนกับแถวเยาวราชในกรุงเทพฯของบ้านเราหรือเปล่า แต่ปรากฎว่าสิ่งที่ผมได้เห็นก็คือ บรรยากาศที่ดูค่อนข้างเงียบและไม่ค่อยคึกคักมากเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีผู้คนบางส่วนมาเดินเพื่อรับประทานอาหาร ซื้อของกิน โดยในย่านไชน่าทาวน์ที่กรุงมะนิลาก็มีร้านอาหารจีนซึ่งเป็นที่นิยมของคนท้องถิ่นรวมไปถึงร้านค้าที่มีชื่อเสียงซึ่งมีผู้คนมาต่อคิวซื้อของกันและจุดของโคมสีแดงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นจีนและมักจะตั้งอยู่ในย่านไชน่าทาวน์ของทุกๆประเทศ


นี่คือย่านไชน่าทาวน์ของกรุงมะนิลาในประเทศฟิลิปปินส์
ที่ผมได้ไปสำรวจบรรยากาศมาเมื่อปี 2023

ผมเริ่มเดินสำรวจบรรยากาศในช่วงเวลาเย็น
และต่อเนื่องไปถึงช่วงเวลายามค่ำคืน

ร้านอาหารจีนในย่านไชน่าทาวน์มีอยู่หลายร้าน
ซึ่งมีทั้งแบบร้านสไตล์หรูหราและสไตล์บ้านๆทั่วไป

ร้านนี้เป็นร้านชื่อดังถึงขนาดสื่อดังอย่าง CNN เคยมาทำข่าว
ทำให้มีผู้คนมาต่อแถวซื้อของกันอย่างมากมาย

บรรยากาศย่านไชน่าทาวน์ที่กรุงมะนิลาดูเงียบเหงา
ซึ่งแตกต่างจากย่านเยาวราชของบ้านเราอย่างชัดเจน

ลานน้ำพุในย่านไชน่าทาวน์ในช่วงค่ำคืนจะเปิดไฟแสงสีสวยงาม


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
18 พฤศจิกายน 2567