วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2566

 

EP.113 นั่งรถเมล์อินโดนีเซีย


รถเมล์ คือ รถโดยสารสาธารณะที่มีให้บริการอยู่ในทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในสังคมเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและจอแจซึ่งรถเมล์ที่มีให้บริการก็เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนที่ต้องการเดินทางไปทำธุระต่างๆ นอกจากนั้นยังเป็นการแก้ปัญหารถติดส่วนหนึ่งซึ่งในหลายประเทศมักจะมีการรณรงค์ให้ผู้คนเดินทางด้วยรถสาธารณะมากกว่าจะเลือกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนบุคคลเพื่อเป็นการลดปัญหารถยนต์ที่มีมากมายบนท้องถนนซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาการจราจรที่ติดขัด

ผมเป็นคนหนึ่งที่เวลาอยู่ในเมืองหลวงไม่ว่าจะประเทศไหนก็ตาม ผมมักจะเลือกนั่งรถเมล์และรถโดยสารสาธารณะ โดยตอนที่ผมได้ไปที่กรุงจาการ์ตาเมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซีย ผมก็มีโอกาสได้ลองนั่งรถเมล์ของที่นี่มาแล้วเช่นกันซึ่งจากที่ได้ใช้บริการก็พบว่ามีจุดที่ดูแตกต่างจากเมืองไทยบ้านเราอยู่พอสมควรไม่ว่าจะเป็นเรื่องตั๋วโดยสาร พนักงานที่ให้บริการบนรถเมล์หรือแม้กระทั่งป้ายรถเมล์ก็แตกต่างจากที่เมืองไทย

สำหรับรถเมล์ของที่กรุงจาการ์ตาจะมีป้ายรถเมล์ที่มีขนาดใหญ่กว่าเมืองไทยซึ่งแต่ละป้ายจะมีพนักงานประจำจุดคอยให้บริการและให้คำแนะนำแก่ผู้โดยสาร นอกจากนี้ยังคอยบอกด้วยว่ารถเมล์สายไหนมาถึงแล้ว ส่วนการจะไปรอที่ป้ายรถเมล์ก็ต้องมีการสแกนบัตรโดยสารเสียก่อนซึ่งบัตรโดยสารสามารถหาซื้อได้ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่มีอยู่ทั่วไปในอินโดนีเซีย ซึ่งราคาของบัตรโดยสารจะอยู่ที่ประมาณ 70-80 บาทซึ่งผู้โดยสารสามารถใช้เดินทางได้หลายรอบจนกว่ายอดเงินในบัตรจะหมดลง

ส่วนบรรยากาศของรถเมล์ก็ถือว่าค่อนข้างกว่ารถเมล์ของไทยซึ่งบนรถเมล์จะมีพนักงานอยู่ 2 คน คือ พนักงานขับรถและพนักงานประจำรถซึ่งจะมีหน้าที่ในการบอกข้อมูลแก่ผู้โดยสาร ส่วนบนรถเมล์ก็ไม่มีการจ่ายเงินเหมือนในเมืองไทย เพราะผู้โดยสารจะจ่ายเงินผ่านการสแกนบัตรตรงป้ายรถเมล์แล้วนั่นเอง โดยผมเลือกขึ้นรถเมล์จากจุดใกล้ๆกับอนุสาวรีย์แห่งชาติและนั่งไปได้ไม่ไกลมากนัก เพราะการจราจรที่กรุงจาการ์ตาต้องถือว่าสาหัสอย่างหนักและมีปัญหาด้านการจราจรติดขัดมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว


ป้ายรถเมล์ของที่กรุงจาการ์ตาในอินโดนีเซีย
ดูมีความแตกต่างจากเมืองไทยบ้านเราพอสมควร

บริเวณรอบๆป้ายรถเมล์จะเป็นจุดจอดของ
พวกรถสามล้อเครื่องรวมไปถึงมอเตอร์ไซค์รับจ้าง

นี่คือหน้าตาของบัตรโดยสารรถเมล์ของอินโดนีเซีย
หาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งราคาประมาณ 70-80 บาท

เส้นทางวิ่งของรถเมล์ในกรุงจาการ์ตาซึ่งในช่วงเร่งด่วน
รถเมล์จะวิ่งในช่องทางพิเศษเหมือน BRT ของบ้านเรา

ป้ายรถเมล์ของที่อินโดนีเซียจะมีพนักงานประจำป้าย
โดยจะมีหน้าที่คอยบอกข้อมูลว่ารถเมล์สายไหนมาเข้าจอด

บรรยากาศบนรถเมล์ของอินโดนีเซีย
ซึ่งบางคันมีขนาดตัวรถที่ใหญ่และกว้างกว่าที่เมืองไทย

ผมมาลงตรงป้ายรถเมล์อีกจุดนึงที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่ขึ้น
เพราะไม่อยากเจอการจราจรที่ติดขัดสาหัสของกรุงจาการ์ตา


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
29 สิงหาคม 2566

วันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2566

 

EP.112 นั่งรถมินิบัสระหว่างประเทศ
กัมพูชา - เวียดนาม


การเดินทางในยุคปัจจุบันผมว่ามีความสะดวกสบายอย่างมากและเดินทางไปมาหาสู่กันง่ายขึ้นด้วยไม่ว่าจะเป็นการเดินทางด้วยยานพาหนะชนิดใดก็ตามซึ่งการเดินทางที่สะดวกสบายทำให้เกิดนักเดินทางหน้าใหม่อย่างมากมาย โดยการเดินทางระหว่างประเทศโดยที่ไม่นั่งเครื่องบินก็ถือว่าเป็นอีกทางเลือกยอดนิยมของนักเดินทางในสไตล์แบกเป้เที่ยวซึ่งแน่นอนว่าผมก็คือหนึ่งในนั้นเช่นกันครับ

เวลาผมเดินทางไปต่างประเทศผมไม่ค่อยนิยมการนั่งเครื่องบินเท่าไหร่ โดยส่วนมากมักจะเน้นการเดินทางด้วยรถโดยสารซึ่งการเดินทางในประเทศแถบอาเซียนก็มีเส้นทางระหว่างประเทศอยู่ไม่น้อยและก็มีรถโดยสารให้บริการจากประเทศนึงไปยังประเทศนึงเช่นในเมืองไทยของเราก็มีรถบัสวิ่งไปลาว รถบัสวิ่งไปกัมพูชาหรือจะเป็นรถตู้ที่ข้ามแดนไปมาเลเซีย ส่วนในประเทศอื่นๆก็มีเช่นกันอย่างเช่น รถโดยสารที่วิ่งระหว่างประเทศกัมพูชาและเวียดนาม

ผมมีโอกาสข้ามแดนจากกัมพูชาไปเวียดนามก็หลายครั้งอยู่เหมือนกันและในแต่ละครั้งก็มักจะนั่งรถบัสโดยสารจากกรุงพนมเปญไปยังกรุงโฮจิมินห์ซึ่งเส้นทางนี้ถือว่าเป็นเส้นทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวและใช้เวลาในการเดินทางประมาณแค่ 7 ชั่วโมง โดยรถโดยสารที่ข้ามแดนจากกัมพูชาไปยังเวียดนามก็มีให้บริการอยู่หลายบริษัทซึ่งราคาก็เป็นไปตามมาตรฐานของแต่ละบริษัท ถ้าอยากนั่งสบายก็คงต้องจ่ายแพงหน่อย แต่ถ้าอยากประหยัดงบก็มีตัวเลือกอยู่ไม่น้อยแต่มาตรฐานอาจจะดร็อปลงมา

ครั้งล่าสุดที่ผมเดินทางจากกัมพูชาไปเวียดนาม คือ ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาโดยพวกผมเลือกซื้อตั๋วกับบริษัทวิรัก บุญธรรม ซึ่งเป็นบริษัทเดินรถที่ค่อนข้างมีมาตรฐานของกัมพูชา โดยรถที่ได้นั่งเป็นรถมินิบัสเดินทางจากกรุงพนมเปญไปยังกรุงโฮจิมินห์ใช้เวลา 7 ชั่วโมงกว่า ส่วนค่าตั๋วอยู่ที่ 33 ดอลลาร์หรือตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1100 บาทซึ่งในความคิดก็ถือว่าค่อนข้างแพง แต่ด้วยความที่อยากนั่งแบบสบายๆและได้รถที่มีมาตรฐานจึงยอมจ่ายไป

ส่วนเรื่องการเดินทางผมได้รอบ 11 โมงซึ่งกว่าจะไปถึงที่โฮจิมินห์ก็ราวๆเกือบ 2 ทุ่ม โดยเส้นทางที่รถวิ่งผ่านจะผ่านตัวเมืองสวายเรียงซึ่งเป็นเมืองชายแดนของกัมพูชาก่อนที่จะเข้าไปยังเวียดนาม นอกจากนี้ก็ต้องผ่านจุดผ่านแดนของทั้ง 2 ประเทศโดยด่านของกัมพูชามีชื่อว่า ด่านบาเวท ส่วนด่านของเวียดนามมีชื่อว่า ด่านมอคไบ โดยรถจะมีการจอดให้ผู้โดยสารแวะเข้าห้องน้ำรวมไปถึงจอดแวะทานข้าวในช่วง 5 โมงเย็นในเขตพื้นที่ของประเทศเวียดนาม


รถมินิบัสระหว่างประเทศที่ให้บริการในเส้นทาง
กรุงพนมเปญของกัมพูชา - กรุงโฮจิมินห์ของเวียดนาม

ผมเลือกเดินทางกับบริษัท วิรัก บุญธรรม
ซึ่งเป็นบริษัทเดินรถที่ค่อนข้างมีมาตรฐานดีของกัมพูชา

ตารางเส้นทางเดินรถของบริษัท วิรัก บุญธรรม
ซึ่งมีเส้นทางทั้งในประเทศและเส้นทางระหว่างประเทศ

รถจะแวะจอดให้ผู้โดยสารได้เข้าห้องน้ำ ซื้อของ
โดยจะไปจอดให้ทานข้าวในช่วงเย็นตรงเขตพื้นที่ประเทศเวียดนาม

ด่านพรมแดนของกัมพูชาซึ่งผู้โดยสารต้องลงไป
เพื่อให้เจ้าหน้าที่ปั๊มพาสปอร์ต โดยด่านนี้มีชื่อว่า ด่านบาเวท

บรรยากาศของประเทศเวียดนามซึ่งจะเห็น
มอเตอร์ไซค์จำนวนมากเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น

รถมินิบัสใช้เวลาเดินทางเกือบๆ 8 ชั่วโมง
โดยมาถึงจุดหมายปลายทางที่กรุงโฮจิมินห์ก็เกือบๆ 2 ทุ่ม


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
23 สิงหาคม 2566

วันอังคารที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2566

 

EP.111 ตลาดคิวเอโป้


ผมไปต่างประเทศทีไรสิ่งที่ต้องแวะไปชมทุกครั้งก็คือ ตลาด เพราะสถานที่นี้คือจุดที่จะทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนท้องถิ่นจริงๆซึ่งไม่ได้มีการปรุงแต่งหรือจัดฉากใดๆทั้งสิ้น โดยประเทศที่ผมได้เดินทางไปครั้งล่าสุดก็คือ ฟิลิปปินส์ ซึ่งในประเทศนี้นอกจากใบหน้าของผู้คนจะมีความคล้ายคลึงกับคนไทยอย่างมากแล้ว บรรยากาศของตลาดในประเทศฟิลิปปินส์ก็มีลักษณะที่ไม่แตกต่างจากในเมืองไทยสักเท่าไหร่

ตลาดในประเทศฟิลิปปินส์ที่ผมได้มีโอกาสไปสำรวจบรรยากาศมาก็คือ ตลาดคิวเอโป้ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากย่านไชน่าทาวน์ของกรุงมะนิลาเท่าไหร่นัก โดยบรรยากาศของตลาดก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายและความจอแจของผู้คนซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของตลาดในแต่ละประเทศ โดยตลาดคิวเอโป้ถือว่าเป็นตลาดใหญ่แห่งหนึ่งของกรุงมะนิลามีสินค้าขายเป็นจำนวนมากทั้งของกินและของใช้มีผู้คนเดินมาซื้อของกันอย่างมากมาย ทำให้ความคึกคักของที่นี่มีอยู่แทบตลอดทั้งวัน

ส่วนจุดบริเวณใกลๆกับตลาดคิวเอโป้ก็จะเป็น โบสถ์คริสต์ ซึ่งอย่างที่เราพอทราบกันมาว่าฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ทำให้มักจะมีโบสถ์คริสต์ตั้งอยู่อย่างมากมาย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้คนได้มาประกอบพิธีทางศาสนาซึ่งวันที่ผมไปเดินสำรวจตลาดก็ได้แวะเข้าไปในโบสถ์คริสต์ซึ่งก็ได้เห็นการประกอบพิธีทางศาสนาของชาวคริสต์โดยที่มีบาทหลวงเป็นผู้นำในการทำพิธี โดยจากที่ผมได้ลองสำรวจจนทั่วก็พบว่าชาวฟิลิปปินส์มีความศรัทธาในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอย่างแรงกล้าซึ่งคงไม่ต่างจากคนไทยที่ศรัทธาในศาสนาพุทธและหมั่นทำบุญทำทานกันอยู่เสมอ


ตลาดคิวเอโป้เป็นตลาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในกรุงมะนิลา
ของประเทศฟิลิปปินส์ โดยตั้งอยู่ใกล้ๆกับโซนไชน่าทาวน์

บรรยากาศที่ตลาดคิวเอโป้ในแต่ละวัน
จะมีผู้คนมาเดินจับจ่ายซื้อของกันเป็นจำนวนมาก

ของที่ขายในตลาดคิวเอโป้มีค่อนข้างหลากหลาย
อย่างร้านนี้จะขายพวกผลไม้และปลา

น้ำผลไม้ปั่นไว้สำหรับทานแก้กระหาย
ในช่วงเวลที่เจอแดดและอากาศอันร้อนระอุ

ร้านอาหารข้างทางสไตล์ฟิลิปปินส์ซึ่งดูน่าจะอร่อย
เพราะมีผู้คนแวะเวียนมาทานกันอย่างต่อเนื่อง

สินค้าที่ขาดไม่ได้เลยตามตลาดของทุกประเทศก็คือ
เสื้อผ้า ซึ่งมีหลากหลายชุดทั้งของผู้ชาย ผู้หญิงและเด็ก

บริเวณด้านนอกรอบๆตลาดจะเป็นจุดจอดของรถรับจ้าง
ซึ่งจะเป็นรถสามล้อเครื่องหรือไตรซิเคิลตามภาษาท้องถิ่น

ใกล้ๆกับตลาดจะเป็นที่ตั้งของโบสถ์คริสต์
ซึ่งที่ฟิลิปปินส์ศาสนาคริสต์คือศาสนาประจำชาติ

ผมไปในช่วงที่มีการประกอบพิธีทางศาสนาพอดี
เลยได้มีโอกาสเก็บภาพบรรยากาศมาส่วนหนึ่ง


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
15 สิงหาคม 2566

วันพุธที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2566

 

EP.110 ถ้ำบาตู


ประเทศมาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านของไทยและมีพรมแดนติดกับไทยเหมือนกับพม่า ลาวและกัมพูชานะครับ แต่วัฒนธรรมต่างๆของมาเลเซียก็ดูแตกต่างจากไทยเป็นอย่างมาก สืบเนื่องมาจากมาเลเซียมีประชากรในประเทศถึง 3 เชื้อชาติคือ มลายู จีนและอินเดีย ทำให้มันจะมีการบ่งบอกถึงวัฒนธรรมที่ดูหลากหลาย โดยเชื้อชาติอินเดียหรือชาวทมิฬก็มีวัฒนธรรมของตนเองและสิ่งที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมและอารยธรรมของพวกเขาได้เป็นอย่างดีก็คือสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของมาเลเซียอย่าง ถ้ำบาตู

ถ้ำบาตูนอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของมาเลเซียยังเป็นสถานที่ที่บ่งบอกเอกลักษณ์และสถานที่ที่ประกอบพิธีทางความเชื่อของศาสนาฮินดูซึ่งลักษณะของถ้ำบาตูก็จะเป็นถ้ำภูเขาหินปูนซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่า 400 ล้านปี ความโดดเด่นของถ้ำบาตูก็คือการที่จะได้เห็นสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนาฮินดู โดยจุดไฮไลท์เด่นๆก็จะมีรูปปั้นของพระขันธกุมารที่สูงที่สุดในโลก โดยมีความสูงถึง 42.7 เมตรซึ่งรูปปั้นจะประดิษฐอยู่ด้านหน้าของถ้ำ นอกจากนั้นจุดของบันได้ทางขึ้นไปยังถ้ำยังมีการทาสีเป็นสีสันต่างๆให้ดูดใสซึ่งก็เป็นไปตามความเชื่อของศาสนาฮินดูนั่นเอง

โดยในปัจจุบันถ้ำบาตูได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกในแต่ละวันเป็นจำนวนมากซึ่งการเดินทางมายังถ้ำบาตูก็เป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกสบายเพราะมีรถไฟฟ้าจาก KL Sentral เชื่อมต่อมาถึงสถานีถ้ำบาตูกันเลยทีเดียว ส่วนช่วงที่ผมเดินทางไปเป็นเดือนมีนาคมซึ่งอากาศค่อนข้างร้อนส่วนการแต่งตัวก็จะเหมือนการเข้าวัดพระแก้วของบ้านเราตรงที่ต้องแต่งกายให้ดูสุภาพ เพราะถ้ำบาตูเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับทางศาสนาฮินดูจึงต้องแต่งกายให้ดูสุภาพเพื่อให้เกียรติแก่สถานที่ ส่วนใครที่ชอบในเรื่องการขอโชคขอพรก็ไม่ต้องห่วงครับ เพราะที่ถ้ำบาตูมีจุดให้ได้กราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในถ้ำเพื่อขอพรอยู่เป็นจำนวนมาก


ถ้ำบาตู เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของมาเลเซีย
โดยตั้งอยู่ในรัฐสลังงอร์ซึ่งไม่ไกลจากกรุงกัวลาลัมเปอร์มากนัก

การเดินทางไปยังถ้ำบาตูในปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
เพราะมีรถไฟฟ้าจาก KL Sentral เชื่อมต่อถึงสถานีถ้ำบาตู

บรรยากาศบนรถไฟฟ้าของมาเลเซีย

บันไดทางเดินขึ้นไปยังถ้ำบาตูเป็นบันไดหลากสี
ซึ่งได้มีการทาสีสันสดใสตามความเชื่อของทางฮินดู

ภายในถ้ำจะพบกับรูปปั้นเป็นจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นพระศิวะ พระแม่อุมาและรูปปั้นอื่นๆอีกมากมาย

บรรยากาศภายในถ้ำบาตูซึ่งค่อนข้างกว้างใหญ่
ซึ่งเป็นถ้ำภูเขาหินปูนมีอายุไม่ต่ำกว่า 400 ล้านปี

ในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
แวะเวียนมาเที่ยวชมถ้ำบาตูกันเป็นจำนวนมาก

บริเวณด้านนอกถ้ำจะเป็นจุดจำหน่ายของกราบไหว้
ของบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อทางศาสนาฮินดู


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
9 สิงหาคม 2566

วันอังคารที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2566

 

EP.109 สถานีขนส่งเดา


คำว่า เดา ไม่ได้หมายความว่าการทายแบบสุ่มไปแบบมั่วๆ เพราะคำว่า เดา ในภาษาฟิลิปปินส์คือชื่อของสถานีขนส่งครับ โดยเป็นสถานีขนส่งที่ตั้งอยู่ในจังหวัดปัมปังงาซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงมะนิลาไปประมาณเกือบๆ 2 ชั่วโมงซึ่งจากการที่ผมไปสำรวจบรรยากาศมาก็ต้องถือว่าเป็นหนึ่งในสถานีขนส่งที่ค่อนข้างกว้างใหญ่และมีรถบัสโดยสารวิ่งเข้าออกกันอยู่แทบตลอด ส่วนผู้โดยสารก็มีจำนวนมากเช่นกัน ทำให้ที่สถานีขนส่งเดามีความคึกคักเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

ผมเก็บบรรยากาศของที่สถานีขนส่งเดามาทั้งในรูปแบบภาพถ่ายและคลิปวีดีโอ โดยมันเป็นการไปเยือนสถานีขนส่งเดาครั้งแรกในชีวิตของตัวผมซึ่งสาเหตุที่ผมได้มาเยือนสถานีขนส่งแห่งนี้นั่นก็เพราะผมต้องการเดินทางไปที่เมืองแองเจเลสหรือที่ชาวต่างชาติมักจะเรียกกันว่า แองเจเลสซิตี้ โดยหากใครต้องการมาที่เมืองแองเจเลสก็ต้องมาลงที่สถานีขนส่งเดานี่แหละเพราะอยู่ใกล้กับเมืองแองเจเลสมากที่สุด โดยระยะห่างจะอยู่กันเพียงแค่ 5 กิโลเมตรเท่านั้น

สำหรัลสถานีขนส่งเดานอกจากจะมีบรรยากาศที่คึกคักแล้วก็ยังมีรถบัสโดยสารเดินทางไปยังเมืองต่างๆที่ตั้งอยู่บนเกาะลูซอนของฟิลิปปินส์ไม่ว่าจะเป็นเมืองหลวงอย่างมะนิลารวมไปถึงเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญต่างๆทั้ง บาเกียว บานาเว รวมไปถึงวีกันและอีกหลากหลายเมืองซึ่งการเดินทางในช่วงกลางคืนจะคึกคักมากเพราะมีรถบัสหลายคันที่จะเดินทางไปยังตอนเหนือของเกาะลูซอน ขณะที่บรรยากาศอื่นๆของสถานีก็จะมีจุดของร้านอาหาร ร้านขายขนมขบเคี้ยว ส่วนรอบๆสถานีก็จะเต็มไปด้วยร้านอาหารแนวฟาสฟู้ด รถรับจ้างสาธารณะที่จะเดินทางไปยังเมืองแองเจเลสและสถานที่ใกล้เคียง


สถานีขนส่งเดาเป็นสถานีขนส่งในจังหวัดปัมปังงา
ของประเทศฟิลิปปินส์

บริเวณทางเข้าด้านหน้าของสถานีขนส่งเดา
ซึ่งบรรยากาศคึกคักมากมีรถวิ่งเข้าออกแทบตลอด

บรรยากาศยามค่ำคืนที่สถานีขนส่งเดาจะคึกคักพอสมควร
เพราะมีรถบัสเดินทางตอนกลางคืนให้บริการอยู่หลายคัน

สถานีขนส่งเดามีรถบัสเดินทางไปหลายเมืองบนเกาะลูซอน
ทั้งกรุงมะนิลา บาเกียว บานาเว รวมไปถึงวีกัน

ร้านขายอาหารในสถานีขนส่งมีอยู่ไม่มากนัก
ส่วนใหญ่จะเป็นแนวข้าวราดแกงของทางฟิลิปปินส์

ร้านที่มีเยอะสุดในสถานีขนส่งเดาคือ พวกร้านขายขนมขบเคี้ยว
ซึ่งจะตั้งขายเรียงรายต่อๆกันอยู่หลายร้าน


คลิปวีดีโอ


เขียนโดย MarkMetalFootballTravel
1 สิงหาคม 2566