วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2566

 

EP.122 สถานีขนส่งรันเตาปันยัง


รันเตาปันยัง คือ เมืองชายแดนของมาเลเซียและมีพรมแดนติดกับอำเภอสุไหงโกลกของประเทศไทยซึ่งการที่เป็นเมืองชายแดนก็ย่อมแน่นอนว่าจะต้องมีด่านตรวจคนเข้าเมืองซึ่งที่รันเตาปันยังก็มีด่าน ตม.แถมในแต่ละวันก็มีผู้คนเดินทางเข้าออกระหว่างฝั่งไทยกับฝั่งมาเลเซียกันเป็นจำนวนมากซึ่งจากการที่ผมสังเกตุดูแล้วค่อนข้างจะเป็นด่านสากลที่มีคนข้ามพรมแดนกันเยอะไม่แพ้ด่านตรงปาดังเบซาร์กันเลยทีเดียว

สำหรับบทความนี้ผมคงไม่ขอเขียนถึงด่านพรมแดน แต่จะมาเขียนถึงสถานีขนส่งรันเตาปันยังซึ่งระยะทางจากด่านตรวจคนเข้าเมืองกับสถานีขนส่งถือว่าอยู่ใกล้กันมากและระยะทางที่ผมกะดูแล้วก็ค่อนข้างจะใกลกันมากและเดินไปไม่เกิน 300 เมตรซึ่งการที่มีสถานีขนส่งอยู่ใกล้ๆกับด่านพรมแดนอย่างนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีแก่นักเดินทางรวมไปถึงผู้คนอีกมากมาย

ผมได้เดินทางข้ามด่านจากสุไหงโกลกไปที่รันเตาปันยังเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมของปี 2022 ซึ่งบรรยากาศที่สถานีขนส่งนับว่าค่อนข้างคึกคัก เพราะมีคนมาเลย์จำนวนมากและคนไทยอีกจำนวนหนึ่งได้มาใช้บริการที่สถานีขนส่งในการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆซึ่งที่สถานีขนส่งรันเตาปันยังมีรถบัสให้บริการอยู่หลายบริษัทและมีเส้นทางไปทั้งที่กัวลาลัมเปอร์ กวนตัน กัวลาตรังกานู มะละกา รวมไปถึงยะโฮบาห์รู

ส่วนบรรยากาศอื่นๆที่ผมได้เดินสำรวจดูก็พบว่าจะมีจุดของที่นั่งพักของผู้โดยสาร ห้องน้ำและห้องละหมาด นอกจากนั้นก็ยังจุดของร้านอาหารซึ่งจะเป็นร้านอาหารสไตล์ท้องถิ่นมาเลย์ที่เป็นอาหารฮาลาล ส่วนบริเวณรอบๆสถานีขนส่งจะมีปั๊มน้ำมันอยู่ 2 แห่งรวมถึงพวกร้านค้าเล็กๆรวมไปถึงร้านรับฝากรถยนต์ซึ่งในแต่ละวันผู้คนจำนวนมากเดินทางข้ามพรมแดนกันไปมาและก็จะมานั่งรถบัสที่สถานีขนส่งรันเตาปันยังเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆในประเทศมาเลเซีย


สถานีขนส่งรันเตาปันยัง เป็นสถานีที่ตั้งอยู่ใกล้กับ
ด่านตรวจคนเข้าเมืองรันเตาปันยัง

จุดจำหน่ายตั๋วโดยสารซึ่งมีหลายบริษัท
และมีรถบัสเดินทางไปยังจุดหมายต่างๆในมาเลเซีย

จุดที่นั่งพักของผู้โดยสารซึ่งในแต่ละวัน
จะมีผู้คนมาใช้บริการที่สถานีขนส่งกันเป็นจำนวนมาก

ร้านอาหารภายในสถานีขนส่งรันเตาปันยัง
ซึ่งจะเป็นร้านอาหารท้องถิ่นและเป็นพวกอาหารฮาลาล

ปั๊มน้ำมันปิโตรนาสตั้งอยู่ใกล้ๆกับสถานีขนส่ง
ซึ่งราคาน้ำมันที่มาเลเซียค่อนข้างถูก โดยขายลิตรละ 16 บาท

สัญลักษณ์ประจำสถานีขนส่งรันเตาปันยัง
โดยเมืองรันเตาปันยังเป็นเมืองชายแดนและตั้งอยู่ในรัฐกลันตัน

ด่านพรมแดนกับสถานีขนส่งจะอยู่ใกล้กันมาก
และเดินไม่เกิน 300 เมตรก็ถึงกันแล้ว


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
31 ตุลาคม 2566

วันพุธที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2566

 

EP.121 อนุสาวรีย์อันเดรส
โบนิฟาซิโอ


การไปเที่ยวยังต่างแดนของผมในแต่ละครั้งผมมักจะตั้งเป้าหมายในการเดินทางไว้อยู่ 2-3 อย่าง โดยอย่างแรกคือการเรียนรู้และซึมซับวัฒนธรรมของแต่ละประเทศให้ได้มากที่สุด ส่วนอย่างที่สองคือเดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆและอย่างสุดท้ายก็คือการเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ โดยอย่างหลังนั้นเป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบอยู่ไม่น้อยเพราะผมเองก็เป็นคนที่ชอบศึกษาเรื่องราวของประวัติศาสตร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

สำหรับการไปเที่ยวที่ฟิลิปปินส์ผมก็มีโอกาสได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของประเทศนี้มาอยู่บ้างและพอได้ไปสัมผัสจริงๆก็พบว่าประวัติศาสตร์ของฟิลิปปินส์มีความน่าสนใจอีกมากและหาไม่ได้จากการที่แค่ศึกษาในตำรา โดยในสมัยอดีตนั้นฟิลิปปินส์เคยตกเป็นอาณานิคมของสเปนและก็เป็นเรื่องธรรมดาของชาติที่ตกเป็นอาณานิคมที่สุดท้ายก็ต้องการมีอิสรภาพมีเอกราชในการปกครองตนเองซึ่งประเทศฟิลิปปินส์ก็ไม่แตกต่างจากชาติอื่นๆครับ

สมัยที่ฟิลิปปินส์ตกเป็นเมืองขึ้นของสเปนก็ได้เกิดวีรบุรุษของชาติที่ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้และเรียกร้องเอกราชโดยหนึ่งคนที่มีชื่อเสียงก็คือ โฮเซ ริซัล และอีกหนึ่งคนก็คือ อันเดรส โบนิฟาซิโอ ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งการปฏิวัติฟิลิปปินส์ โดยอันเดรส โบนิฟาซิโอ เป็นผู้เริ่มก่อตั้งกลุ่มลับที่มีชื่อว่า กาติปูนัน (Katipunan) ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาเพื่อต่อต้านเจ้าอาณานิคมอย่างสเปนและมีเป้าหมายในการนำเอกราชและอิสรภาพมาสู่ชาติฟิลิปปินส์

สำหรับประวัติของอันเดรส โบนิฟาซิโอ ผมอาจจะไม่ขอลงรายละเอียดเจาะลึกอะไรมากแต่ถ้าใครสนใจเกี่ยวกับประวัติของเขาก็สามารถหาอ่านได้จากในกูเกิลซึ่งมีทั้งประวัติส่วนตัว กลุ่มองค์กรลับการติปูนันและเหตุการณ์สำคัญในสมัยยุคปฏิวัติฟิลิปปินส์ซึ่งแม้ว่าสุดท้ายโบนิฟาซิโอจะถูกประหารชีวิตจากชาวฟิลิิปปินส์ด้วยกันในเรื่องความแตกแยกในกลุ่มและข้อหากบฏ แต่ชื่อของเขาก็ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในวีรบุรุษของชาติฟิลิปปินส์

ปัจจุบันเรื่องราวการรำลึกถึงอันเดรส โบนิฟาซิโอก็สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในกรุงมะนิลา โดยในโซนย่านเออร์มิตาใกล้กับศาลาว่าการกรุงมะนิลาก็ได้มีอนุสาวรีย์ของอันเดรส โบนิฟาซิโอและองค์กรลับกาติปูนันตั้งอยู่อย่างโดดเด่น โดยบริเวณจุดนี้จะมีผู้คนชาวฟิลิปปินส์มักมาถ่ายรูปและรำลึกถึงวีรบุรุษของชาติกันพอสมควร ขณะที่บริเวณด้านหลังของอนุสาวรีย์ก็เป็นลานกว้างซึ่งจะมีผู้คนจำนวนมากมานั่งพักผ่อนพูดคุยซึ่งจากการที่ผมลองสังเกตุดูก็จะเป็นกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ของฟิลิปปินส์กันซะส่วนใหญ่


อนุสาวรีย์อันเดรส โบนิฟาซิโอ เป็นอนุสาวรีย์ที่รำลึกถึง
วีรบุรุษของชาติฟิลิปปินส์ที่มีนามว่า อันเดรส โบนิฟาซิโอ

นอกจากจะมีรูปปั้นของอันเดรส โบนิฟาซิโอแล้วก็ยังมีรูปปั้นของ
กลุ่มกาติปูนันซึ่งเป็นองค์กรที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อเรียกร้องเอกราชจากสเปน

บริเวณด้านหลังของอนุสาวรีย์จะมีธงชาติฟิลิปปินส์
ซึ่งแสดงถึงความเป็นเอกราชของชาติ

พื้นที่ลานกว้างด้านหลังอนุสาวรีย์จะมีผู้คนจำนวนมาก
ออกมาทำกิจกรรมโดยเฉพาะในช่วงเวลาเย็นจะดูคึกคักเป็นอย่างมาก

นอกจากนั้นยังเป็นจุดที่มีรถจี๊ปนีย์จำนวนมาก
ซึ่งจะมาเข้าจอดเพื่อรับส่งผู้โดยสาร

ผมไปถ่ายภาพบรรยากาศตรงกับช่วงเวลาเย็นพอดี
ซึ่งสภาพการจราจรด้านหน้าอนุสาวรีย์ดูวุ่นวายพอสมควร


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
25 ตุลาคม 2566

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2566

 

EP.120 ตึกแฝดปิโตรนาส


ถ้าหากจะถามถึงสัญลักษณ์หรือแลนด์มาร์กที่มีชื่อเสียงและโด่งดังมากที่สุดของประเทศมาเลเซีย ผมว่าน่าจะมีหลายท่านที่นึกถึงตึกแฝดปิโตรนาสเป็นอันดับแรกๆ เพราะนี่คือสัญลักษณ์ที่มักจะได้รับการโปรโมทจากการท่องเที่ยวของมาเลเซียอยู่เสมอแถมยังตั้งอยู่ในพื้นที่ของเมืองหลวงอย่างกรุงกัวลาลัมเปอร์นั่นจึงทำให้หลายคนจดจำตึกแฝดปิโตรนาสได้ค่อนข้างติดตาและมองว่านี่คือสัญลักษณ์ที่สำคัญของประเทศมาเลเซีย

สำหรับตึกแฝดปิโตรนาสในครั้งหนึ่งเคยถูกจารึกสถิติว่าเป็นตึกที่มีความสูงที่สุดในโลกในช่วงระหว่างปี 1998 - 2003 ก่อนที่จะถูกทำลายสถิติโดยตึกไทเป 101 ของไต้หวัน โดยตึกแฝดปิโตรนาสถูกก่อสร้างขึ้นโดยความร่วมมือกันของทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้และมาเลเซียซึ่งความสูงของตึกแฝดปิโตรนาสจะอยู่ที่ 451.9 เมตรและมีอยู่ทั้งสิ้น 88 ชั้นซึ่งบริเวณด้านตรงกลางจะเป็นสะพานหรือทางเดินเชื่อมต่อกันระหว่าง 2 ตึก นอกจากนี้รูปแบบของลวดลายก็จะเป็นศิลปะแบบอิสลามซึ่งเป็นศาสนาหลักของมาเลเซีย

ปัจจุบันตึกแฝดปิโตรนาสคือสัญลักษณ์และสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของกรุงกัวลาลัมเปอร์และประเทศมาเลเซีย โดยส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมักจะมาชมกันในยามค่ำคืนเพราะจะมีความสวยงามมากกว่าในช่วงกลางวันซึ่งการเดินทางมาชมตึกแฝดปิโตรนาสก็ถือว่าง่ายและสะดวกอย่างมากครับเพราะสามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี KLCC และเดินตามป้ายบอกทางมาเรื่อยๆก็จะถึงซึ่งในทุกๆค่ำคืนจะมีผู้คนทั้งชาวมาเลเซียและชาวต่างชาติมาถ่ายรูปและชมบรรยากาศกันเป็นจำนวนมาก


ตึกแฝดปิโตรนาสเป็นสัญลักษณ์ของมาเลเซีย
โดยตั้งอยู่ในเมืองหลวงที่กรุงกัวลาลัมเปอร์

บริเวณรอบๆของตึกแฝดปิโตรจะมีลานน้ำพุ
ซึ่งในยามค่ำคืนจะมีการเปิดไฟสีสันสวยงามดูสดใส

น้ำพุเริงระบำในยามค่ำคืนซึ่งช่วงเวลากลางคืน
จะเป็นช่วงไฮไลท์ที่เหมาะในการมาชมตึกแฝดปิโตรนาส

ผู้คนจำนวนมากต่างมาชมตึกแฝดปิโตรนาสในยามค่ำคืน
ซึ่งมีทั้งคนมาเลเซียและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ

บริเวณทางเข้าห้าง Suria KLCC ซึ่งจะตั้งอยู่
บริเวณชั้นล่างของตึกแฝดปิโตรนาส


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
19 ตุลาคม 2566

วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2566

 

EP.119 ถนนบราก้า


ถนนคนเดินถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดแลนด์มาร์กที่สำคัญในแต่ละประเทศ เพราะจะเป็นจุดศูนย์รวมพวกสินค้าทั้งของกินและของใช้ รวมไปถึงมีจุดให้ผู้คนได้มาถ่ายรูปเช็คอินและถนนคนเดินมักจะตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองซึ่งจะสะดวกต่อการเข้าถึงได้อย่างง่ายดายซึ่งเวลาที่ผมไปต่างประเทศ ผมก็มักที่จะแวะไปชมถนนคนเดินของแต่ละประเทศอยู่เสมอซึ่งถนนคนเดินแต่ละแห่งก็มีจะมีเสน่ห์และเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผมได้ไปเที่ยวที่เมืองบันดุงของประเทศอินโดนีเซีย โดยก็มีถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงซึ่งก็คือ ถนนบราก้า ซึ่งเป็นถนนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงยุคทศวรรษที่ 20 ในสมัยที่อินโดนีเซียยังเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ โดยถ้าหากย้อนกลับไปในสมัยอดีตจะมีเพียงรถม้าที่ผ่านสัญจรไปได้เท่านั้น แต่เมื่อยุคสมัยผ่านไปตามกาลเวลาความเจริญก็ผุดขึ้นอย่างมากมายและมีการตัดถนนเพิ่มเติมเพื่อทำให้การคมนาคมมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น

โดยในยุคที่ชาวดัตช์ยังยึดครองพื้นที่ของเมืองบันดุงบริเวณพื้นที่ของถนนบราก้าก็จะเต็มไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมในสไตล์ยุโรป ร้านค้าต่างๆที่ตั้งเรียงรายกันและจะมีแค่เฉพาะกลุ่มเจ้าอาณานิคมชาวดัตช์เท่านั้นที่สามารถเดินบนถนนบราก้าแห่งนี้ได้ แต่เมื่ออินโดนีเซียมีอิสรภาพอย่างเป็นทางการ พื้นที่ของถนนบราก้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนักและร่องรอยความเจริญที่ชาวดัตช์ทิ้งเอาไว้ก็ยังคงเห็นได้อยู่บนถนนบราก้าแห่งนี้

ส่วนบรรยากาศในปัจจุบันของถนนบราก้าก็ถือว่าค่อนข้างมีความคึกคักเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในช่วงบ่ายแก่ๆไปจนถึงรอบหัวค่ำที่จะมีพวกบรรดาผู้คนมาเดินสัญจรกันเต็มไปหมด โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวอินโดนีเซียที่จะมาหาของกินอร่อยๆรวมไปถึงการถ่ายรูปลงโซเชียล ส่วนบรรยากาศที่ผมได้ไปสำรวจมาก็ถือว่าค่อนข้างจะวุ่นวายพอสมควร เพราะว่าถนนบราก้าไม่ได้มีการปิดให้คนเดินอย่างเดียวนั่นจึงทำให้มีรถยนต์และมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านสัญจรไปมาอยู่แทบตลอดเวลา


ถนนบราก้าเป็นถนนคนเดินที่มีชื่อเสียง
โดยตั้งอยู่ในเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย

ถนนบราก้าถูกสร้างโดยกลุ่มชาวดัตช์ในช่วงทศวรรษที่ 20
ซึ่งในอดีตชาวดัตช์คือเจ้าอาณานิคมของอินโดนีเซีย

บรรยากาศในช่วงเย็นๆจะมีผู้คนมาเดินเป็นจำนวนมาก
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาว

นักดนตรีสมัครเล่นกำลังโชว์ร้องเพลงเล่นกีต้าร์
ให้แก่ผู้คนที่มาเดินที่ถนนบราก้า

ร้านอาหารที่ตั้งอยู่บนถนนบราก้า

ร้านรถเข็นแบบนี้เป็นร้านขายขนมท้องถิ่นของอินโดนีเซีย

ภาพวาดหลายรูปถูกตั้งวางขายให้แก่ผู้ที่สนใจ
โดยมีรูปภาพของ ซูการ์โน อดีตผู้นำของอินโดนีเซียด้วย

ถนนบราก้าจะเต็มไปด้วยอาคารสไตล์ยุโรป
และภาพสตรีทอาร์ตที่สามารถพบเห็นได้มากมาย


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
13 ตุลาคม 2566

วันจันทร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2566

 

EP.118 คุกตวลสเลง


เขมรแดง ชื่อนี้คือชื่อที่ทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาต่างพากันเกลียดโกรธแค้นหรืออาจหวาดผวา เพราะเขมรแดงก็คือกลุ่มมีอำนาจฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่เคยได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชาไปไม่ต่ำกว่าหลักล้านคนซึ่งเหตุการณ์ต่างๆมันได้อุบัติขึ้นในช่วงกลางยุคทศวรรษที่ 70 โดยหากไปถามผู้คนชาวเขมรที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปเชื่อว่าหลายคนน่าจะยังพอมีความทรงจำกับในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันอยู่ไม่น้อย

เหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชาถือว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่น่าละอายของมนุษยชาติครับ โดยถึงแม้ว่าปัจจุบันในประเทศกัมพูชาจะไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นอีกแล้ว แต่ก็ยังมีสถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกลุ่มเขมรแดงให้เห็นกันอยู่ โดยหนึ่งในสถานที่นั้นก็ตั้งอยู่ในเมืองหลวงอย่างกรุงพนมเปญโดยสถานที่ที่ว่าก็คือ S-21 หรือคุกตวลสเลง

สำหรับคุกตวลสเลงนั้นในอดีตก็คือโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนกันแบบปกติทั่วไป แต่เมื่อฝ่ายเขมรแดงสามารถเข้าครอบครองกัมพูชาได้แบบเบ็ดเสร็จในปี 1975 สถานที่แห่งนี้ก็ถูกดัดแปลงกลางเป็นคุกที่เอาไว้คุมขังเหยื่อชาวกัมพูชาซึ่งกลายสภาพมาเป็นนักโทษ โดยเมื่อถูกจับเข้ามายังคุกตวลสเลงนั่นก็เท่ากับว่าชีวิตของพวกเขาก็เหมือนกับตายไปแล้วครึ่งนึง

โดยนักโทษที่ถูกนำมาคุมขังที่คุกตวลสเลงส่วนมากก็คือชาวกัมพูชาซึ่งมีทั้งผู้ชายและผู้หญิงรวมไปถึงพวกเด็กและคนชราซึ่งนักโทษเหล่านี้ก็มาจากหลากหลายอาชีพทั้งพวกอาจารย์ วิศวกร หมอ ปัญญาชนคนมีความรู้ไปตลอดจนถึงพวกชาวไร่ชาวนาคนหาเช้ากินค่ำ โดยเมื่อถูกนำมาคุมขังชีวิตของพวกเขาก็ไม่ต่างจากตกนรกเพราะว่าจะถูกทรมานด้วยวิธีต่างๆที่มีความโหดร้ายซึ่งเมื่อถูกทรมานอย่างสาหัสแล้วพวกเขาก็จะถูกนำไปฆ่าต่อที่ทุ่งสังหารหรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อของ Killing Field นั่นเอง

ปัจจุบันคุกตวลสเลงถูกเปลี่ยนสภาพให้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้มาเข้าชม โดยด้านภายในก็จะนำเสนอเรื่องราวความโหดร้ายที่เกิดขึ้นจริงในคุกตวลสเลงไม่ว่าจะเป็นวิธีการทรมานนักโทษ โฉมหน้าของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย หัวกะโหลกของเหยื่อที่มีอยู่หลากหลายชิ้มรวมไปถึงคุกที่เคยใช้คุมขังนักโทษ โดยจากที่ผมได้เดินสำรวจจนทั่วก็พบว่าสถานที่เต็มไปด้วยความหดหู่และใบหน้าของนักท่องเที่ยวแต่ละคนที่ได้เห็นภาพและทราบเรื่องราวต่างก็รู้สึกเศร้าหมอง หดหู่กับเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นในประเทศกัมพูชา


คุกตวลสเลง ตั้งอยู่ในกรุงพนมเปญของประเทศกัมพูชา
โดยสมัยก่อนเคยเป็นโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนแบบทั่วไป

แต่ในปี 1975 เมื่อฝ่ายเขมรแดงมีอำนาจก็ดัดแปลง
พื้นที่ของโรงเรียนให้กลายเป็นคุกที่ใช้ทรมานนักโทษ

เตียงนอนที่เคยใช้เป็นที่ทรมานนักโทษด้วยวิธีต่างๆ

กฎต่างๆที่ฝ่ายเขมรแดงตั้งขึ้นมา
ซึ่งแต่ละข้อล้วนแต่เป็นการบีบบังคับนักโทษทั้งนั้น

ภาพของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกนำมาขังในคุกตวลสเลง
ซึ่งมีทุกเพศทุกวัยไม่เว้นแม้แต่เด็กและคนชรา

เหยื่อที่ถูกทรมานบางก็เสียชีวิตทันทีในจุดเกิดเหตุ
บางรายยังมีชีวิตแต่ก็เหมือนกับตายทั้งเป็น

อนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิต
ในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

บริเวณจุดทางเข้าออกจะมีจุดบริการออดิโอไกด์
หรือหูฟังที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของคุกตวลเสลง


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
9 ตุลาคม 2566

วันอังคารที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2566

 

EP.117 ตลาดสดเมืองเชาด็อก


เมืองเชาด็อกเป็นเมืองหนึ่งในประเทศเวียดนาม โดยตั้งอยู่ในจังหวัดอันเกียงซึ่งเมืองนี้ไม่ได้เป็นที่คุ้นหูของนักท่องเที่ยวมากนัก แม้แต่คนเวียดนามบางคนก็ยังไม่ค่อยคุ้นกับเมืองเชาด็อกสักเท่าไหร่ โดยเมืองเชาด็อกตั้งอยู่ในทางตอนใต้ของเวียดนามและอยู่ในพื้นที่ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงซึ่งบริเวณนี้เมืองที่นักท่องเที่ยวจะคุ้นเคยก็จะเป็นเกิ่นเทอ เบ๋นแจ กันเสียมากกว่า

ผมไปเที่ยวที่เมืองเชาด็อกเมื่อช่วงเดือนกันยายนของปี 2022 ซึ่งเป็นช่วงหน้ามรสุมของเวียดนามทำให้เจอฝนตกตลอดแต่เมื่อฝนหยุดตกผมก็ได้โอกาสลองลงพื้นที่สำรวจบรรยากาศของเมืองเชาด็อก โดยสถานที่ที่ผมไปสำรวจก็คือ ตลาดสด ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไปได้ง่ายและสามารถทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตจริงๆของผู้คนในท้องถิ่นนั้นๆ

สำหรับบรรยากาศของตลาดสดที่เมืองเชาด็อกก็ดูไม่แตกต่างจากตลาดในเมืองไทยเท่าไหร่ สินค้าที่ขายก็มีมากมายและเห็นได้ทั่วไปตามท้องตลาดของเมืองไทย โดยจุดที่ผมไปสำรวจผมเน้นเดินดูพวกโซนของกินและของที่ใช้ประกอบอาหารซึ่งมีหลายอย่างทั้งผักสด ผลไม้ พวกอาหารทะเล เนื้อสัตว์ต่างๆ ของแห้ง อาหารสำเร็จรูป นอกจากนั้นพื้นที่ของตลาดเมืองเชาด็อกยังมีอากาศดูเย็นสบายเนื่องจากตั้งอยู่ริมแม่น้ำบาสสัก ทำให้มีลมพัดผ่านอยู่แทบตลอดเวลา


ตลาดสดเมืองเชาด็อกตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชาด็อก
ซึ่งมีสินค้าขายอยู่อย่างมากมาย

ร้านนี้ขายพวกของเล่น ส่วนใกล้ๆกันเป็นร้านขายเสื้อผ้า

ร้านขายพวกอาหารทะเลซึ่งมีหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น
กุ้ง ปลา หอย ปลาหมึก

ไก่ตัวเป็นๆถูกนำมาตั้งขายซึ่งเป็นเรื่องปกติของ
ตลาดสดในประเทศเวียดนาม

ไข่ไก่และไข่เป็ดซึ่งมีราคาเขียนบอกชัดเจน

ร้านอาหารสไตล์ท้องถิ่นก็มีขายอยู่เช่นกัน
ซึ่งจะเป็นเมนูออกแนวพวกข้าวราดแกง

ตลาดสดเมืองเชาด็อกจะตั้งอยู่ริมแม่น้ำบาสสัก
ทำให้มีบรรยากาศที่ค่อนข้างเย็นสบาย

แม่น้ำบาสสักเป็นแม่น้ำสายสำคัญของเมืองเชาด็อก
ซึ่งมีทั้งเรือประมงและหมู่บ้านลอยน้ำตั้งเรียงรายกันเต็มไปหมด


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
3 ตุลาคม 2566